ยังมีเมืองใหญ่กว้างเมืองนึง ชื่อว่าเมือง พารา อยู่เมืองนี้ ข้าวน้ำซ่ามปลา กะอุดมสมบูรณ์ดี ชาวเมืองกะพากันอยู่เย็นเป็นสุข ความฮู้ การเรียน การศึกษาศิลปวิชา กะรุ่งเรื่องดี นักปราชญ์กะหลาย เด้
อยู่เมืองพารา มีท้าวอั่นนึง (เอิ้นเลาว่า ท้าวเขียน ซะเนาะ) ท้าวเขียน เลากะเก่งทางขีดๆ เขียนๆ นั่นล่ะ เลาวาดรูปเก่ง วาดได้เร็ว ได้งามคัก แล้วกะ ความสามารถเฉพาะโต อีกอย่างนึงของเลากะคือ ในระยะเวลาแค่กะโดดเทื่อเดียว สามารถวาดรูปได้เสร็จ มีรายละเอียดเรียบร้อย ว่าซั่นเถาะ
ช่วงนึง เมืองพาราจัดประกวดวาดรูปเนาะ ท้าวเขียน กะเข้าแข่งนำเขาเด้ แล้วกะชนะเลิศในเมืองพารา เจ้าเมืองเห็นความสามารถเฉพาะโต ของท้าวเขียนแล้ว คิดอยากใช้ให้เป็นประโยชน์ กะเลยส่งท้าวเขียน ไปแข่งกะโดดวาดรูป เอาบ้านเอาเมือง กับเมืองนั่นเมืองนี้
รูปที่กะโดดวาดแข่งขันกัน กะคือ รูปสัตว์ เพราะเจ้าเมืองเลาเห็นว่า รูปสัตว์ มีรายละเอียดหลาย กั่วรูปแนวอื่น อย่างเช่น รูปภูเขา รูปอีตาเว็น รูปอีเกิ้ง มันกะวาดบ่ยากปานได๋ กะเลยกำหนดอย่างชัดเจนว่า
แข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ ซั่นเด้
คณะของท้าวเขียน ไปแข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ กับเมืองได๋ กะชนะทุกเทื่อ ได้บ้านเมืองเขามาหลายหม่องแล้ว.... ในที่สุด กะมาเถิงคราวของเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ
พระราชา ได้รับจดหมายท้าประลองแล้ว กะให้ป่าวประกาศ หาผู้ที่มีความสามารถ วาดรูปได้งาม เร็ว ให้มาชุมนุมกัน เพื่อคัดเลือก ว่าซั่นเถาะ
ช่วงนี้ เซียงเมี่ยง อยู่ในระหว่างถืกไล่ออก จากราชการเนาะ กะฮู้ข่าวคือกันนั่นล่ะ แต่ว่ากะทำเสยไว้.....
คนที่มาชุมนุมกันทั้งหลาย ผู้ที่วาดเร็ว เก่งที่สุด กะยังบ่สามารถสิวาดรูปได้แล้วเสร็จ ภายในเวลาแค่การกะโดดเทื่อเดียว คือว่า กะโดดขึ้น พอแต่เขียนได้ขีดสองขีด เส้นสองเส้น ขากะตกเหยียบพื้นแล้ว นั่นหนา
พระราชากะฮู้สึกฮ้อนฮน บ่ฮู้ว่าสิเฮ็ดแนวได๋ดี เซียงเมี่ยงกะถืกไล่ออกไปแล้ว สิไปนำหามัน ขอร้องมันให้กลับคืนมา กะเสียเกียรติ เสียสัตย์ กะเลยได้แต่นั่งอุกอั่งเอ้า แน่นอั่งในมโน ซั่นแหล่ว....
พอดี เซียงเมี่ยง กะมาขอเข้าเฝ้า บอกว่าดิ้นได้ปิ้นแล้ว ขอมารับราชการคือเก่า พระราชากะเลย ให้เซียงเมี่ยง เป็นคนจัดการ เรื่องกะโดดแข่งวาดรูปสัตว์ สะล่ะล่ะ....
