ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
แนวผู้ฮ้ายลี้อยู่คือกบ เห็นคนมาหลูบลิลูลงลี้ แปลว่า คนขี้เหร่ แอบอยู่เหมือนกบ เห็นคนเดินมา รีบกระโจนหลบซ่อน หมายถึง คนทำผิด รู้ตัวว่าทำผิด ไม่กล้าสู้หน้าผู้คน มักหลบๆซ่อนๆ


  ค้นหาสาธุการ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16  
  โพสต์โดย   20) หมากต้องแล่ง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2) ข้อมูลด้านพฤกษศาสตร์เกี่ยวกับต้องแล่ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ชื่อพื้นบ้านอีสาน : ต้องแล่ง
ชื่อทั่วไป : นมน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polyalthia evecta (Pierre) Finet &Gagnep.
วงศ์ : Annonaceae
ประเภท : ไม้พุ่ม
ลักษณะวิสัย :
นมน้อยเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 0.5-1 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนานหรือรูปวงรี กว้าง 2-4 ซม. ยาว 6-12 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปทรงกลม เมื่อสุกมีสีน้ำตาลแดง เกิดตามที่รกร้างทั่วไป และตามป่าเต็งรัง
ประโยชน์ ราก ต้มน้ำดื่มแก้กล้ามเนื้อท้องเกร็ง บำรุงน้ำนม

ที่มา : http://www.walai.msu.ac.th/cdb/question.asp?QID=302              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1235 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 1235 ครั้ง
 
 
  12 ก.ย. 2549 เวลา 14:58:47  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   3) นางเต่าคำ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) นางเต่าคำ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
     อดีตกาลนานมาแล้ว...

     ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัว ชื่อกุปปิตา มีเมียสองคน เมียหลวงชื่อว่า จิตตา เมียน้อยชื่อว่าสาลี เป็นพวกนับถือผี ต่อมาก็เป็นเป้า (ผีเป้า) มักกินของดิบ เห็นปู ปลา กบเขียด ก็จับกินดิบๆ เลย

     ต่อมา เมียทั้งสองก็ตั้งครรภ์ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน  นางจิตตา คลอดลูกก่อน เป็นผู้หญิง ตั้งชื่อให้ลูกว่า “อุททาแก้ว”

     ต่อมาอีกไม่นาน นางสาลี ก็คลอดลูกเป็นหญิงเช่นเดียวกัน ตั้งชื่อให้ลูกว่า “สามา”

     เมียน้อย ไม่ค่อยถูกกันกับเมียหลวงอยู่แล้ว พอมีลูก นางสาลียิ่งยุแหย่ให้นางสามา เกลียดนางจิตตากับนางอุททา

    นางสามา มักจะรังแกนางอุทททาอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งมีแม่คือนางสาลีให้ท้ายด้วยแล้ว ยิ่งรังแกนางอุททามากยิ่งขึ้น.... เหตุการณ์ได้ผ่านไปเรื่อยๆ จนลูกสาวทั้งสองคนอายุได้สิบสี่ปี

     อยู่มาวันหนึ่ง  กุปปิตา ได้พาเมียทั้งสอง ลงเรือออกหาปลา นางสาลี พายทางด้านหัวเรือ นางจิตตาพายทางด้านท้ายเรือ

     เมื่อสามีทอดแหได้ปลา ก็แบ่งให้นางสาลีบ้าง ให้นางจิตตาบ้าง เท่าๆ กัน ทั้งสอง ก็จะเอาปลาใส่ในข้องของตน... แต่นางสาลี เนื่องจากเป็นเป้า.. ได้แอบจับปลาในข้องกินไปตลอดทาง

     เมื่อตอนขากลับ นางสาลีเห็นว่า ปลาในข้องของตนเหลือน้อย ก็หาโอกาสเปลี่ยนสลับข้องของตนกับของนางจิตตา

     เมื่อใกล้ถึงบ้าน กุปปิตา จะดูว่าได้ปลามากน้อยเท่าใด จึงตรวจดูปลาในข้องของเมียทั้งสอง พอเห็นปลาในข้องของนางจิตตาน้อยผิดปกติ ก็โกรธ ด่าว่าต่างๆ นานา นางสาลี ก็คอยพูดยุแหย่ จนกุปปิตา โมโหมากขึ้น คว้าไม้พายฟาดเข้าที่คอนางจิตตาเต็มแรง จนนางจิตตาเสียชีวิต ก็ผลักศพลงน้ำไป

-----ติดตามตอนต่อไป-----

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1145 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 1145 ครั้ง
 
 
  13 ส.ค. 2549 เวลา 22:50:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17) การทำเหล้าอุ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
เหล้าอุ ก็ใช้เชื้อแบบเดียวกับเหล้าโทนั่นแหละ แต่ขั้นตอนการทำ และส่วนประกอบนั้นแตกต่างอยู่นิดหน่อย.. ซึ่งจากที่ได้ยินฟังมา (ไม่เคยทำเอง) มีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้


- นำข้าวสารและแกลบมาซาวน้ำ แช่ทิ้งไว้ 3-6 ชั่วโมง (หรือหม่าจนข้าวไหน่)

- นำข้าวและแกลบไปนึ่งให้สุก แล้วนำไปผึ่งให้เย็น

- ผสมลูกแป้งบด ในปริมาณที่เหมาะสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน

- นำข้าวและแกลบที่ผสมแป้งแล้ว บรรจุลงไห บีบอัดให้แน่น

- ปิดปากไหด้วยถุงพลาสติก และนำขี้เถ้าผสมน้ำปิดปาก หมักประมาณ 20 วัน

- เวลาจะกิน ก็เปิดออก เติมน้ำดื่มสะอาดลงไป ใช้หลอดดูด(ที่มีที่กรองกันแกลบ) ดูดกินได้เลย


 
 
สาธุการบทความนี้ : 1046 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 1045 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:57:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   3) นางเต่าคำ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่3) นางเต่าคำ(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
   เมื่อเต่าสุกดีแล้ว นางสาลี ก็ตัดแบ่งแจกให้เพื่อนบ้านเอาไปกิน ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้นางอุททา ได้กระดูกของนางเต่าคำนั่นเอง

     พวกชาวบ้านที่รู้ว่า เต่าตัวนั้น คือนางจิตตากลับชาติมาเกิด ก็ไม่กล้ากิน ได้พากันเอาไปเททิ้ง

     ฝ่ายนางอุททา ก็บอกให้สุนัขช่วยดมกลิ่นตามหากระดูกเต่าให้... สุนัข ก็ไปหาเก็บกระดูกเต่ามาให้นางอุททาจนหมด... นางอุททา เมื่อได้กระดูกเต่ามาแล้ว ก็เอาไปฝังไว้ที่ทางสี่แพร่ง... หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีต้นโพ งอกขึ้นมา ณ ที่ตรงนั้น

     หนึ่งปีผ่านไป... ต้นโพต้นนั้น ก็ใหญ่โตขึ้น มีกิ่งก้านสาขางอกงาม ใบมีสีเหลืองดังทอง เมื่อยามต้องลม ก็เกิดเสียงดังราวกับเสียงดนตรี... ต้นโพต้นนั้น ให้ร่มเงาที่ร่มรื่น และให้เสียงขับกล่อมอันไพเราะ ทำให้ใครๆ ที่ผ่านไปผ่านมา ก็จะต้องนั่งพัก ข่าวเรื่องต้นโพ ได้ล่ำลือออกไป คนบ้านไกล ก็พากันมาเที่ยวดูชม...

     ข่าวเรื่องต้นโพนั้น ก็ยิ่งแพร่กระจายออกไป จนไปถึงพระกรรณของท้าวพรหมทัต ผู้เป็นเจ้าเมือง

     พระองค์ได้เสด็จไปทอดพระเนตร และอยากได้ต้นโพนี้ไปปลูกไว้ในพระราชฐาน จึงได้เกณฑ์ผู้คน ให้ไปขุดถอนเอาต้นโพต้นนั้น... แต่ว่า คนที่มาทั้งหลาย ไม่สามารถถอนเอาต้นโพต้นนั้นขึ้นมาได้ แม้จะใช้คนมากมายสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะขุดถอนต้นโพได้

     ท้าวพรหมทัต ให้เกณฑ์คนทั้งตำบล มาช่วยกันดึง ก็ไม่สามารถจะดึงถอนขึ้นได้ ทำให้พระองค์แปลกพระทัยมาก จึงได้ตรัสถามว่า ได้เกณฑ์คนมาหมดทั้งตำบลแล้วหรือ

     กุปปิตา ก็ทูลว่า ยังมีเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือนางอุททา ตอนนี้ กำลังเลี้ยงวัวอยูที่ทุ่งนา

     ท้าวพรหมทัต ก็ให้ทหาร ไปตามมาเฝ้า.... และได้ตรัสบอกถึงวัตถุประสงค์ที่จะเอาต้นโพนี้ไปปลูกไว้ในพระราชวัง ขอให้นางอุททาช่วย

     นางอุททา จึงเข้าไปไหว้ต้นโพ บอกกล่าวให้แม่ทราบ... จากนั้น นางอุททา ก็ถอนต้นโพขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ท้าวพรหมทัต ตลอดทั้งเสนาอำมาตย์ และชาวบ้านทั้งหลายพากันประหลาดใจไปตามๆ กัน

     ท้าวพรหมทัตดีพระทัยมาก ตรัสสั่งให้นำต้นโพนั้นขึ้นบนหลังช้าง และได้ขอนางอุททาให้ไปอยู่ในวังด้วย จากนั้นได้เสด็จกลับพระนคร พร้อมทั้งนางอุททา

     นางอุททา เมื่อได้มาอยู่ในวัง ไม่มีนางสาลีกับนางสามาคอยกลั่นแกล้ง ก็อยู่อย่างมีความสุข...ต่อมาท้าวพรหมทัต ได้แต่งตั้งให้นางอุททาเป็นมเหสี ให้เป็นใหญ่กว่านางสนมทั้งปวง...

     หนึ่งปีผ่านไป นางอุททา ก็ประสูติพระธิดา และปีต่อมา ก็ประสูติพระโอรส

-----ติดตามตอนต่อไป-----

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1034 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 1034 ครั้ง
 
 
  13 ส.ค. 2549 เวลา 22:55:30  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   99) หาหน่อไม้ บ้านบ่าวปิ่น กินวอสก้า..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่152)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ถ้านั่งเบียดกันไป หน้า2 หลัง4 กะน่าสิได้ คัน ละ 6 คน ยุดอก

แต่ต้องหาวิธีเดินทาง มาเมอเจอร์ รังสิต เด้

ฉะนั้น ขบวนจากหอพักฯ บางคน กะสามารถขึ้นรถมากับชาญแดนพนมได้ แต่อาจต้องมีคนเสียสละ นั่งรถเมล์มาเมเจอร์รังสิต เด้อ  

หรือบ่ซั่น กะพากันนั่ง สาย29 มาเมเจอร์รังสิตทุกคนโลด กะได้

ถ้าน้องน้ำไปอีกคน กะสิมีผู้ญิง3คน มีหมู่แล้วเด้อ สาวส่าฯเอ้ย..

