หลังจากพระเมืองธานีย่านแพ้ แล้วกะเดินทางกลับไปแล้ว พระธนญชัย (หรือว่าเซียงเมี่ยง) กะอยู่เป็นพระต่อไป อีกจักหว่างจักคราว แล้วกะสึกออกมา เป็นทิดเมี่ยง เด้ บาดตาทีเนียะ
สึกออกมาแล้ว พระราชาเห็นความดีความชอบ กะพระราชทานรางวัล คนรับใช้ พร้อมเทิงเลื่อนยศขึ้น ให้เป็นขุน แล้วกะแต่งตั้งซื่อให้ใหม่ ที่เอิ้นว่าราชทินนาม นั่นหนา เอาตามชื่อตอนที่เป็นพระนั่นล่ะ เพิ่มคำว่า ศรี เข้าไป เป็นขุนศรีธนญชัย ตั้งแต่นั่นมา คนทั้งหลาย กะเอิ้นเซียงเมี่ยงหรือว่าทิดเมี่ยง ว่า ขุนศรีฯ หรือ ขุนศรีธนญชัย สะล่ะล่ะ....
เว้าพื้นขุนศรีธนญชัย น้อ บวชเณรกะบวชแล้ว บวชพระกะบวชแล้ว ... เหลือแต่บวดบักอึ บวดบักแตง นั่นล่ะ ที่ยังบ่ทันได้บวด ... บ่แมนแนวน้าน... เหลือแต่เรื่องลูกเรื่องเมียนั่นล่ะ ยังบ่ทันมีประสบการณ์... ซั่นดอก
ขุนศรีไท้ ใจวอยๆ อยากได้ซู้มาซ้อนบ่อน อยากสินอนฮ่วมข้าง พระนางน้องผู้คิงกลม คึดอยากห่มผ้าเนื้อ คิงอุ่นอ่อนนุ่มเนียนนวล คือสิอุ่นในใจ เหงาคลาย หายกลุ้ม แท้น้อ...
ขุนศรีฯ เลากะคึดอยากได้เมีย ว่าซั่นเถาะ กะเลยต้องหาผู้สาวผู้งามๆ มาเป็นเมียเด้ ขุนศรีฯ กะให้คนรับใช้ ออกไปเลาะหาตามบ้านต่างๆ คันเห็นผู้สาวผู้งามๆ กะให้มาบอก สิได้ไปเบิ่งแล้วกะเลือกเอา ว่าเด้
พวกคนใช้ของขุนศรีฯ กะเลาะเข้าบ้านนั่นออกบ้านนี่ เห็นผู้ได๋ทรงงามๆ กะมาบอกให้ขุนศรีฯ ไปจอบเบิ่งเอาเอง .... ขุนศรีฯ กะไปเบิ่งแล้วเบิ่งอีก กะบ่ถืกใจจักคน บ่ตรงสเป็กเลานั่นล่ะว๋า จนมาฮอดลูกสาวของเศรษฐีผู้โด่งดัง แล้วกะร่ำรวยผู้นึง ขุนศรีฯไปจอบเบิ่งแล้ว..... "โฮ้... งามอีหลี งามคักงามแน่... จั่งซี้แหน่แหม จั่งสิเหมาะสมกับกูขุนศรีฯ พะนะ
ขุนศรีฯ เห็นปุ๊บ กะมักปั๊บ สะล่ะล่ะ
จากนั้น กะให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอ เศรษฐี เลากะฮู้ชื่อเสียงของขุนศรีฯ เป็นอย่างดี ว่าเป็นคนฉลาด หัวดี แล้วกะตั๋วเก่ง โกงเก่ง... เลาบ่มักขุนศรีฯ มาแต่ได๋แล้ว บ่อยากได้เป็นลูกเขยซั่มแหม... แต่ว่าคันสิปฏิเสธไปตรงๆ ว่าบ่ยกลูกสาวให้ กะเกรงใจอำมาตย์ ผู้ที่เป็นเถ้าแก่ นั่นหนา กะเลยหาทางออก ทางเลี่ยงอย่างอื่นเด้ เศรษฐีเลาคึดว่า ขุนศรีฯ บ่ได้เป็นเศรษฐี บ่มีทางมีเงินมีทอง หลายแท้ๆ ต้องเรียกค่าสินสอดแพงๆ กะเลยเว้าว่า
ลูกสาวของเฮาผู้นี้ เฮาฮักปานแตง แพงปานตา เลี้ยงได้ใหญ่มาจนงามปานนี้ ใช้เงินทองไปกะหลาย ดังนั้นขอคึดค่าสินสอด เป็น ทองพันชั่ง กับ เงินพันหาบ ถ้าขุนศรีฯ สามารถหาค่าสินสอดนี้ได้ เฮากะสิยกลูกสาวให้... ว่าจั่งได๋ล่ะ.. ตกลงบ่???
ขุนศรีฯกะเลยว่า
ทองพันชั่ง กับเงินพันหาบ วะติ
เอ้อ ทองพันชั่ง กับ เงินพันหาบ เศรษฐีตอบช้าๆ ชัดๆ
คันจั่งซั่น กะตกลง ข้อยสิหามาให้ได้ตามนี้เลย... ขอให้ท่านอำมาตย์เป็นพยานเด้อ
อำมาตย์ กะรับปากเป็นพยาน เทิงคึดว่า ค่าสินสอดแพงปานนี้ ขุนศรีฯ สิเอาเงินเอาทองมาแต่ไส ???