พอฮอดมื้อแข่งขัน.... ชาวเมืองที่รอเบิ่งการแข่งขัน กะมาชุมนุมอยู่ลานแข่งขัน เป็นที่เรียบร้อย.... ท้าวเขียนแห่งเมืองพารา ลุกขึ้นย่างอย่างองอาจ หยิบพู่กันขึ้นมา จุ่มหมึก ย่างอาดอาด ไปเลาะผนังกำแพง... กลั้นหายใจรวมพลัง แล้วกะกะโดดขึ้น เห็นแต่พู่กันตวัดฟับฟับ.. พอขาเลาตกเหยียบพื้น รูปสิงโตผงาดโตนึง กะแล้วเสร็จสมบูรณ์ อย่างสวยงาม
ชาวเมืองกะตบมือโห่ฮ้อง แซ่ซ้อง ออนซอน....
มาฮอดทีของเซียงเมี่ยงสะล่ะล่ะ... เซียงเมี่ยง กะลุกขึ้นย่างอาดอาด ไปเลาะกะปุกหมึก ชูมือขวาขึ้น ให้ชาวเมืองเบิ่ง เป็นทำนองว่า ระดับข้อย.. เซียงเมี่ยง.. บ่จำเป็นต้องใช้พู่กันดอก.. ใช้แค่นิ้วมือนี่ล่ะ ว่าเด้
จากนั้นเซียงเมี่ยง กะเอามือทั้งห้านิ้วจุ่มหมึก ย่างอาดอาด ไปเลาะผนังกำแพง... ทำทรงเป็นกลั้นหายใจ ผนึกลมปราณน้อ แล้วกะกะโดดขึ้น เอามือไปแตะผนัง แล้วกะตวัดซ้ายขวาจักหน่อย... พอแต่ตีนตกเหยียบพื้น กะเห็นเป็นเส้นงอง่องแง่ง เป็นทางยาวลงมาห้าเส้น
ชาวเมือง กะพากันโห่เซียงเมี่ยง คณะของท้าวเขียน กะหัวเราะเยาะเซียงเมี่ยง ว่า วาดรูปบ่เป็น กะมาแข่งให้เสียเมืองน้อ... แล้วกะถามเซียงเมี่ยงว่า
นี่มันรูปอีหยัง รูปแม่น้ำทั้งห้าบ้อ???
5555555555 (เสียงหัวร่อเด้หนิ )
เซียงเมี่ยง กะเลยเว้าว่า
หยุดก่อน หมู่เจ้าอย่าฟ้าวหัวร่อ.... รูปที่หมู่เจ้าเห็นน่ะ คือรูป ขี้ไก่เดียน ท้าวเขียน วาดรูปสัตว์ได้แค่หนึ่งโต แต่ว่า ข้อยสามารถวาดได้ ตั้งวะห้าโต วาดได้หลายกั่วท้าวเขียน ตั้งวะสี่โต ข้อยวาดได้เร็วกั่ว ข้อยคือผู้ชนะ
ฮ่วย จั่งได๋จั่งเอาขี้ไก่เดียนมาวาดเดียวหนิ.. ท้าวเขียนวาดสิงโต เซียงเมี่ยง กะควรสิวาดสิงโตคือกันนั่นตั้ว มันจั่งสิสมกัน...
กะซ่างเหล่ว... กติกาบอกว่าให้ แข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ บ่ได้กำหนดว่า เป็นสัตว์อีหยังแมะ... ข้อยวาดได้ชนะท้าวเขียนสี่โต กะแล้วกันล่ะ
ในที่สุด คณะของท้าวเขียนแห่งเมืองพารา หาข้อโต้แย้งบ่ได้ กะต้องแพ้ปัญญา ของเซียงเมี่ยง เสียเมืองให้เมืองทวาลี สะล่ะล่ะ
|