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1015 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 1015 ครั้ง
 
 
  10 ส.ค. 2553 เวลา 10:24:24  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   53) สังข์ศิลป์ชัย  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2) สังข์ศิลป์ชัย (เรื่องย่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
โหรหลวง ทำนายว่า ศิลป์ชัยเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก ในภายภาคหน้าจะได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้ากุสราช จึงเอ็นดูศิลป์ชัยกุมารเป็นพิเศษ

มเหสีทั้งหกคน เกรงว่านางจันทาเทวีและนางลุน จะได้ดีกว่าตน จึงร่วมกันบังคับโหราจารย์ให้ทำนายใหม่ว่า สีโห ศิลป์ชัย และสังข์ทอง มีลักษณะผิดแผกจากคนธรรมดาทั่วไป เป็นเสนียดจันไร จะนำความวิบัติมาสู่บ้านเมือง ให้ขับไล่ออกนอกเมืองเสีย และโหราจารย์ก็ทำนายโกหกตามนั้น

พระเจ้ากุสราชหลงเชื่อ จึงขับไล่สีโห ศิลป์ชัย และสังข์ทอง ออกจากเมือง นางจันทาเทวี และนางลุน อ้อนวอน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจออกจากบ้านเมือง พร้อมลูกชาย

เมื่อนั้น  สองกษัตริย์ไท้                         เดินดงหิวหอด
          เลี้ยงลูกน้อย                            นานช้ายากแคน
          พิเศษพร้อม                             เนืองนอบมัสการ
          ยอมือทูนเทโว                         ฮอดอินตาไท้
          ขอจ่งชักชักน้อย                       เนาพลอยพ้นโทษ     ปางนี้
          แม่นชื่อบาปหมื่นชั้น                   เชิญให้เกือยไกล     แด่ถ่อน
          พื้นทะแหล่งหล้า                        เงื้อมแง่ไพรสณฑ์    ก็ดี
          เชิญชูสอง                               สำฮานคายแค้น
          แม่นว่าไตรตรองพื้น                     นาคาครุฑใหญ่       ก็ดี
          กับทั้งนางเทพสร้อย                    สรวงไท้เมขลา …


นางจันทาเทวี นางลุน สีโห ศิลป์ชัย และสังข์ทอง เดินทางรอนแรมร่อนเร่พเนจรด้วยความยากลำบาก จนมาถึงป่าลึกแห่งหนึ่ง พระอินทร์สงสาร จึงมาเนรมิตรปราสาทไว้ให้ ทั้งห้าคน จึงได้พักอาศัยอยู่ปราสาทนั้น จนศิลป์ชัยเติบโตเป็นหนุ่ม

กุมารทั้งหก ได้ไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ต่างเมืองจนสำเร็จ พร้อมกับโตเป็นหนุ่ม และเดินทางกลับเมืองเป็งจาล

พระเจ้ากุสราช ยังคงระลึกถึงพระนางสุมณฑาน้องสาวอยู่ไม่ขาด เมื่อเห็นว่าบุตรทั้งหกคนสำเร็จวิชาการต่อสู้แล้ว จึงเล่าเรื่องนางสุมณฑาซึ่งเป็นอา ให้ฟัง ให้ช่วยออกตามหาและพากลับมาเมืองเป็งจาล

หกกุมาร เดินทางเข้าป่า มุ่งหน้าสู่เมืองยักษ์ จนมาพบศิลป์ชัย สังข์ทอง สีโห นางจันทาและนางลุน เมื่อพูดคุยกันแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นญาติกัน

หกกุมารได้เห็นฝีมือของศิลป์ชัยแล้ว ลอบปรึกษากันว่า หากไม่มีศิลป์ชัยไปช่วยต่อสู้กับยักษ์ พวกตนคงสู้ไม่ได้ จึงหาทางล่อหลอกให้ศิลป์ชัยไปกับพวกตน โดยอ้างว่า หากศิลป์ชัย สีโห และสังข์ทอง ช่วยอาสุมณฑากลับมาได้ พระเจ้ากุสราช จะอภัยโทษให้และรับกลับเข้าเมือง

ศิลป์ชัยจึงรับปากที่จะไปด้วย
นางลุนก็กล่าวสอนศิลป์ชัยว่า ให้ดูแลสีโหและสังข์ทองให้ดีด้วย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1014 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 1012 ครั้ง
 
 
  28 พ.ย. 2551 เวลา 11:09:38  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   53) สังข์ศิลป์ชัย  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1) สังข์ศิลป์ชัย (เรื่องย่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ยังมีนคเรศล้ำ ชั้นชื่อเป็งจาล
นิคมคน คั่งเพงพอตื้อ
เขียงหลวงล้นลุงลัง ล้านย่าน
น้ำแผ่ล้อม ระวังต้านชั่วภัย
ฮุ่งเฮืองล้น ชาวเทศเทียวสะเภา
อุดมโดย ดั่งดาวะดิงฟ้า
ลือเกียรติ์ท้าว ทาดาแดนทีบ
เมืองใหญ่กว้าง คนเค้าคั่งโฮม
ภูเบศร์สร้าง ท้าวนามกุสราช
แปงปกบ้าน เมืองฮุ่งคู่เคียง
เขียงเชงอ้าง นครคนใดเปรียบ
โฮงใหญ่กว้าง ออระทึมผ่านเชียง



อดีตกาลนานมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่ากุสราช เสวยราชย์อยู่เมืองเป็งจาล (เมืองปัญจาละ) มีอัครมเหสีพระนามว่า จันทาเทวี ปกครองบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง

พระเจ้ากุสราช มีกนิษฐภคินี (ขออนุญาต ใช้คำธรรมดาก็แล้วกันเนาะ จะได้เล่าได้สบายปาก)...
พระเจ้ากุสราช มีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อว่า สุมณฑา

พระนางสุมณฑามีรูปโฉมงดงามมาก โอรสจากต่างเมืองต่างพากันหมายปองจะครองคู่

วันหนึ่ง พระนางสุมณฑา ไปเที่ยวเล่นที่อุทยาน สำราญใจ
วันนั้น ยักษ์ชื่อกุมภัณฑ์ เหาะเที่ยวเล่นชมเมืองต่างๆ จนมาถึงอุทยานเมืองเป็งจาลที่นางสุมณฑาเล่นอยู่ เมื่อยักษ์กุมภัณฑ์ได้พบ ก็หลงรักทันที ยักษ์กุมภัณฑ์ จึงเหาะลงมาและอุ้มเอานางสุมณฑา เหาะพากลับเมืองยักษ์ นำไปเป็นภรรยา

พระเจ้ากุสราช ทราบข่าวว่าน้องสาวถูกยักษ์ลักพาตัวไป ก็เศร้าโศกเสียใจ และตัดสินใจออกบวชเป็นภิกษุ ออกธุดงค์ติดตามหานางสุมณฑาน้องสาวอันเป็นที่รัก

พระเจ้ากุสราช ในเพศภิกษุ ออกติดตามหาในที่ต่างๆ นานหลายปี ก็ไม่พบ ไม่สามารถเข้าถึงเมืองยักษ์ได้ จนมาถึงเมืองจำปา

ในเมืองจำปา มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อนันทะเศรษฐี มีธิดาสาวแสนสวยเจ็ดคน

วันหนึ่ง พระภิกษุกุสะ เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านนันทะเศรษฐี ธิดาเศรษฐีทั้งเจ็ดคน ออกมาใส่บาตร เมื่อพระภิกษุกุสะเห็นเข้า ก็หลงใหลในความงาม ไม่อาจตัดใจได้ จึงเดินทางกลับเมืองเป็งจาล ลาสิกขา และให้อำมาตย์เดินทางไปสู่ขอลูกสาวทั้งเจ็ดของเศรษฐีมาเป็นมเหสี เศรษฐีก็ยอมยกให้โดยดี

พระเจ้ากุสราช จึงมีมเหสีทั้งหมด แปดคน ด้วยกัน แต่ก็ยังไม่มีลูกสักคน จึงให้มเหสีทั้งแปดคน ไปบูชาบวงสรวงพระอินทร์ เพื่อขอลูก

พระอินทร์ เมตตา จึงบัญชาให้เทพบุตร 3 องค์ ผู้มีบุญญาธิการลงมาเกิด โดย องค์หนึ่งมาเกิดในท้องนางจันทาเทวี อีก 2 องค์ มาเกิดในท้องของนางลุน ธิดาคนสุดท้องของเศรษฐี

มเหสีทั้งแปด ก็ตั้งครรภ์พร้อมกัน

นางจันทาเทวี ออกลูกเป็นสิงห์ จึงตั้งชื่อว่า สีโห

นางลุน ออกลูกเป็นฝาแฝด โดยแฝดคนแรก เป็นเด็กผู้ชาย ถือพระขรรค์และธนูศิลป์ติดมือมาด้วย จึงตั้งชื่อว่า สินไชย (หรือเขียนเป็น ศิลป์ชัย) แฝดคนที่สอง เป็นหอยสังข์ จึงตั้งชื่อว่า สังข์ทอง

ส่วนมเหสีอีกหกคน ได้ลูกชาย ซึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1004 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 1002 ครั้ง
 
 
  27 พ.ย. 2551 เวลา 14:17:56  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่18)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 


ร่ำสุราเพียงเดียวดาย แม้สุราจะเลอค่าปานใด นับว่า ไร้รสชาติอย่างยิ่ง

.......................................................

"กระบี่ออกจากฝัก ต้องได้ดื่มโลหิต
คนพบสหาย ต้องได้ดื่มสุรา
ร่ำสุรากับผู้รู้ใจ สถานที่เยี่ยงใด ไม่นำพา
แม้กับแกล้มมีเพียงแมกไม้ เดือนดาว สายลม
นับว่าสุขใจอย่างยิ่ง"

กระบี่โลหิต

...................................................

"ร่ำสุรากับสหายที่รู้ใจ ร้อยจอกพันจอกมิมีเมา"
กระบี่เจ้าสำราญ

...................................................

"สุรา ยิ่งร่ำยิ่งเมามาย กระบี่ ยิ่งร่ำยิ่งช่ำชอง"
ทวนทรนง

...................................................
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 990 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 990 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 09:04:04  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1045)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
เป็นตาสะออนแท้ๆ การเผยแพร่วัฒนธรรม
สร้างคุณงามความดี บารมีสิส่งยู้
คนบ่ฮู้สิได้ฮู้ คนบ่ดูสิได้ฮ่ำ
ฮิ่นตรองฮีตคองธรรม นำชีวีให้ดีขึ้น ภายหน้ากว่าแต่หลัง

อ้ายเซียงน้อยบ่หยุดยั้ง ทำความดีสานสืบต่อ
ให้พ่อแม่พี่น้อง ชาวบ้านได้เพิ่งพา
วาสนาคนเฮานี่ บ่คือกัน นั่นกรรมเก่า
ชาตินี้บ่สร้างเอา บ่สั่งสมบุญไว้ ผลาน้อยแฮ่งจ่อยลง..
ซั่นแหลว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 959 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 956 ครั้ง
 
 
  07 ก.ค. 2552 เวลา 13:12:07  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) ชายพิการ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ได้แง่คิดดีครับ

นี่ล่ะเนาะ เพิ่นจั่งว่า "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"

สิปฺปํ มงฺคลมุตฺตมํ
ความเป็นผู้มีศิลปะ เป็นมงคลสูงสุด (อย่างหนึ่งในมงคล38ประการ)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 956 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 956 ครั้ง
 
 
  10 ต.ค. 2550 เวลา 15:27:53  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   11) ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่14) ผีโพง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ผีโพง เป็นผีประเภทเดียวกับผีเป้า ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบเห็ดแสง

ว่านชนิดนี้ ผู้เรียนอาคม มักปลูกไว้ข้างรั้วบ้าน สมัยก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนอาคมกันอยู่แล้ว การปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และว่านนี้ ก็จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ หากนำมาเข้ายา ก็เป็นยา หากนำมาเข้าพิธี ก็เป็นมวลสารกายสิทธิ์

ว่านชนิดนี้ เมื่อเข้าพิธีแล้ว มีความเป็นกายสิทธิ์อะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนคนกลายเป็นผีโพงได้ ก็เกิดจากรักษาข้อกำหนดไม่ได้ หรือภาษาอีสานเรียก ผิดข้อคะลำ ทำให้ตนควบคุมมวลสารกายสิทธิ์นั้นไม่ได้ สุดท้าย ตกอยู่ภายใต้อำนาจมวลสารกายสิทธิ์นั้น และกลายเป็น ผีโพง ไปในที่สุด

ผีโพง ชอบกินของสดคาว แบบเดียวกับผีเป้า แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ผีโพง จะมีแสงเรืองๆ บริเวณปากหรือไม่ก็ปลายจมูก (เข้าใจว่า น่าจะเป็นแสงจากว่านซึ่งผีโพงอมติดปากมา) ผีโพง ชอบแอบออกหากินตอนกลางคืน จับกบจับเขียดกิน บางครั้ง ผีโพง ก็ดูดกินเพียงยางคาวของกบเขียด หรือมันกินแบบไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งหากไปทุ่งนาในวันต่อมา เห็น ตามคันนา มีซากกบเขียดนอนตายอยู่หลายตัว นั่นแสดงว่า ถูกผีโพงมาดูดเลียกินแล้ว

