ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
อย่าได้เสียแฮงได้เป็นคนนำเพิ่น คนให้คนฮอดก้นเหนียวตุ้ยจั่งแม่นคน แปลว่า อย่าได้เสียแรงที่เป็นคนเหมือนคนอื่น คนขอให้คนถึงก้น จนเหนียวหนืด จึงชื่อว่าคน หมายถึง เป็นอะไร เป็นให้เหมาะสม ทำอะไร ทำให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

นิทานพื้นบ้านอีสาน  

เซียงเมี่ยง...ลูกสาวงาม (นิทานพื้นบ้าน---อีสานจุฬาฯ)
เซียงเมี่ยง..บั้นปลาย

  หน้าก่อน หน้าถัดไป
๖๑.ลูกสาวงาม


ขุนศรีฯ หลังจากแต่งงาน อยู่กินกับลูกสาวเศรษฐี ดนเติบ กะได้ลูกผู้นึงเด้ เป็นลูกสาวตั้วล่ะ เมียกะใช้เงินเก่ง หาเงินมาให้ใช้หลายปานได๋กะบ่พอ ซ้ำบ่หนำ ยังมีลูกมาซ่อยใช้เงินอีกต่างหาก โฮ้ย... หาเลี้ยงบ่ ไหวเดิก ...ขุนศรีฯ กะเลยหาวิธี สิให้ผู้อื่นซ่อยเอาลูกเจ้าของไปเลี้ยง ว่าซั่นเถาะ (คึดไปทั่วเนาะ ขุนศรีฯ กะดาย)

ขุนศรีฯ ให้คนใช้ไปโปข่าว (ไปเว้า ไปลือ ไปซา นั่นล่ะ) ว่า ลูกสาวขุนศรีฯ งามหลาย เป็นตาฮักคัก มารยาทเรียบร้อย เชียมดี้ดี

ลูกสาวขุนศรีฯ กะเลย ได้เป็น "สาวซา สาวลือ" ตี้ล่ะ

ข่าวความงามความเป็นตาฮัก ของลูกสาวขุนศรีฯ กะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนไปเข้าหูของเศรษฐีผู้นึง เด้ เศรษฐีผู้นั่นมี ลูกชายผู้นึง พวมเป็นบ่าว... เลากะอยากได้ลูกสาวของขุนศรีฯ มาเป็นสะใภ้ เด้ เผื่อสิได้ก้าวหน้าทางราชการ นำนั่นล่ะ ...ลูกสาวคนดัง(แหมบ ??? ) คนสนิทของพระราชาเนาะ...

เศรษฐีผู้นั่น พร้อมทั้งอำมาตย์ใหญ่ กะเลยไปสู่ขอลูกสาวขุนศรีฯ มาเป็นลูกสะใภ้ ไปขอเบิ่งโต เบิ่งหน้าลูกสาวขุนศรีฯ นำล่ะหวา....

ขุนศรีฯกะว่า

"คันเจ้าอยากได้ไปเป็นสะใภ้ ข้อยกะบ่ว่าหยังดอก แต่ว่า ตอนนี้ ลูกสาวข้อย มันยังน้อยอยู่ ยังบ่ปะสีปะสาเลย เจ้าพาไปอยู่นำ กะเป็นภาระของเจ้าซื่อๆ"

เศรษฐี เข้าใจว่า "คำว่า มันยังน้อย ยังบ่ปะสีปะสา เป็นคำถ่อมโตของขุนศรีฯ คึดว่า ผู้ญิงอายุสิบห้า สิบหก กะเป็นธรรมดานั่นล่ะ" กะเลยว่า

"บ่เป็นหยัง บ่เป็นหยัง ลูกของเจ้า กะคือลูกของข้อย ข้อยเอาเป็นสะใภ้แล้ว กะต้องเบิ่งแยง เป็นธรรมดา"

"คันเจ้าว่าจั่งซั่น ข้อยกะยกให้ตามที่เจ้าขอนั่นล่ะ" จากนั้น กะว่า

“ พอดีมื้อนี้ ลูกสาวบ่อยู่ ไปข้างนอกกับแม่.. เอาเป็นว่า จั่งค่อยพ้อหน้ากัน มื้อแต่งงานกะได้น้อ” ...

พร้อมทั้งฮ้องค่าสินสอดอย่างแพงเติบ

เศรษฐี กะตกลงตามนั่น แล้วกะกำหนดมื้อ กำหนดเว็นกันเรียบร้อย โดยมีอำมาตย์ใหญ่ เป็นพยาน เด้

พอฮอดมื้องานกินดอง ทางเศรษฐี กะยกขบวนขันหมาก พร้อมทั้งสินสอด มาบ้านขุนศรีฯ

ทางเศรษฐี กับลูกชาย (แขกผู้มาในงานนำนั่นล่ะ) กะพยายามเหลียวหาเจ้าสาว..เด้

หลังจากนับสินสอดเรียบร้อย ได้ฤกษ์ผูกแขนเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าบ่าว กะมานั่งคองท่าเรียบร้อยแล้ว ผัดบ่เห็นเจ้าสาวออกมา เศรษฐีกะเลยถามหาเจ้าสาว ขุนศรีฯ กะเลยฮ้องบอกพี่เลี้ยงว่า

"พาลูกสาวเฮามา ได้แล้ว"

กะได้ยินเสียงพี่เลี้ยงฮ้องออกมาว่า

"หลับอยู่ ยังบ่ทันตื่น"

??? เอ๋า... สังมาว่าจั่งซั่น... เป็นสาวเป็นนาง จั่งได๋คือมาตื่นสวย คักแท้ ??? เศรษฐี กะสงสัยเด้ กะเลยว่า

" หลับกะ ไปปลุกตี้ล่ะ "

ขุนศรีฯ กะเลยว่า

" บ่ต้องปลุกดอก พามาทั้งหลับๆ นั่นล่ะ แฮ่งดี "

??? เอ๋า .... คือว่าจั่งซี้น้อ ???

จากนั้นเศรษฐี กะเห็นพี่เลี้ยงยกอู่ออกมา วางไว้ต่อหน้า พอโงกหัวไปเบิ่ง กะเห็น เด็กน้อยอายุประมาณ หก เจ็ดเดือน ผู้นึง นอนหลับอยู่

"สิมาแต่งงานกับลูกสาวเจ้าเด้เดียวเนี่ยะ บ่แม่นมาเบิ่งเด็กน้อย เด้"

"กะนี่ล่ะ ลูกสาวข้อย ข้อยมีลูกสาวที่ฮักปานแตง แพงปานตา อยู่ผู้เดียว ท่อนี้ล่ะ"

"นี่บ้อลูกสาว ที่เจ้ายกให้เป็นสะใภ้ข้อย"

" เอ้อ กะนี่ล่ะ กะบอกแล้วเด้ ว่า ลูกสาวข้อยมันยังน้อยอยู่ ยังบ่ปะสีปะสาเลย เจ้ากะยังอยากได้ ขอแล้ว กะต้องเอาไปเด้"

ในที่สุด เศรษฐี กะต้องรับเอาลูกสาวขุนศรีฯ พากลับบ้าน ไปเลี้ยง ... เสียค่าสินสอดแพงๆ แถมต้องมานั่งเลี้ยงเด็กน้อยอีกต่างหาก ... ซัวว่าสิใหญ่ เด้เดียวเนี่ย.....เสียเวลาแท้ๆ

  หน้าก่อน หน้าถัดไป

 
Creative Commons License

ชมรมอีสานจุฬาฯ... นิทานพื้นบ้านอีสาน