จากนั้น กะหามื้อหาเว็น หามื้อสีวันดัน มื้อสันวันดี ที่สิกินดอง เด้
พอฮอดมื้องานกินดอง ทางขุนศรีฯ กะจัดขบวนแห่ขันหมาก อย่างใหญ่โตมโหฬาร ขบวนแห่ยาวเหยียด แห่มาจนฮอดบ้านเศรษฐี... เศรษฐีได้ยินเสียงโห่ฮ้อง กะออกมาซอมเบิ่ง เทิงสงสัยว่า บักขุนศรีฯ มันสิเอาทองมาแต่ไส หรือว่า มันสิมาล่อตั๋วเอาลูกสาวไป... กะได้แต่เตรียมโต ต้อนรับขุนศรีฯ สะล่ะล่ะ
พอขุนศรีฯ มาฮอดเฮือน เศรษฐีกะถามว่า
ไสล่ะ สินสอดตามที่ตกลงกัน คันหามาบ่ได้ กะบ่ต้องขึ้นเฮือน ให้ยกขบวนกลับไปซะ
ขุนศรีฯ กะหันหน้าไปทางขบวนแห่ แล้วกะว่า
สินสอดอย่างแรก... ทองพันชั่ง ...หมู่เจ้าเอาทองพันชั่ง มามอบให้เศรษฐี เดียวนี้
คนของขุนศรีฯ สี่คนกะแบกลังไม้ มาวางไว้ต่อหน้าเศรษฐี... พอเปิดออก กะเป็น ต้นทองพันชั่ง ต้นนึง
ทองพันชั่ง กูหมายถึง ทองคำ หนักหนึ่งพันชั่ง บ่แมน ต้นทองพันชั่ง เด้เดียวหนิ ในเมื่อหามาบ่ได้ ผิดสัญญา งานแต่งกะเป็นอันยกเลิก
เดี๋ยวก่อน ท่านเศรษฐี ในสัญญาบอกว่า สินสอด คือ ทองพันชั่ง บ่ได้เจาะจงว่า เป็นทองคำ หนักหนึ่งพันชั่ง ฉะนั้น ข้อยเอา ทองพันชั่ง ที่เป็นต้นไม้ มาเป็นสินสอด กะบ่ได้ผิดสัญญาเด้... แมนบ่ท่านอำมาตย์ ขุนศรีฯ หันไปถามอำมาตย์ ที่เป็นพยาน
อำมาตย์ กะว่า เว้าจั่งซี้กะถืก คือกัน ขุนศรีกะบ่ได้ผิดสัญญา
เศรษฐี หาข้อโต้แย้งบ่ได้ เหลียวไปทางขบวนแห่ยาวเหยียด เห็นคนยืนหาบหาบอยู่ เป็นแถวยาวลาดฟาด คำนวณเบิ่ง บ่น่าสิต่ำกว่าพันหาบ กะคึดว่า บ่ได้ทอง กะยังเหลือเงินอีกพันหาบ กะเลยถามต่อว่า
แล้วเงินพันหาบล่ะ อยู่ไส
ขุนศรีฯ กะหันไปบอกคนของเจ้าของว่า
สินสอดอย่างที่สอง... เงินพันหาบ... หมู่เจ้าเอาเงินพันหาบ มามอบให้เศรษฐี เดียวนี้
คนของขุนศรีฯ ที่หาบหาบอยู่ กะพากันหาบหาบ มาปลงไว้เดิ่นบ้านของเศรษฐี เศรษฐีกะยืนกอดเอิ่กซอมเบิ่ง จากนั้น กะย่างไปเปิดผ้าคลุมกะต่าออกเบิ่ง
มีแต่ ใบเงิน กะยังว้ากะยังว่า
เงินพันหาบ กูหมายถึง เงิน จำนวนหนึ่งพันหาบ
นี่กะ เงิน จำนวนหนึ่งพันหาบแล้วเด้ ขุนศรีฯรับรอง
บ่แมน เงินที่เป็นใบไม้ ใบเงินเด้เดียวหนิ หมายถึง เงิน เงิน ที่เป็นโลหะเงิน นั่นหนา
. ในเมื่อ หามาบ่ ได้ ผิดสัญญา งานแต่งกะเป็นอันยกเลิก
เดี๋ยวก่อน ท่านเศรษฐี ในสัญญาบอกว่า สินสอด คือ เงินพันหาบ บ่ได้เจาะจงว่า เป็นโลหะเงิน ฉะนั้น ข้อยเอา เงินที่เป็นใบไม้ มาเป็นสินสอด กะบ่ได้ผิดสัญญาเด้..... แมนบ่ท่านอำมาตย์ ขุนศรีฯ หันไปถาม อำมาตย์ที่เป็นพยาน
อำมาตย์ กะว่า เว้าจั่งซี้กะถืก คือกัน ขุนศรีกะบ่ได้ผิดสัญญา
ในที่สุด เศรษฐีกะต้องยกลูกสาว ให้ขุนศรีฯ ทั้งๆ ที่บ่ อยากยกให้ สูนให้ขุนศรีฯ กะพองกัน
ขุนศรีฯ ได้ลูกสาวเศรษฐีมาเป็นเมีย ด้วยสินสอด คือ ต้นทองพันชั่ง หนึ่งต้น กับใบเงินพันหาบ ปานวะได้ฟรี กะยังว้ากะยังว่า
|