ผีโพง โดยมากเป็นชาย อาจเป็นเพราะว่า การเรียนคุณไสยชนิดนี้ เหมาะสำหรับผู้ชาย ก็เป็นได้

คนที่เป็นผีโพง ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่มีใครไปเห็นตอนที่กำลังกินสัตว์เป็นๆ ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากมีคนบังเอิญไปเห็นและรู้เข้าว่าใครเป็นผีโพงแล้ว    ผีโพงนั้น  ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้ เพราะเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ก็อาจจะเจรจาต่อรอง ขอร้อง ให้ของแลกเปลี่ยน หรือไม่ ก็บอกว่า หากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เอ็งจะชิบหาย ซึ่งผีโพงมีอาคมอยู่แล้ว การใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่เห็น จึงยากจะมีใครนำมาเปิดเผยต่อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 941 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 940 ครั้ง
 
 
  25 มิ.ย. 2550 เวลา 14:28:35  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่14) อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 


ข้อมูลทั่วไป    

อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ เป็นพื้นที่ในบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียง เหนือตอนบน ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดอุดรธานี และตอนบนของจังหวัดขอนแก่น สภาพธรณีเป็นภูเขาหินทรายซึ่งมีชั้นของของหินทรายอยู่ด้านบนระดับผิวดิน โดยมีชั้นของหินดินดาน หรือหินดินดานปนทรายเป็นฐาน ด้านล่างมีดินประเภทดินลูกรังและดินร่วนปนทรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า ทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ และสภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าเต็งรัง มีเนื้อที่ประมาณ 201,250 ไร่ หรือ 322 ตารางกิโลเมตร

แต่เดิมกรมป่าไม้ได้พิจารณากำหนดให้ป่าภูเก้าเป็นป่าโครงการไม้กระยาเลยเพื่อใช้สอย ตามหนังสือกรมป่าไม้ ที่ กษ 0703/38 ลงวันที่ 5 มกราคม 2513 ซึ่งต่อมาป่าภูเก้าแห่งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าภูเก้า” ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 490 (พ.ศ. 2515) ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2515 และเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2524 นายสุพรรณ สุปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี ได้มีหนังสือกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาจัดป่าสงวนแห่งชาติภูเก้า ท้องที่จังหวัดอุดรธานี เป็นอุทยานแห่งชาติ

สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงมีหนังสือ ที่ สร 0107(งสส.)/3782 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งนายจำนงค์ โพธิสาโร รองอธิบดีกรมป่าไม้ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้ มีบันทึกท้ายหนังสือกองอุทยานแห่งชาติ ที่ กส 0708/1198 ลงวันที่ 8 เมษายน 2524 ให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ จึงได้มีคำสั่งที่ 571/2524 ให้นายวินัย ชลารักษ์ เจ้าพนักงานป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเบื้องต้น

ผลการสำรวจพบว่าป่าสงวนแห่งชาติภูเก้า ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า จุดเด่นมีทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติหลายแห่ง เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือรายงานการสำรวจเบื้องต้นที่ กส.0708 (ภพ)/257 วันที่ 29 กรกฎาคม 2524 และทางสภาตำบลโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ได้มีหนังสือลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2526 สนับสนุนให้ดำเนินการจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 2/2526 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2526 ให้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติได้

ต่อมานายพิชา พิทยขจรวุฒิ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเก้า ได้มีหนังสือที่ กษ. 0713(ภก)/8 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2527 ขอผนวกพื้นที่เทือกเขาภูพานคำบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งมีสภาพป่าเต็งรังค่อนข้างสมบูรณ์และมีทิวทัศน์รอบอ่างเก็บน้ำสวยงามเข้าเป็นอุทยานแห่งชาติด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สมบูรณ์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งได้มีการดำเนินการประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าภูเก้า ในท้องที่ตำบลหัวนา ตำบลนามะเฟือง อำเภอหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) ตำบลบ้านถิ่น ตำบลโคกม่วง ตำบลนิคมพัฒนา ตำบลโนนเมือง ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) และที่ดินป่าภูพานในท้องที่ตำบลกุดดู่ ตำบลโนนสัง ตำบลบ้านค้อ ตำบลหนองเรือ ตำบลโคกใหญ่ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) และป่าโคกสูง ป่าบ้านดง ในท้องที่ตำบลศรีสุขสำราญ ตำบลนาคำ ตำบลบ้านดง ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ และตำบลหว้าทอง ตำบลทุ่งชมพู ตำบลนาหว้า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2528 ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 102 ตอนที่ 130 ลงวันที่ 20 กันยายน 2528 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 50 ของประเทศ


ลักษณะภูมิประเทศ     

ภูเก้า มีสันฐานคล้ายกะทะหงายโดยมีที่ราบอยู่ตอนกลาง พื้นที่เช่นนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่า พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเป็นซากภูเขาไฟโบราณที่ดับสนิทไปแล้วหลายร้อยล้านปี หรือมิฉะนั้นก็เป็นการโก่งตัวของเปลือกโลกในบริเวณนี้ขึ้นมาเป็นขอบเทือกเขา เทือกเขาภูเก้าเป็นเทือกเขาสองชั้น ชั้นนอกเป็นภูเขาสูงและมีความลาดชันมาก ไหล่เขาด้านในมีความลาดชันไม่มากนัก พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะสูงๆ ต่ำๆ บางแห่งเป็นที่ราบ

ภูพานคำ เป็นแนวทิวเขายาวในเทือกเขาภูพาน เรียงตัวตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ - ตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาเป็นแอ่งที่ราบต่ำลุ่มน้ำพอง ซึ่งเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ เมื่อมีการสร้างเขื่อนอุบลรัตน์ พื้นที่ดังกล่าวนี้กลายเป็นทะเลสาบ ซึ่งเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของส่วนภูพานคำ สภาพป่าเป็นป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณซึ่งขึ้นอยู่ในพื้นดินปนหิน


ลักษณะภูมิอากาศ     

ฤดูกาลของอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ แบ่งออกเป็น 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยจะร้อนจัดในเดือนเมษายน ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน-เดือนตุลาคม ปริมาณน้ำฝนจะตกมากที่สุดในเดือนกันยายน ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนมกราคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากร่องความกดอากาศสูงทางตอนใต้ของประเทศจีน


พืชพรรณและสัตว์ป่า     

สภาพโดยทั่วไปเป็น ป่าเต็งรัง มีไม้ขึ้นอยู่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่เป็นไหล่เขาและสันเขา พันธุ์ที่สำคัญได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง พะยอม กระโดน ฯลฯ พืชพื้นล่างประกอบด้วย ปรงป่า หญ้าเพ็ก เป้ง เถาวัลย์ และไม้หนามหลายชนิด ส่วน ป่าเบญจพรรณ เป็นป่าที่มีอยู่ในบริเวณที่ลุ่มริมฝั่งห้วย หุบเขา และไหล่เขาบางส่วน พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ แดง ประดู่ มะค่าแต้ กระบก ตะคร้อ ตีนนก ฯลฯ พืชพื้นล่างเป็นไผ่ชนิดต่างๆ ป่าดงดิบ มีอยู่เฉพาะบริเวณริมฝั่งห้วยเท่านั้น พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ตะแบก ยาง ตะเคียนหิน มะค่าโมง กระบก และชิงชัน เป็นต้น



แหล่งท่องเที่ยว  
  อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ เป็นพื้นที่ในบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดอุดรธานี และตอนบนของจังหวัดขอนแก่น ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า ทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่
  

  
ถ้ำเรขาคณิต และถ้ำมึ้ม

สันนิษฐานว่าร่องรอยที่ค้นพบมีอายุประมาณไม่ต่ำกว่า 3,500 ปี ในยุคบ้านเชียง ซึ่งสังคมมนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ปรากฏภาพเขียนสีและภาพสลักบนผนังภายในถ้ำ


ทิวทัศน์ริมทะเลสาบเหนือเขื่อนอุบลรัตน์และเกาะแก่งต่าง ๆ

เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวทางน้ำ และพักแรม สามารถเดินทางไปเที่ยวหมู่บ้านประมง อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี และซื้อปลาได้ที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น


หามต่าง หรือหามตั้ง

เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติเช่นเดียวกับเสาเฉลียง ที่ผาแต้ม คือ เกิดจากการกัดเซาะของน้ำสายลม และแสงแดด มีลักษณะเป็นแท่งหินตั้ง ขึ้นมีส่วนบนเป็นแผ่นหินวางอยู่โดยไม่ติดกันมองดูคล้าย ดอกเห็ด



น้ำตกตาดฟ้า

น้ำตกตาดฟ้า ตั้งอยู่ฝั่งส่วนภูเก้า เป็นน้ำตกขนาดเล็ก สายน้ำไหลมาตามธารเล็กๆ ท่ามกลางป่าเบญจพรรณ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาตามชั้นหินสูง 7 เมตร สู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง มีน้ำมากเฉพาะฤดูฝน


รอยเท้านายพรานและรอยตีนหมา

อยู่บริเวณตีนภูเก้าซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางอำเภอโนนสัง 18 กิโลเมตร เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ 2 รอยลึกลงไปในลานหิน ลักษณะคล้ายรูปเท้ามนุษย์และตีนสุนัขที่เห็นได้ชัดเจน


หอสวรรค์

เป็นจุดชมทิวทัศน์ อยู่ห่างจากวัดพระพุทธบาทภูเก้าประมาณ 1 กิโลเมตร มองเห็นทิวทัศน์ของที่ราบจังหวัดหนองบัวลำภู และผืนป่าเขียวขจีของอุทยานแห่งชาติกว้างไกลไปจนถึงอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ บริเวณนี้มีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมหน้าผา ก้อนหินสูง 30 เมตร มีบันไดให้ปีนขึ้นไปบนก้อนหินซึ่งมีศาลาตั้งอยู่ ชาวบ้านจึงเรียกจุดชมทิวทัศน์บนหินก้อนนี้ว่า “หอสวรรค์”



สถานที่ติดต่อ

อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ
ตู้ ปณ.2 ปทจ.อุบลรัตน์  อ. อุบลรัตน์  จ. ขอนแก่น   40250
โทรศัพท์ 0 1221 0764 อีเมล reserve@dnp.go.th
http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style2/default.asp?npid=98&lg=1  
  
การเดินทาง

  รถยนต์
  • จากจังหวัดหนองบัวลำภู ตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2146 แยกซ้ายบ้านวังหมื่น แยกซ้ายบ้านหัวขัว แยกซ้ายบ้านค้อ ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ ระยะทาง 58 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภออุบลรัตน์ 6 กิโลเมตร

• จากจังหวัดขอนแก่น ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ขอนแก่น-อุดรธานี) ประมาณ 26 กิโลเมตร แยกซ้ายตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2109 อีก 24 กิโลเมตร ถึงอำเภออุบลรัตน์ แยกขวาตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2146 ประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ รวมระยะทางประมาณ 56 กิโลเมตร


  รถโดยสารประจำทาง
  ใช้รถยนต์โดยสารประจำทางสายขอนแก่น-หนองบัวลำภู ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ



ที่มา : http://www.khonkaenlink.info/khonkaen_info/tour/pueklao.html

 
 
สาธุการบทความนี้ : 941 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 940 ครั้ง
 
 
  26 เม.ย. 2551 เวลา 08:53:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   21) หมากผีพ่วน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 

หมากผีพ่วนดิบ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 903 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 902 ครั้ง
 
 
  13 ก.ย. 2549 เวลา 09:09:14  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   66) ดอกไม้ ต้นไม้ เคยเห็นอยู่อิสานมาแต่กก แต่เค้า  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
หล้านางเอ้ย...
เจ้าผู้ดวงดอกไม้ กลีบใหม่กระจายหอม
เจ้าผู้ดอกกะยอมบาน แต่งใจพี่ชายนี้
เดือนสี่คล้อย กะยอมโรยแห้งเหี่ยว
แต่กะยอมในใจอ้าย บ่มีแห้งเหี่ยวเฉา.. เด้อนาง


