๗๑.เณรป่องสะสางคดีขุนศรีฯกับนายฮ้อย |
นายฮ้อย แพ้คดีแล้ว เหมิดทางสิไป กะย่างไปเรื่อย จนมาฮอดวัดใหญ่ ที่เณรป่องอยู่ เลาเสียใจหลาย ที่ทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต ผัดมาถืกคนพาล โกงเอาของไป เหลียใจหลาย กะเลยนั่งไห้อยู่ใต้ต้นโพ ซิมซิ ซิมซิ เป็นตาหลูโตน คือหยังนี่ตั้ว
เณรป่อง ย่างมาเห็น สงสัย เลยเข้าไปปลอบใจ แล้วกะถามไถ ่ถึงเรื่องทุกข์ใจ ของนายฮ้อย... นายฮ้อย กะเว้าให้ฟังตามเป็นจริง..
เณรป่องฟังแล้ว กะฮู้ทันทีว่า สิจัดการกับคนแบบนี้ได้จั่งได๋... คนเล่นคำ กะต้องจัดการ ด้วยการเล่นคำ ...กะเลยเว้าให้นายฮ้อยเบาใจ ว่าสิซ่อยจัดการ กับคนพาลนี้ แล้วกะสิเอาของมาคืนให้... จากนั้นกะบอกอุบาย พร้อมทั้งคำเว้าคำจา ที่ควรสิเว้า ที่ควรสิระวัง...
นายฮ้อย เรียนคำเว้าคำจา พร้อมทั้งเข้าใจอุบายแล้ว กะปลอดโปร่งโล่งใจ... ออกจากวัด ไปหาเศรษฐีที่เณรป่องแนะนำ เว้าเรื่องราวให้เศรษฐีฟัง แล้วกะขอยืมรถม้า ม้า พร้อมทั้งสินค้า... เศรษฐีกะใจดี ให้ยืม เด้
นายฮ้อยขับรถม้า บรรทุกผ้าไหมเนื้อดี ลายงาม มาขายอยู่ตลาด สี่แยกหม่องเก่า
มื้อนั่น ขุนศรีฯ กะมาย่างเล่นตลาดคือเก่า เห็น กะอยากได้ผ้าราคาถืกอีก กะเลยเข้าไปถามซื้อ ... นายฮ้อยเห็นหน้า กะจำได้
.. มันมาแล้ว มันมาแล้ว ....
" ผืนนี้ ราคาท่อได๋ "
" ผืนนี้ ราคาสองบาท "
" ผืนนี้ล่ะ ราคาท่อได๋ "
" ผืนนี้ ราคาสามบาท "
" แล้วผืนนี้ล่ะ ราคาท่อได๋ "
" ผืนนี้ ราคาสามบาทสองสลึง "
ขุนศรีฯ มามุขเก่า ถือผ้าไว้ในมือเทิงสามผืน แล้วกะถามว่า
" เหมิดนี้ ราคาท่อได๋"
นายฮ้อยจำคำเณรป่องไว้ .. ระวังคำเว้า ...กะตอบว่า
"ผ้าสามผืนที่เจ้าถืออยู่นั่น รวมราคาแปดบาทสองสลึง"
ขุนศรีฯผิดคาด.. เอาวะ บ่ได้แผนนึง กะต้องเอาแผนสอง
"อืม...ลดราคาได้บ่" ...ขุนศรีฯ เอามือถือผ้าสามผืนคือเก่านั่นล่ะ เจรจาต่อรองราคา
"เหมิดนี้ แปดบาท ซะเนาะ นายฮ้อยเนาะ"
"ลดราคาบ่ได้ดอก"
"ข้อยมีเหมิดตนเหมิดโตอยู่แค่นี้" ขุนศรีฯ เด่มือให้เบิ่งเงิน
"ขายให้ข้อยซะเนาะ"
"เอ้อ เอ้อ..ตกลง ตกลง คันจั่งซั่น กะเอาทั้งเหมิดที่เจ้ามีนั่นล่ะ" นายฮ้อยตอบตกลง
ขุนศรีฯ ดีใจอย่างคัก เด่เงินทั้งเหมิดให้นายฮ้อย แล้วกะว่า
"ของเทิงเหมิดนี้ เจ้าขายให้ข้อยแล้ว เป็นของข้อยเหมิดแล้ว" จากนั้น กะโดดขึ้นเทิงรถม้า ขับรถม้ากลับบ้านเสย
นายฮ้อย กะฮ้องนำ จอด จอด หยุดก่อน หยุดก่อน ....กะบ่ทันจ้อย..