เห็นรูปแล้ว จินตนาการถึงความหอมกุบทีบได้เลยครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 886 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 886 ครั้ง
 
 
  21 มี.ค. 2553 เวลา 20:30:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   66) เซิญแต่งนิทาน เรื่อง กุดจี่เบ้า โดยการเขียนกลอนแบบ เทียมแอก  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่65)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ยินดีครับป้าหน่อย

อันที่ผมปรับแก้คำผิด ให้ถืกต้อง อยู่ใน คห.ที่ 51 เด้อครับ

คลิกเบิ่ง คห.ที่51

 
 
สาธุการบทความนี้ : 885 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 885 ครั้ง
 
 
  18 เม.ย. 2553 เวลา 20:41:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   61) นิทานเรื่อง เทวดาบ่คึด (รวมนิทาน จารย์ใหญ่)  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่55)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:

เห็นนำ ๆ อ้ายมังกร
อ่านแล้วกะเพลินสมองดี
พอไว้แก้เครียด ใจฮ้ายหวยถืกแต่บ่ได้ซื้อ
555


บุญมี แต่กรรมบัง ตั้วหนิ..
เพิ่นจั่งว่า คาดสิได้บินมาคือนกเจ่า คาดสิบ่ได้บินเจ้ยเจิดหนี
หวยงวดนี้ บินหนีคือนกเจ่า สาวส่าเลยโศกเศร้า อ่าวโอ้เสียดายแฮง พะนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 877 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 877 ครั้ง
 
 
  02 พ.ค. 2553 เวลา 17:41:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   109) อาหาร อิสาน วิเศษ ไม่แพ้ชาติใด  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่63)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ส้มปลาน้อยเอ๋ยส้มปลาน้อย
ส้มปลาจ่อมเอ้๋ยส้มปลาจ่อม
กินญอมๆค่อยจ่ำค่อยซีม
คันบ่อิ่มไปตักมาอีก
บ่ต้องจีกโหม่มโตมันเลย
บ่อยากเชยมากินส้มปลาน้อย
ยายป้าหน่อยเพิ่นเฮ็ดแซบดี
ไผบ่มีโทรขอเพิ่นโลด.. พะนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 869 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 867 ครั้ง
 
 
  09 ม.ค. 2555 เวลา 17:10:40  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่15)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
อีกเหตุผลหนึ่งที่นิยมนำข้าวเก่ามานึ่งหมักเหล้าโท น่าจะคือว่า ข้าวเก่า นึ่งแล้ว ค่อนข้างแข็ง ไม่นิ่ม ไม่ค่อยติดกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อการผสมกับแป้งเหล้า นั่นคือ หากเป็นข้าวใหม่ เนื่องจากยังมียางอยู่มาก จึงเหนียวมาก ผสมกับแป้งเหล้ายาก แต่ข้าวเก่า ยิ่งเก็บไว้นาน ยางข้าวจะหายไป เม็ดข้าวแยกเม็ดได้ดี จึงผสมกับแป้งเหล้าได้ง่าย....

แต่ เหตุผลหลัก ก็อย่างที่กระบี่โลหิตว่าไว้ คือ ข้าวเก่า กินไม่อร่อย เอาไปทำขนมก็ไม่อร่อย ทำเหล้าดีกว่า ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 839 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 839 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:53:17  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   5) ผักกุ่ม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) ผักกุ่ม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
     สมัยเป็นเด็กน้อย (ตอนนี้ กะบ่ทันเฒ่าดอกหวา) ช่วงสิเข้าหน้าฮ้อนแบบนี้ล่ะ ไปเลี้ยงควาย พอยามบ่ายๆ แลง ๆ จักหน่อย แดดบ่ฮ้อนปานได๋ เด็กน้อย กะพากันไปขึ้นเด็ดเอาดอกไม้ ยอดไม้ชนิดหนึ่ง ... บ่ได้เด็ดมาเพื่อไหว้พระ บ่ได้เด็ดมาเพื่อร้อยพวงมาลัย บ่ได้เด็ดมาเพื่อประดับประดา หรือบ่ได้เด็ดมาเพื่อแจกผู้สาวส่ำน้อยเด้...

     ดอกไม้นี้ กะบ่ได้งามคือดอกจาน บ่ได้หอมคือดอกคัดเค้า บ่ได้หอมคือดอกพะยอม... แต่ว่า พากันไปเก็บมาเฮ็ดอีหยังล่ะ... กะพากันไปเก็บมาเพื่อเฮ็ดเป็นผัก นั่นล่ะ เป็นดอกไม้ แต่ว่า เป็นผักกินกับป่นกับแจ่วได้....ดอกไม้อันนี้ กะคือ ดอกกุ่ม

     ต้นกุ่ม เป็นไม้ยืนต้น ถึงสิบ่มีขาสำหรับยืน แต่กะพากันเอิ้นว่า ไม้ยืนต้น เพราะต้นสูง บ่เป็นพุ่ม บ่แม่นไม้เลื้อยไม้เครือ ว่าซั่นเถาะ

    ต้นกุ่ม แถวบ้านผู้ข้าฯ มักสิเห็นอยู่ตามท่งนา ยืนโก่โด่อยู่ผู้เดียวอยู่กลางไฮ่นา กะมี ไปยืนรวมกับไม้ชนิดอื่น อยู่เทิงโพนกะมี จนเป็นที่ปรากฏไปทั่วบ้านว่า ต้นกุ่ม เป็นไม้ยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นที่น่าสงโตน อย่างคัก...(กะดีปาหยัง เจ้าของนา บ่ตัดถิ่ม เพราะไปหงำนาขาเจ้า... คันบ่เห็นว่า ดอกแซบ ตัดถิ่มไปแต่ดนแล้ว...)

     ต้นกุ่ม พอฮอดหน้าหนาว จนหนาวคักๆ กะพากันปล่อยใบถิ่ม จนเกือบเหมิดต้น จากนั้น พอเริ่มฮ้อนขึ้นจักหน่อย หรือที่เอิ้นว่าฤดูใบไม้ผลิ นั่นล่ะ (อยู่ขอนแก่นมีอยู่บ้อ ฤดูนี้??) มันกะสิเริ่มแตกดอกออกมา ปานดอกซากุระ พุ่นล่ะเว่ย... ป่งดอกออกมา พร้อมทั้งยอดอ่อนๆ ใบอ่อนๆ นำนั่นล่ะ

     ดอกกุ่ม ยอดกุ่ม ย่อนเอามากินเป็นผักได้ กะเลยเอิ้นว่า ผักกุ่ม

     ดอกผักกุ่ม มีลักษณะ... ดอกมันเป็นจั่งได๋ กะไปหาเบิ่งเอาเองโลดเด้อ อธิบายยากเว่ย...



        
(เหลียวเบิ่งไกลๆ  ปานดอกซากุระ เอาโลด)



     การไปเก็บดอกผักกุ่ม บ่จำเป็นต้องไปเก็บยามแลงๆ ดอกเด้อ... ไปเก็บยามมื้อเซ้ากะได้ สวยๆ แหน่จักหน่อยกะได้...ตามสะดวก

     การเก็บผักกุ่ม โดยมากมีสอง-สามแบบ คือ

     ๑. ขึ้นเทิงต้นไปเก็บเอาโลด ซึ่งวิธีนี้ เด็กน้อยนิยมเฮ็ด เพราะว่าโตน้อย ขึ้นไต่ไปได้หม่อๆ ... แต่ข้อควรระวังกะคือ ระวังตกต้นไม้ และระวังง่าไม้พาหัก กะแล้วกัน

     ๒. ขึ้นเทิงต้น แล้วกะเอามีดไปฮานง่าที่มีดอกลงมา แล้วกะเก็บเอาทางล่าง... ซึ่งวิธีนี้ ถ้าบ่แม่นเจ้าของต้นไม้ บ่ควรเฮ็ด เดี๋ยวเจ้าของเพิ่นสิด่า แล้วกะระวังตกต้นไม้เด้อ

     ๓. หาไม้มาหมิ่นเอา วิธีนี้ ปลอดภัยที่สุด แต่กะหมิ่นได้เฉพาะที่อยู่สูงบ่เกินความยาวของไม้ส่าว... ถ้าอยู่สูง กะหมิ่นบ่เถิง....

     หลังจาก ได้ดอกผักกุ่มมาหลายเพียงพอแล้ว ...เอาจักประมาณหนึ่งกะต่า กะพอแล้วมั้ง ...เหลือไว้ให้ผู้อื่นนำแหน่...กะพายกะต่ากลับบ้าน นั่นตั้ว เก็บได้แล้ว สิเอาถิ่มได้จั่งได๋....

     ผักกุ่ม กินสด ๆ บ่ได้เด้อ... หรือผู้ได๋สิกิน กะบ่ว่ากันดอก... แต่มันหั่งบ่แซบ มันขม เขาเลยบ่นิยมกินสดๆ ต้องเอาไปดองสาก่อน

    ผักกุ่มดอง เอิ้นว่า ส้มผักกุ่ม... คือว่า เอาไปคั้นส้ม นั่นล่ะ

     วิธีเฮ็ดส้มผักกุ่ม...เฮ็ดจั่งได๋บุ... บ่เคยเฮ็ดเองจักเทื่อ.. เห็นแต่ผู้อื่นเฮ็ด... ผู้ได๋เฮ็ดเป็น กะมาบอกวิธีการแหน่...

     เอาเป็นว่า ให้ผู้อื่นเฮ็ดส้มผักกุ่มไว้แล้วเด้อ...

     ผักกุ่มที่สดๆ หรือเหี่ยวแล้วกะตาม  มีรสขม

     ผักกุ่มที่เป็นส้มผักกุ่ม แล้ว มีรสส้มๆ มันๆ แซบดี... แต่ว่า ถ้ายังบ่ทันเป็น อาจสิมีรสขมปนอยู่เด้อ...

     ส้มผักกุ่ม... กินเป็นผัก... เอากินกับป่นปู ป่นปลา กะแซบ กินกับลาบแย้ ก้อยกะปอม กะแซบ กินกับปลาแดกบอง กะแซบ

     ตอนนี้ ได้ผักกุ่มมาเฮ็ดส้มแล้ว... ฟ้าวเฮ็ดแนวกิน นั่นปาหยัง... สิได้เอาส้มผักกุ่มไปกินกับนั่นหนา....
                                                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 837 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 835 ครั้ง
 
 
  20 มี.ค. 2549 เวลา 11:35:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   26) ปลาบู่ทอง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่21)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
คุณอีหล่าคำแพง:
มีคำถามค่ะ

ทำไม ขนิษฐี กับ ขนิษฐา มีลูกสาวหน้าตาคล้ายกัน พ่อเขา ยีน แรงเหรอค่ะ


ขนิษฐา กับ ขนิษฐี ชื่อ พ้องกันแบบนี้ แสดงว่า เป็นพี่น้องกัน ซึ่งอาจจะหน้าตาคล้ายกันอยู่ก่อน

ดังนั้น มีลูกสาว หน้าตาคล้ายกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม่ หน้าตาคล้ายกัน... มั้ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 821 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 821 ครั้ง
 
 
  10 ก.ค. 2552 เวลา 19:08:06  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2248)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
อ้างอิงกันไปกันมาเนาะครับ... ต้นทาง กะน่าสิมาจากหม่องนี้เนาะครับ ผมว่า ==>


กระทู้ มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/?transaction=post_view.php&cat_main=2&id_main=39&star=0

คุณอีสานจุฬาฯ:
ฮู้จักผญา

คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)

ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น ผ เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง

ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้

ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร

ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมาก


การพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิด ความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อน นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำ ให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้นจึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัด จิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป

ภาษิตโบราณอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบ ๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำ ชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป็นของดี ส่วนคน ในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ภาษิต" คือรูปภาพของวัฒนธรรม แห่งชาติ นั่นเอง

การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือ พูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมีผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชาย เช่น

(ชาย) .... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า(ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี

(หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด ผัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายมาเกี้ยว ผัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม ผัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี


พอสิเข้าใจเกี่ยวกับผญาแล้วนอ ถ้าอยากฮู้หลายกะไปหาศึกษาเพิ่มเติมเอาเองเด้อ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกหม่องนี่โลด    

เพื่อว่าเป็นการเรียนรู้และฝึกการเว้าผญา เฮากะมาเว้า มาแลกเปลี่ยนความฮู้เกี่ยวกับผญากันเด้อพี่น้องเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 819 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 819 ครั้ง
 
 
  27 ส.ค. 2555 เวลา 18:10:26  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   98) สารานุกรม แมงไม้ ใน อีสาน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ขี้อีหยัง คนมักดม?? ตั้วหนิ

บ้านผม เอิ้น แมงน้อย ครับ (ขี้สูดกะมีคนเอิ้น ดอกหวา) ขี้แมงน้อย ผัดเอิ้นขี้สูด

แสดงว่า แถวบ้านผม เหลือเฉพาะชนิดโตน้อยๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 814 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 814 ครั้ง
 
 
  29 ก.ย. 2553 เวลา 11:03:41  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   99) หาหน่อไม้ บ้านบ่าวปิ่น กินวอสก้า..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่123)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
รถที่ได้เพิ่มมาน่ะ แม่นรถไอคอนน้อย หรือรถบ่าวโทน น้อ

ถ้าแม่นรถไอคอนน้อย ขอเป็นรถไฟ เด้อ มันจั่งหลายตู้ แถมได้ไฟไปต้มหน่อไม้อีกต่างหาก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 810 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 810 ครั้ง
 
 
  04 ส.ค. 2553 เวลา 10:16:36  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 

ตัวอย่างลูกแป้ง..



การทำลูกแป้ง ก็ไม่ยากอย่างที่คิดเนอะ...

บ่าวหน่อ อ่านแล้ว ก็ลองไปทำดูนะ ทำลูกแป้งเอง หมักเหล้าเอง แล้วก็กินเองเลย (ไม่ต้องเผื่อพี่เด้อ..)
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 806 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 806 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 16:06:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   27) ข้าวเม่า  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ข้าวเม่าคลุก

     เมื่อได้ข้าวเม่าธรรมดาแล้ว บางคน แม้เป็นคนธรรมดา แต่ไม่ชอบกินแบบธรรมดา ชอบกินแบบหวานๆ ก็อาจจะทำเป็นข้าวเม่าคลุก โดย ขูดมะพร้าวเป็นเส้นฝอย โรยน้ำตาลทราย ผสมน้ำแช่ดอกไม้ลงไป คนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก็จะได้ข้าวเม่าคลุก ถูกใจเด็กๆ เช่นกัน


ข้าวเม่าคลุก
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 796 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 796 ครั้ง
 
 
  30 ต.ค. 2549 เวลา 11:55:31  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   85) สอย สอย พี่น้องมาซ่อยกันสอย (คำสอยสะอาด)  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่9)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
สอย สอย   ผู้บ้าวน้อยหาเก็บใบบักหูด  บ่าวหน่อตดซูด ฮ่วยเหม็นตดไผ พะนะ นี่กะสอย


สอย สอย   ผักอี่ตู่   ใบหู่ใบหด  สาวส่าฯเหม็นตด งวกพู้นงวกพี้ นี่กะสอย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 791 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 791 ครั้ง
 
 
  20 ก.ค. 2553 เวลา 15:55:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   82) กระทู้นี้ สำหรับถามข่าวคราว หาชาวสมาชิกพี่น้องป้องปาย ผู้หายห่างหน้า (กระทู้อูด) พะนะ..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:
เอี๊ยะ.... ขี้เดียดคน
คนผู้ฮ้ายคืออ้ายหายไปจนปิดชมรม
กะบ่มีผู้ได๋ถา่มหาดอกได๋ (แม่นบ่ ผู้ได๋กะดาย)
เหอะๆๆ


จริง และ จริง เท่ากับ จริง

ถ้าข้อความด้านบน เป็นจริง กะน่าสิเป็นจริงตามนั้นล่ะ

แต่ว่า... ข้อความด้านบน มีจุดที่เป็นเท็จ

คนผู้ฮ้ายคืออ้าย เป็นเท็จ

เท็จ และ จริง เท่ากับ เท็จ

จมูกนั้น ข้อความด้านบน จึงเป็นเท็จ

จมูกนี้... กะสิมีคนถามหา มีคนอูดบ่าวรุทธิ์ คือเก่า นั่นล่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 782 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 782 ครั้ง
 
 
  01 ก.ค. 2553 เวลา 09:21:04  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่157)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
หล่านางเอ้ย

อดมาลองซิมส้ม บักนาวสีหวานเหว่อ
ต้นต่างต้น มันหากส้มต่างกัน

อันว่าโตอ้ายนั่น เปรียบคือจั่งเกิบฮ้าง ลอยล่องกลางสายชล
ลอยวนไปวนมา บ่หอนมีเฟือยค้าง
วาสิลอยไปค้าง นำพระนางสิได้บ่
รูปบ่หล่อ ปานเกิบฮ้าง นางน้อง ให้เหลือบแล แหน่ปั๋ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 774 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 774 ครั้ง
 
 
  30 ส.ค. 2550 เวลา 16:43:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   99) หาหน่อไม้ บ้านบ่าวปิ่น กินวอสก้า..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่166)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
เอ๋า.. ผู้นึงทรง ผู้นึงสิง บาดหนิ...

แจ้งข่าวเพิ่มเติม..

ได้ข่าวว่า จอมแห โอ๊ะ จอมกระบี่ อีก 3 จอม สิหล็อยตามไปสมทบ พะนะ กะสิมี

กระบี่บัณฑิต
กระบี่เจ้าสำราญ
กระบี่สันติภาพ

คันเห็น กะแสดงว่า พ้อ
คันพ้อ กะแสดงว่า ไป ว่าซ้าน


ลป. บ่ต้องไปคิดยากนำเพิ่น เรื่องการไปการมา และการอยู่การกิน เพิ่นบริหารโตเพิ่นเองได้ พะนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 769 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 769 ครั้ง
 
 
  11 ส.ค. 2553 เวลา 11:13:52  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่373)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
โอ... อันว่าด่านซ้ายนี้ น้องเคยบวชจำพรรษา
วัดเนรมิตวิปัสสนา นั่งเป็นตอ เบิ่งตนตั้ง
วัดนี้ดังกะด้อ โบสถ์ใหญ่ ศิลาแลง
จ่มรูปนาม ทุกเช้าแลง ถือเป็นแนว ฐานตั้ง
อันนี้ เว้าแต่ครั้ง นับสิบปีล่วงเลยผ่าน
ไปร่ำเรียนกรรมฐาน กับอาจารย์อยู่พุ้น พูนเพิ่มโตปัญญา
กรรมหากพาเซยู้ อ่วยสู่คฤหัส
ลาสิกขาจากคองวัตร ธรรมวินัยพุทธเจ้า
ถือเอาธรรมศีลห้า ครองโตสำรวมชีพ
พอได้หยุดยับยั้ง แนวยู้สู่อบาย



ออนซอนหลาย ธรรมของพุทธเจ้า สัจจะอันประเสริฐ
เลิศของเลิศ เลิศเหนือเลิศ กะรวมลงในนี่ จิตฮู้ อันเดียว
จิตบ่หลง บ่เลี้ยว สติครองใจอยู่
สัมปชัญญะ รับรู้ ทันแท้ ทุกขณะ
ไผมีสองอย่างนี้ ครองใจ ได้คุณมาก
เอิ้นว่าบ่ประมาทแท้ บ่หลงส้น เชื่อมาร แท้แล

 
 
สาธุการบทความนี้ : 757 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 757 ครั้ง
 
 
  20 เม.ย. 2551 เวลา 04:56:57  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   93) แกงสุดที่รัก  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
แกงสุดที่รัก พะนะ

นึกว่าแมนอีหยัง บัดแท้ อ่อมหอยจูบตั้วหนิ


ปล. แม่นหอยจูบได้ต่อยก้นบ่น้อนั่นน่ะ บ่แม่นสิได้เอาไม้จิ้มเอาเบาะ คันเอาไม้จิ้มเอา คือสิกลายเป็น แกงล้างแค้น เด้บาดหนิ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 754 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 754 ครั้ง
 
 
  17 มิ.ย. 2553 เวลา 13:49:34  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1) ลูกแป้ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 


ก่อนจะหมักสาโท... เราลองมาศึกษาวิธีการทำลูกแป้งกันก่อนครับ..

เอาวิธีทำแบบชาวบ้าน ดีกว่าเนาะ... ลูกแป้ง ความจริงทำไม่ยาก หากเกิดในเรือนที่เขาทำ หรือเป็นลูกพ่อแม่ที่ทำแป้งขาย.... และก็ทำไม่ยาก หากเราทำเป็น (พูดอีกก็ถูกอีก) และก็ทำไม่ยากเท่าไหร่ หากเราได้สูตรรวมถึงกรรมวิธีในการทำมา (พูดอีกเดี๋ยวถูกแอก)…

พวกเราในที่นี้ รวมถึงตัวข้อยเอง ไม่ได้เกิดเป็นลูกคนทำแป้งขาย ก็เลยไม่เคยเห็นกรรมวิธี... แต่หลังจากศึกษาดูแล้ว หากจะทำจริงๆ ก็ไม่ยาก

ขั้นแรก ให้เราไปหาซื้อแป้งเหล้า (หรือแป้งข้าวหมาก หากต้องการทำแป้งข้าวหมาก).... ควรหาซื้อจากเจ้าที่มีชื่อเสียงหน่อยนะ (ไม่ต้องเป็นผู้แทนฯก็ได้เด้อ)... เพื่อนำมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์

หลังจากได้แป้งมาแล้ว ก็เตรียมวัตถุดิบอื่นๆ คือ

- สมุนไพรสำหรับผสมลงในแป้ง (สมุนไพรนี่แหละ คือสูตรลับของแต่ละคนล่ะ)
- แป้งข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็ได้ (สมัยก่อน เขาตำ-บดเอา)


สับบดสมุนไพรให้ละเอียด บดลูกแป้งที่เป็นพ่อพันธุ์ให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวกับสมุนไพรให้เข้ากัน นำลูกแห้งที่บดละเอียดแล้วผสมลงไปให้เข้ากัน ..ค่อยๆ เติมน้ำเข้าไป นวดแป้งไปเรื่อยๆ เติมน้ำพอให้ปั้นเป็นก้อนได้ จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นก้อนโตพอประมาณ เรียงลูกแป้งบนกระด้งหรือภาชนะก้นโปร่ง คลุมด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ชั้น บ่มประมาณ 48 ชั่วโมง หรือดูว่ามีปุยขาวๆ เหลืองๆ จับที่ผิวก้อนแป้งแล้ว นั่นแสดงว่าเชื้อราและยีสต์ขยายพันธุ์ มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองแล้ว จากนั้น เพื่อให้มันหยุดขยายพันธุ์ ก็นำไปตากแดดให้แห้ง

เสร็จแล้วเด้อ.. เห็นไหม.. ไม่น่ายากเลย ไปลองทำดูเอาเองเด้อ...
                            