ขุนศรีฯมาฮอดบ้าน ขนของเข้าบ้าน สำบายใจเฉิบ... คึดในใจว่า
"คนพวกนี้โง่แท้ๆ"
ทางนายฮ้อย กะไปเอิ้นชาวบ้านให้มาซ่อย เด้ พอมาฮอดบ้านขุนศรีฯ กะพาชาวบ้าน เข้าไปขนของในบ้านขุนศรีฯ มาใส่รถ ใส่เกวียน โดยบ่สนใจคำทัดทาน ของคนรับใช้ขุนศรีฯ
ขุนศรีฯออกมาเห็น กะจำได้ว่าเป็นนายฮ้อย กะว่านายฮ้อยบุกรุกบ้านเจ้าของ พร้อมทั้งไปแจ้งความ ให้ศาลพิพากษาตัดสินคดีให้อีก
ศาลฟังเรื่องราวจากทั้งสองฝ่ายแล้ว กะถามว่า
"เป็นหยังขุนศรีฯคือ เอารถม้า พร้อมทั้งสินค้าของนายฮ้อยมา"
ขุนศรีฯกะว่า
"กะตกลงกันแล้วว่า ซื้อขายเทิงเหมิด ...จ่ายเงินไปแล้ว กะต้องได้ทั้งเหมิด"
ประเด็นนี้ขุนศรีฯ กะชนะ..
จากนั้นกะถามนายฮ้อยว่า
"เป็นหยังจั่งเข้าไปขนของ ในบ้านของขุนศรีฯ โดยบ่ได้รับอนุญาต จากเจ้าของบ้าน"
นายฮ้อยกะว่า
"บ่ได้รับอนุญาตจั่งได๋ กะตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ว่า เอาทั้งเหมิดที่ขุนศรีฯมี ทั้งเหมิดที่ขุนศรีฯมี น่ะ มันบ่แมนแค่เงินแปดบาทที่พกติดโต มันต้องรวมเทิงบ้าน เทิงข้าวของในบ้าน พร้อม เด้.... ตกลงกันแล้ว ขุนศรีฯ กะยอมรับแล้ว"
ศาลกะถามว่า
"แม่นจั่งซั่นตี้ ขุนศรีฯ มีหยังสิแก้โตบ่"
ขุนศรีฯกะว่า
" คำว่า เอาทั้งเหมิดที่เจ้ามี น่ะ ได้ตกลงกันยุ แต่ว่า ข้อยเข้าใจว่า เทิงเหมิดแค่เฉพาะที่มีอยู่ ในตนในโตตอนนั้น เด้ บ่ได้หมายถึง ของทั้งเหมิดที่ข้อยมี เด้"
ในที่สุด ศาล กะตัดสิน ให้ขุนศรีฯ แพ้คดี เพราะคำว่า เทิงเหมิดที่เจ้ามี น่ะ มันคือ สิ่งของเทิงเหมิดที่ขุนศรีฯมีอยู่ นั่นเอง
นายฮ้อย กะขนเอาเครื่องปั้นดินเผา ของเจ้าของ ผ้าไหม รถม้า ม้า พร้อมทั้งข้าวของ ของขุนศรีฯ ไปหลายเติบ.... ดีตั้ว บ่ขนไปเหมิด บ่ม้างบ้านไปนำ....
ขุนศรีฯ คึดว่า นายฮ้อย บ่น่าสิมีปัญญามาต่อกรกับเจ้าของได้... กะเลยให้คนไปสืบว่า นายฮ้อย มีไผซ่อยอยู่เบื้องหลัง... กะฮู้ว่า คือเณรป่อง คู่อริเก่า นั่นเอง
|