 
 
สาธุการบทความนี้ : 752 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 752 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 15:52:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่15) อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 


ข้อมูลทั่วไป

อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน เรียกตามชื่อของภูเขาเทือกหนึ่งทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติที่มีหน้าผาสูงชันคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มองดูเหมือนกับผ้าม่านผืนใหญ่ อยู่ในท้องที่อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย มีเนื้อที่ประมาณ 350 ตารางกิโลเมตร หรือ 218,750 ไร่

อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด ปัจจุบันผลจากการทำสัมปทานป่าไม้ทำให้พื้นป่าและจำนวนสัตว์ป่าลดลงอย่างรวดเร็ว กรมป่าไม้จึงได้มีคำสั่งที่ 1473/2532 ลงวันที่ 27 กันยายน 2532 มอบหมายให้ นายพนม พงษ์สุวรรณ นักวิชาการป่าไม้ 4 ให้สำรวจเพิ่มเติมและจัดตั้งพื้นที่ป่าดงลาน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และป่าภูเปือย อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย และพื้นที่ป่าใกล้เคียงเป็นอุทยานแห่งชาติ จากการสำรวจพื้นที่พบว่า เป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำลำธารและมีจุดเด่นทางธรรมชาติหลายแห่ง โดยเฉพาะถ้ำและน้ำตก

ทางราชการจึงมีประกาศกฤษฎีกา กำหนดให้รวมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูเปือย อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เข้ากับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงลาน ท้องที่อำเภอชุมแพ กิ่งอำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน ในปี พ.ศ.2534 โดยได้พระราชกฤษฏีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดงลานในท้องที่ตำบลนาหนองทุ่ม อำเภอชุมแพ และตำบลห้วยม่วง ตำบลวังสวาบ ตำบลนาฝาย ตำบลภูผาม่าน กิ่งอำเภอภูผาม่าน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และป่าภูเปือยในท้องที่ตำบลภูกระดึง ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เนื้อที่โดยประมาณ 218,750 ไร่ หรือ 350 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 215 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2534 จัดเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 72 ของประเทศ


ลักษณะภูมิประเทศ

ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูนที่มีความสูงชันสลับซับซ้อนกันเป็นแนวยาวสลับกับที่ราบลุ่มเชิงเขา สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 200-800 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของห้วยภูฮี ห้วยชมพู ห้วยคะเฮ้า ห้วยจอก ห้วยยาง ห้วยซำแคน ห้วยตากว้าง ห้วยข้าวหลาม ห้วยสงขะยวน และห้วยหม้อแตก ซึ่งลำห้วยเหล่านี้ไหลลงสู่ลำน้ำพองที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติภูกระดึงและลำน้ำเชิญในจังหวัดขอนแก่น สภาพดินเป็นดินร่วนปนทรายและดินลูกรังอยู่ปะปนกับหินชนิดต่างๆ


ลักษณะภูมิอากาศ

ลักษณะอากาศโดยทั่วไป อากาศร้อนถึงร้อนจัดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 39 องศาเซลเซียส


พืชพรรณและสัตว์ป่า

สภาพป่าประกอบด้วยป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง พรรณไม้สำคัญ ได้แก่ ประดู่ มะค่าโมง ตะแบก เหียง พลวง แดง เต็ง รัง พรรณไม้พื้นล่างที่ขึ้นอยู่หนาแน่น ได้แก่ หว่านไพร ชัน ข่าป่า เพ็ก หวาย กล้วยไม้ป่า หญ้าคา แฝก ฯลฯ

สัตว์ป่าที่พบได้แก่ เลียงผา หมูป่า เก้ง ลิง กระต่ายป่า นิ่มหรือลิ่น เม่น ตะกวด ไก่ป่า นกชนิดต่าง ๆ และแมลงกว่า 200 ชนิด



สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

ถ้ำพญานาคราช

เป็นถ้ำที่มีความสวยงามเป็นอันดับ 1 ของอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน ภายในถ้ำมืดสนิท แบ่งออกเป็นห้องๆ แต่ละห้องประกอบด้วยหินงอกหินย้อยที่ส่องประกายแวววาวระยิบระยับสวยงามตระการตา โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่มีม่านหินย้อยขนาดใหญ่ห้อยลงมาจากเพดานสูงแล้วแผ่กว้างออก รถยนต์สามารถเข้าถึงเชิงเขาที่เป็นตัวถ้ำได้


ถ้ำลายแทง

อยู่ห่างจากถ้ำพญานาคราช 800 เมตร ปากถ้ำอยู่บนเนินเขา สูง 8 เมตร มีลานกว้างอยู่ด้านหน้า บนผนังภายในถ้ำจะพบภาพเขียนสีโบราณกว้างประมาณ 2 ตารางเมตร ซึ่งในอดีตชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นลายแทงบอกขุมสมบัติ ลักษณะเป็นภาพเขียนสีแดงรูปคน และสัตว์ในลักษณะต่างๆ ประมาณ 70 ภาพ อายุของภาพอยู่ในระหว่างการตรวจสอบอยู่


ถ้ำผาพวง

เดิมเรียก “ถ้ำร้อยพวง” ภายในมีหินย้อยลงมาจากเพดานลักษณะเป็นพวง สวยงามมาก เพดานถ้ำสามารถทะลุออกไป ยอดเขาใช้เป็นจุดชมวิวได้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ


ถ้ำภูตาหลอ

ภายในถ้ำเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ จุคนได้ถึง 1,000 คน พื้นถ้ำราบเรียบกว้างเพดานสูง มีหินงอกหินย้อยเป็นพวงๆ สวยงามตระการตา ปัจจุบันกำลังปรับปรุงเส้นทางเข้าถึงตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ


น้ำตกตาดฮ้อง

เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เกิดจากลำน้ำพองที่มีต้นกำเนิดอยู่บนภูกระดึง มีความสูงประมาณ 60-70 เมตร อยู่ระหว่างเขตรอยต่อของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงและอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน ในยามที่สายน้ำตกกระทบแผ่นหินจะเกิดเสียงดังก้องทั่วป่า จนเป็นที่มาของชื่อ “ตาดฮ้อง” เส้นทางเข้าถึงค่อนข้างลำบาก จึงทำให้ยังเป็นน้ำตกที่ค่อนข้างบริสุทธิ์อยู่


น้ำตกตาดฟ้า
เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยตาดฟ้า มีความสูงประมาณ 20 -30 เมตร มีชั้นน้ำตกลดหลั่นลงไปตลอดสายก่อนไหลลงสู่ลำน้ำเชิญ ในฤดูฝนน้ำจะไหลแรงและมีความสวยงามมาก ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร จะพบน้ำตกตาดใหญ่ซึ่งเป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยเดียวกัน


น้ำตกพลาญทอง
เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสวยงามในฤดูน้ำหลาก สูงประมาณ 10 เมตร ห่างจากที่ทำการของอุทยานฯ 1 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่เกิดจากต้นน้ำที่เป็นน้ำซับหลายๆ สายไหลมารวมกันแล้วไหลลงสู่หน้าผาเป็นชั้นเล็กชั้นน้อยลดหลั่นกันลงไป


น้ำตกตาดใหญ่
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยน้ำตกชั้นเล็กชั้นน้อยที่ไหลลดหลั่นกันลงไปเป็นขั้นบันไดหลายชั้น มีความสูงประมาณ 80 เมตร เป็นน้ำตกที่มีความอลังการและสวยงามมาก โดยเฉพาะในฤดูน้ำหลาก รถยนต์สามารถเข้าถึงตัวน้ำตกได้


ถ้ำค้างคาว
ตั้งอยู่บนภูผาม่าน ห่างจากที่ว่าการอำเภอภูผาม่านประมาณ  2.5 กม.เป็น ถ้ำที่สูงจากพื้นดินประมาณ 100 ม. บริเวณหน้าผาสูงชันของภูผาม่านเมื่อเข้าใกล้จะได้กลิ่น ของค้างคาว ปากถ้ำสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ภายในถ้ำมีค้างคาวขนาดเล็กอาศัยอยู่นับ ล้านตัว และภายในถ้ำไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากมีกลิ่นเหม็นฉุนจัด  ค้างคาวจะออกจาก ถ้ำในเวลาประมาณ 18.00 น ของทุกวัน
ฝูงค้างคาวที่ออกมาจากถ้ำจะเป็นกลุ่มยาวคล้ายฝูงฝึ้งขนาดยักษ์ติดต่อกันเป็นระยะนับ สิบกิโลเมตร หากนับเวลาการบินออกจะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 30 – 45 นาที เหตุการณ์นี้ นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรราชาติที่หาดูได้ยากยิ่ง


สถานที่ติดต่อ

อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน
ต.นาหนองทุ่ม  อ. ชุมแพ  จ. ขอนแก่น   40130
โทรศัพท์ 0 4324 9050   อีเมล phu_phaman@hotmail.com
Website : http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=18&lg=1


การเดินทาง     

รถยนต์
  จากขอนแก่น โดยรถยนต์โดยสาร (ขอนแก่น - เลย) ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ลงที่หลักกิโลเมตรที่ 112 - 113 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดยาง 5 กิโลเมตร

รถโดยสารประจำทาง
  • จากกรุงเทพฯ โดยรถประจำทางและรถปรับอากาศกรุงเทพฯ-เลย , กรุงเทพฯ-เชียงคาน ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ถึงหลักกิโลเมตรที่ 112 - 113 เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตร

• จากขอนแก่น โดยรถยนต์โดยสาร (ขอนแก่น - เลย) ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ถนนมะลิวัลย์ (ขอนแก่น - เลย) ลงที่หลักกิโลเมตรที่ 112 - 113 เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตร


ที่มา : http://www.khonkaenlink.info/khonkaen_info/tour/puepamarn.html

 
 
สาธุการบทความนี้ : 748 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 747 ครั้ง
 
 
  26 เม.ย. 2551 เวลา 09:39:17  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   13) วิถีท้องนา ห่มฟ้าท้าตะวัน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17) ลงวัด      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
     เสียงกลองเพลจากวัดดังก้องไกลไปทั่วหมู่บ้านและท้องทุ่ง

     กลองเพล หากตีตอนสิบเอ็ดโมงเช้า ด้วยจังหวะช้า และค่อยๆ เร็วขึ้น นั่นคือสัญญาณบอกเวลาฉันเพลของพระที่วัด ซึ่งญาติโยม จะนำอาหารไปถวายเพล หรือเรียกว่า ไปเพล

     กลองเพล หากตีตอนใดก็ตาม ด้วยจังหวะเร็ว 1 - 2 - 345, 1 - 2 - 345, ไปเรื่อยๆ นั่นคือสัญญาณ บอกเหตุฉุกเฉิน ให้ชาวบ้านรีบมาที่วัดโดยด่วน

     กลองเพล หากตีตอนแลงหรือกลางคืน หรือเวลากลางวันก็ตาม ด้วยจังหวะคงที่ ด้วยเสียง เบา 2 ครั้ง ดัง 3 ครั้ง สลับไปมา นั่นคือสัญญาณเรียกชาวบ้าน ให้มารวมกันที่วัด เพื่อทำกิจบางอย่างร่วมกัน หรือเรียกว่า ลงวัด


     ตอนแลง บักป๋องกินข้าวแลงเสร็จแล้ว กำลังนอนฟังนิทานอยู่นอกชาน เสียงกลองจากวัด ดังด้วยจังหวะคงที่ เบา 2 ครั้ง ดัง3ครั้ง

     เอื้อยฟองพูดขึ้นว่า
“น่าน หลวงพี่โต้ง ตีกลองเรียกหนุ่มสาวไปฝึกร้องสารภัญแล้ว”

บักป๋องก็โพล่งขึ้นว่า “ข้อยไปด้วย”

     เอื้อยฟอง เป็นหนึ่งในผู้หญิง ๔ คน ที่ได้รับคัดเลือกให้ร้องสารภัญ เพื่อเตรียมสำหรับไปประชันขันแข่งระดับตำบล ในวันก่อนวันออกพรรษา ดังนั้น ช่วงในพรรษา ตอนกลางคืน ก็ต้องไปฝึกซ้อมร้องสารภัญที่วัด

     เด็กๆ ทั้งหญิงและชาย หนุ่มสาววัยรุ่น รวมถึงคนเฒ่าคนแก่ที่สนใจอยากฟังการฝึกซ้อมสารภัญ ต่างพากันออกไปที่วัด ทำให้วัดดูครึกครื้นกว่าปกติ

     เสียงฝึกร้องสารภัญ ดังเจื้อยแจ้ว...

มาลาดวงดอกไม้ มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
บูชาแด่พระพุทธ บูชาแด่พระพุทธ ผู้ได้ตรัสรู้มา
บูชาแด่พระธรรม บูชาแด่พระธรรม ผู้แนะนำพร่ำสั่งสอน
บูชาแด่พระสงฆ์ บูชาแด่พระสงฆ์ ผู้ดำรงพระวินัย....



     เมื่อวันออกพรรษาใกล้เข้ามา วันหนึ่งที่ลงวัดเพื่อร้องสารภัญ พ่อใหญ่ทายก ก็แจ้งให้ทุกคนทราบว่า

“ใกล้ออกพรรษาแล้ว เช่นกับที่เราเคยทำกันทุกปีเสมอมา ก็ขอเชิญชวนหนุ่มสาวทุกคน มาช่วยกันทำดอกไม้ เตรียมไว้สำหรับใช้ในงานบุญออกพรรษานะ”

“ดอกไม้” ที่พ่อใหญ่ทายกพูดถึง คือดอกไม้ประดิษฐ์ ที่ทำจากกิ่งไม้สดเนื้ออ่อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณนิ้วหัวแม่มือ หรือประมาณ 1 นิ้ว ซึ่งไม้ที่นิยมตัดมาทำดอกไม้ คือไม้มะเหลื่อม(หนำเลี๊ยบ)

กิ่งไม้มะเหลื่อมที่ เหมาะสำหรับทำดอกไม้ จะต้องเป็นแขนงตรง ยาว

     หนุ่มสาว แต่ละคน รู้หน้าที่ของตนดี วันรุ่งขึ้น ต่างก็ไปหาตัดกิ่งไม้มะเหลื่อม มาพอประมาณ แต่เมื่อนำมารวมกัน ก็มากโขอยู่

     ถึงตอนเย็น หลังกินข้าวเย็นเสร็จ เมื่อเสียงกลองดังจบลง หนุ่มสาว และเด็กๆ ก็พากันลงวัด ไปทำดอกไม้ประดิษฐ์  ค่อยๆ ทำทุกๆ วัน จนได้ดอกไม้มากเพียงพอสำหรับประดับศาลา เสาศาลา และธรรมาสน์

 
 
สาธุการบทความนี้ : 741 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 741 ครั้ง
 
 
  11 ต.ค. 2550 เวลา 12:41:35  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   98) สารานุกรม แมงไม้ ใน อีสาน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่257)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
บ่ฮู้ว่าแมงตด ในทางนิเวศวิทยา มันมีประโยชน์แนวได๋แหน่น้อ

แมลงทุกอย่าง มันน่าสิมีประโยชน์เด้เนาะ บ่อย่างได๋กะอย่างนึง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 740 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 738 ครั้ง
 
 
  01 ก.พ. 2556 เวลา 12:58:42  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   128) รวมเรื่องเขียนของ อีเกียแดง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่52)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
หนองสองห้อง พุทไธสง บรบือ แถวนี้.. อำเภอติดกัน กะสิคือกันละเนาะ

นอกจากมักหากินบีบักซาดบักกุงแล้ว ยังมักหากินบีแมงภู่พร้อมเด้
บีแมงภู่ เมนูนี้ อันตราย แต่หั่งหวานแซบ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 735 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 734 ครั้ง
 
 
  30 ส.ค. 2555 เวลา 09:56:02  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   21) หมากผีพ่วน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) หมากผีพ่วน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
หมากผีพ่วน หรือผีผ่วน หรือผีพวน หรือพีพวน (แล้วแต่คนเขียน) เป็นผลไม้หายากชนิดหนึ่งเลยทีเดียว หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเพียงชื่อ แต่ไม่เคยเห็นของจริง ไม่เคยลิ้มลองรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ขนานแท้ ปัจจุบัน ต้นผีพ่วนที่ขึ้นตามธรรมชาติ แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว

ชื่อเรียกอื่นๆ คือ นมควาย

ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีแดง หรือสีส้ม มีรสหวานอมเปรี้ยว หรือบางต้น มีรสหวาน

     ปัจจุบัน ผีพ่วน หรือ นมควาย อาจพบเห็นได้บ้างตามสวนพันธุ์ไม้ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นไม้ประดับไปแล้ว


หมากผีพ่วนสุก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 733 ครั้ง
จากสมาชิก : 145 ครั้ง
จากขาจร : 588 ครั้ง
 
 
  13 ก.ย. 2549 เวลา 09:06:43  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   11) ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่10) ผีฟ้า      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ผีฟ้า หมายถึงผีซึ่งมีวิมานอยู่บนฟ้า ซึ่งก็คือเทวดานั่นเอง ผีฟ้าไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเหมือนผีชนิดอื่นๆ ผีฟ้าเป็นผีที่ให้คุณมากกว่าให้โทษ เพราะเป็นผีที่คอยคุ้มครอง ดูแล รักษามนุษย์

หากพูดตามความเชื่อทางภาคอีสานแล้ว เจ้าแห่งผีฟ้า ก็คือพญาแถน นั่นเอง พญาแถน เป็นเทวดาปกครองเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ และทำหน้าที่คอยดูแลให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วย

ผีฟ้า หลายๆ คนได้ฟังแล้ว อาจคิดในแง่ลบ นั่นอาจเนื่องมาจาก มีปอบผีฟ้าเกิดขึ้นนั่นเอง ปอบผีฟ้า ไม่ได้หมายความว่า ผีฟ้าเป็นปอบนะครับ แต่หมายถึง คนทรงผีฟ้าต่างหากที่เป็นปอบ เป็นปอบเพราะรักษาข้อห้ามไม่ได้

ผีฟ้า มีบารมีค่อนข้างมาก สามารถล่วงรู้สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่คนธรรมดาบอกไม่ได้ เช่น ควายหาย คนหาย คนเจ็บป่วยไม่สบาย เป็นต้น ชาวบ้าน ก็มักจะเชิญคนทรงผีฟ้า มาเข้าทรงและดูให้ ซึ่งในอดีต(ที่ผีฟ้ามาเข้าทรงจริงๆ) ก็บอกได้ค่อนข้างแม่นยำ จนเป็นความเชื่อและถือปฏิบัติกันสืบมา

คนทรงผีฟ้า มีสองแบบ คือแบบนั่งทรงธรรมดา และแบบรำทรง

ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือแบบรำทรง ซึ่งมักเรียกว่า รำผีฟ้า และ ลำผีฟ้า

รำผีฟ้า คือการฟ้อนรำประกอบเสียงแคนเสียงลำ
ลำผีฟ้า คือการขับร้องประกอบเสียงแคน
หมอลำผีฟ้า คือคนที่ขับร้องและฟ้อนรำประกอบเสียงแคน


กลอนลำสำหรับบวงสรวงบูชาผีฟ้า เป็นกลอนลำเฉพาะผู้เล่าเรียนเท่านั้น ทางภาคอีสาน ตามหมู่บ้านต่างๆ หลายหมู่บ้าน จะมีคณะหมอลำผีฟ้าอยู่ หนึ่งคณะอาจจะมีประมาณ2-5คน ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะ(โดยมากเป็นผู้หญิง) เรียกว่า แม่หมอ แม่หมอ จะเป็นผู้นำในการทำพิธีตั้งแต่ต้นจนจบ

คนที่จะลำผีฟ้าได้ จะต้องมีครู มีคาย (คายหมายถึงของบูชาครู).... หากผิดครู ผิดคาย... ก็เป็นปอบ
ผิดครู หมายถึง ผิดจากข้อปฏิบัติที่ครูสอนสั่ง
ผิดคาย หมายถึง ของบูชาครูไม่ตรงตามที่ครูระบุกำชับ (ขาดของสำคัญ)


หมอลำผีฟ้า ไม่ใช่หมอลำสำหรับเฉลิมฉลองขบงัน แต่เป็นหมอลำที่ใช้สำหรับรักษาอาการป่วยของคน โดยมากมักเป็นอาการป่วยแบบกินยาแล้วไม่หาย หาหมอรักษาไม่ได้ บางคน ป่วยเป็นโรคทางจิตแบบซึมเซา เหงาหงอย บางคน นอนซมกินข้าวไม่ได้ ก็จะเชิญหมอลำผีฟ้ามารักษา....นอกจากนั้น อาการอื่นๆ เช่นหากคาดเดาว่า มีผีมาทำร้าย โดนคาถาอาคม หรือโดนของ ก็ใช้หมอลำผีฟ้า ได้เช่นกัน

คนที่เคยได้รับการรักษาจากหมอลำผีฟ้าคณะไหน.... หากวันหน้าหมอลำผีฟ้าคณะนั้นมาลำที่หมู่บ้านตน แม้จะรักษาคนอื่นก็ตาม คนที่เคยได้รับการรักษานั้น ก็ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย มิเช่นนั้น เชื่อกันว่า อาจเจ็บป่วยเป็นโรคเดิมได้อีก... ประเด็นนี้นี่เอง ทำให้เมื่อหมอลำผีฟ้ามาลำ คนเข้าร่วมจึงมีมากขึ้นๆ เมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้น ความสนุกสนาน ร่าเริง เคล้ากับเสียงลำเสียงแคน จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

การรักษาอาการเจ็บป่วยของผีฟ้า มีสองแบบ คือ
แบบแรก ผีฟ้าอาจจะเข้าสิงร่างใครคนใดคนหนึ่งที่เข้าร่วมพิธี และบอกว่า คนเจ็บป่วยนั้น โดนอะไรมา ไปทำผิดอะไรมา และให้แก้ไขด้วยวิธีอย่างไร

แบบที่สอง รักษาให้หาย ณ ที่พิธีนั้นเลย ซึ่งแบบที่สองนี้ หากมองในแง่จิตวิทยา อาจกล่าวได้ว่า จิตตนรักษาจิตตน นั่นเอง หมายถึง เมื่อมีความครึกครื้นรื่นเริง ปล่อยจิตใจไปกับเสียงลำเสียงแคน ลุกขึ้นฟ้อนรำ ทำให้จิตใจผ่อนคลายจากความตึงเครียด จิตใจที่ปรอดโปร่ง ทำให้ร่างกายสดใสแข็งแรงขึ้นมาได้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 725 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 724 ครั้ง
 
 
  14 พ.ค. 2550 เวลา 12:49:17  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   21) หมากผีพ่วน  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2) ข้อมูลด้านพฤกษศาสตร์      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 


ชื่อพื้นบ้านอีสาน : ผีพ่วน
ชื่อทั่วไป : นมควาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uvaria rufa Bl.
วงศ์ : Annonaceae
ประเภท : ไม้เถา
ลักษณะวิสัย :
นมควายเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยมีความสูง 5 เมตร กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรีหรือ รูปไข่ผิวใบมีขนสีน้ำตาลแดงทั้งสองด้าน กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 4.5-10 ซม. ดอกจะออกเป็นกระจุก 2-3 ดอก ที่กิ่งก้าน กลีบดอกสีแดงเข้ม กลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม รูปไข่หรือรูปไข่กลับ เมื่อสุกมีสีแดงสด

ประโยชน์ : แก่นและราก ต้มดื่ม แก้ไข้ซ้ำ ไข้กลับ เนื่องจากกินของแสลง ราก แก้ผอมแห้งแรงน้อย สำหรับสตรี ที่อยู่ไฟไม่ได้หลังคลอดบุตรและช่วยบำรุงน้ำนม ผล ตำผสมกับน้ำ ทาแก้เม็ดผดผื่นคัน

ที่มา : http://www.walai.msu.ac.th/cdb/question.asp?QID=301

 
 
สาธุการบทความนี้ : 719 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 718 ครั้ง
 
 
  13 ก.ย. 2549 เวลา 09:12:19  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   97) ESANIA Sector 9 นครที่สาบสูญ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่240)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ปีโป้ปิ่นสิฮู้บ่น้อ ว่า ข้อความต่างๆนี้ เป็นของบ่าวปิ่นลม.. อดีตของปีโปปิ่น.. เขียนไว้เมื่อ5000 ปีที่แล้ว 555

 
 
สาธุการบทความนี้ : 710 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 708 ครั้ง
 
 
  23 ส.ค. 2554 เวลา 12:48:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ของแต่งกลิ่นที่ขอเสนอไว้ (แต่ไม่รับประกันความสำเร็จ) คือ ใบไผ่ และ ใบข้าว.... เหตุผล คือ ใบไผ่ ก็นึกถึงสุราไผ่เขียวของจีน ที่หมักโดยมีใบไผ่เป็นส่วนประกอบ... ส่วนใบข้าว ก็นึกถึง ตอนทำนา ถอนกล้าเสร็จแล้ว ก่อนดำ ก็จะตัดปลายกล้าทิ้งไว้บนคันนา พอปลายกล้าโดนแดด กลิ่นมันหอมน่ากินจริงๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นหล้าโทไผ่เขียว น้ำออกเขียวๆ มีกลิ่นหอมใบไผ่กรุ่นๆ คงน่าลิ้มรสไม่น้อย... ถ้าเป็นเหล้าโทใบข้าว น้ำใสนวลๆ มีกลิ่นหอมใบข้าวกรุ่นๆ คงน่าจิบไม่น้อย เช่นกัน

ข้าวสำหรับหมักสาโท ที่ขอเสนอไว้เช่นกัน (และไม่รับประกันความสำเร็จเช่นกัน) คือข้าวเม่า ใช้ข้าวเม่าหมักสาโท (หมักข้าวหวาน ก็น่ากินเนอะ) เป็นเหล้าข้าวเม่า น้ำเขียวใส มีกลิ่นหอมข้าวเม่ากรุ่นละมุน คงน่าดื่มไม่น้อย

หากข้าพเจ้าเป็นคนชอบกินเหล้าโท ก็คงจะลองทำ ลองวิจัย และหมักไว้ต้อนรับจอมยุทธทั้งหลายอยู่หรอก แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า จึงขี้เกียจทดลองทำ... สะล่ะล่ะ

(มักเบียร์คือกระบี่โลหิต นั่นล่ะ)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 709 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 709 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:51:27  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่371)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
อัศจรรย์เด้ อัศจรรย์อ้ายเซียงน้อย บอกจ่อยโซ รูปหากโก้ เหลาหล่อ
บวชแล้วสึกมาเรียนต่อ คอบขยันหมั่นสู้ หาความฮู้ใส่โต
ปาดทิโธ สังมาออนซอนเจ้า ผู้บวชเรียน เขียนอ่าน
ธรรมบาลี พุทธศาส์น ท่านได้ท่องจำไว้ ปานแก้ว อยู่มือ

ออนซอนเด้ ท่านผู้ถือยึดมั่น แก่นธรรม พุทธเจ้า
ท่านผู้วาจาเว้า ธรรมไหว้ จ่ายผญา
ท่านผู้ปัญญามาก แลเห็น ทางฮุ่ง
ท่านผู้หมายมุ่งมั่น ผู้ต้านกล่าวธรรม

อันคำ เซียงน้อย นี้ มีคติเตือนใจ เป็นนามนัย ให้คิดอ่าน
ว่าได้ผ่านการบวชแล้ว ครอบแก้ว สรณคมน์
ได้อบรม ฝึกตนตั้ง เป็นคนงาม ทั้งในนอก
คำนี้บอกให้ฮู้ ควรคู่ ค่ายกยอ

ผู้ข้า ขอถามบ้าง ถามทางเซียงน้อยแหน่
ห่าผ่านไปสิได้แว่ ห่ากลายไปสิได้ยั้ง กินข้าวฮ่วมพาช์
บ้านหนองข้องนี่น่า ขึ้นอยู่ตำบลได๋ อำเภอได๋นอนาย เผื่อไปยามบ้าง ซั่นดอก...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 705 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 704 ครั้ง
 
 
  19 เม.ย. 2551 เวลา 16:28:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   27) มาลองแต่ง กาพย์อีสาน กันเถอะ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ตั๊กแตนต่ง      ตำข้าวไวไว
ตำบ่ไว          เอาบุญหนีจาก
บุญข้าวสาก    มื้ออื่นมื้อฮือ
บุญหนังสือ     มื้อฮือเจ็ดค่ำ
บุญข้าวก่ำ     (เด็กน้อย) ดากดำปี้ๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 705 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 705 ครั้ง
 
 
  18 ก.ย. 2551 เวลา 16:53:37  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) นางผมหอม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) นางผมหอม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
นิทานเรื่องนางผมหอมนี้ ความจริงมีหลายสำนวน โดยนางเอกคือนางผมหอม เป็นชาวบ้านธรรมดาบ้าง เป็นธิดากษัตริย์บ้าง

แต่ในที่นี้ ข้าพเจ้าจะเล่าโดยให้นางเอกเป็นชาวบ้านธรรมดา ตามที่ได้ฟังมา (เป็นเรื่องย่อครับ)

-------------------------

  
นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่งงานอยู่กินกันมาตั้งนาน แต่ก็ยังไม่มีลูกสักกะที จึงไปบนบานขอต่อเทวดา และในที่สุด ก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกเป็นเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่า เทวี เด็กหญิงนั้น ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ด้วยความรัก จากพ่อแม่ทั้งสอง จนเติบใหญ่เป็นสาว

อยู่มาวันหนึ่ง นางสาวเทวี ได้เข้าป่าไปหาของป่าและอาหาร วันนั้น เข้าไปในป่าลึกกว่าปกติ น้ำที่เตรียมมาได้หมดลง นางกระหายน้ำมาก ขณะที่เดินหาแหล่งน้ำอยู่ บังเอิญเหลือบไปเห็น น้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้าโค จึงก้มลงดูดกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกหอแห้งกระหายยิ่งขึ้น คือกินแล้วยิ่งไม่อิ่ม จากนั้นนางก็มองเห็นน้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้าช้างดูใสสะอาด ก้มลงดื่มกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกชุ่มฉ่ำคอยิ่งนัก จึงดื่มกินจนอิ่ม ความหิวกระหายนั้นก็หายไป

นางกลับมาถึงบ้าน จากนั้นไม่นาน ก็ตั้งครรภ์ โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กในท้อง พ่อแม่ก็พยายามถามไถ่หาความจริง นางก็เล่าให้ฟังตามที่เป็นจริง และบอกว่า สงสัยเด็กคงเป็นลูกของพญาช้างหรือไม่ก็พญาโค พ่อแม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ขอให้ได้หลานก็พอใจแล้ว ครบเก้าเดือน นางคลอดลูกเป็นเด็กหญิงแฝดสองคน คนพี่ให้ชื่อว่า นางผมหอม เพราะผมของนางมีกลิ่นหอมตั้งแต่แรกเกิด คนน้อง ให้ชื่อว่า นางลุน เพราะเป็นน้อง

นางผมหอม เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ผิดกับนางลุนซึ่งเป็นคนขี้อิจฉา ใจร้าย ชอบรังแกคนอื่น รวมถึงชอบรังแกและแกล้งนางผมหอมอยู่เสมอ

นางผมหอมและนางลุน ค่อย ๆ เติบโต ตามวัย เมื่อยังเป็นเด็ก ไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ก็จะถูกล้ออยู่เสมอว่า เป็นเด็กไม่มีพ่อ กระทั่งโตเป็นสาว ก็ยังถูกล้ออยู่ ในที่สุดทนไม่ไหว ทั้งสองจึงตัดสินใจไปถามความจริงกับแม่

นาวเทวี เล่าความจริงให้ฟัง ว่าได้ไปดื่มน้ำในรอยเท้าโคและรอยเท้าช้างในกลางป่า กลับมาก็ตั้งครรภ์ พ่อของพวกเจ้าก็คือ พญาช้าง และพญาโค แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกโค ใครเป็นลูกช้าง

นางผมหอมและนางลุน จึงขออนุญาตมารดาออกตามหาบิดาในป่า รบเร้าบ่อย ๆ เมื่อมารดาอนุญาต ทั้งสองจึงออกเดินทางเข้าป่าตามทางที่มารดาบอก

-----ติดตามตอนต่อไป-----
                                                            

 
 
สาธุการบทความนี้ : 702 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 702 ครั้ง
 
 
  11 ส.ค. 2549 เวลา 21:14:46  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   27) ข้าวเม่า  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
วิธีทำข้าวเม่าแบบสมัยใหม่

     ขั้นตอนการเตรียมและการคั่วข้าวเม่า ก็ไม่ต่างจากแบบดั้งเดิม แต่หากทำในปริมาณมาก บางคน ก็ใช้เคียว เกี่ยวเอาเลย ก็มี

     ส่วนที่แตกต่างจากแบบดั้งเดิมก็คือ เปลี่ยนจากตำ เป็นสี... เมื่อไม่นานมานี้ มีโรงสีสำหรับสีข้าว และครกกระเดื่อง เริ่มหมดความสำคัญลง จึงกลายเป็นวิธีทำข้าวเม่าแบบใหม่ ที่เสร็จเร็วกว่า ใช้ครกกระเดื่อง  โดย เมื่อคั่วข้าวเม่าเสร็จแล้ว ก็นำไปฝากทางโรงสีข้าว ให้สีให้ เข้าโรงสีแป๊บเดียว ก็ได้ข้าวเม่าแล้ว

    แต่ข้าวเม่าที่ได้จากการสี จะคุณภาพด้อยกว่าจากการตำ คือ
  • โรงสี อาจจะขัดเอาส่วนที่เป็นสีเขียวออกมากเกินไป ทำให้เหลือ วิตามินน้อยลง

  • ข้าวเม่าที่ได้ จะอ่อนนุ่ม สู้ที่ตำเอาไม่ได้ (ดังนั้น ปัจจุบัน บางรายที่ทำขาย อาจใช้เทคนิค สี แล้วนำมาตำด้วยครกกระเดื่องติดมอเตอร์ ทีหลัง... แต่ข้าพเจ้า เห็นว่า เป็นเพียงเทคนิคทางการโฆษณาค้าขาย เพราะมันก็ยังแข็งอยู่ดี)

  • บางที อาจมีหินก้อนเล็กๆ ปนมาด้วย (ขึ้นอยู่กับคุณภาพของโรงสี)


***แม้จะเป็นโรงสี ใช้เครื่องจักรกล แต่แมวก็ไม่กลัว แมวก็ยังกล้าเข้าไปขี้ใส่ได้เหมือนเดิม (เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 690 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 690 ครั้ง
 
 
  30 ต.ค. 2549 เวลา 11:45:34  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   20) หมากต้องแล่ง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 

ต้นต้องแล่ง



หมากต้องแล่งสุก (อีกรูป)



สีแดง เป็นตาแซบขนาด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 683 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 683 ครั้ง
 
 
  12 ก.ย. 2549 เวลา 13:41:27  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   99) หาหน่อไม้ บ้านบ่าวปิ่น กินวอสก้า..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่159)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
อ้ายใช้บริการประจำ... บอกให้เลยกะได้

เป็นรถตู้ด่วนโทลเวย์ สายอนุสาวรีย์ - ดอนเมือง- ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต... มีอยู่ 2 คิว (แต่หลายคัน)... เต็มออก เต็มออก

1. จอดรออยู่ฮิมตีนสะพานลอย แยกสิไปทางเขาดิน (เลาะๆหม่องสาวส่าขึ้นรถกลับศาลายา นั่นล่ะ)

2. จอดรออยู่แคมป้ายรถเมล์ที่สิไปรังสิต

ค่ารถตู้ เหมาจ่าย คนละ 25 บาท


แนะนำ รถตู้สายอนุสาวรีย์ - ดอนเมือง- ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต นี่ล่ะ มันจั่งซื่อ แล่นสะดวก คันแม่นสายที่แล่นผ่านสะพานใหม่ รถแล่นบ่ค่อยคล่องปานได๋

 
 
สาธุการบทความนี้ : 683 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 683 ครั้ง
 
 
  10 ส.ค. 2553 เวลา 13:27:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) มาเว้าผญากันเด้อพี่น้องเด้อ  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่618)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ฟังเสียงฟ้าฮ้องป้าง มาคิดฮอดความหลัง ครั้งเคยถือแส้แล่น
ไล่ตั๊กแตนบักเขือ ไล่ตั๊กแตนอีหมุ่ม ไล่นำนกกะทา ไล่นำคุบนกคุ่ม เทิงหัวยุ่ม แล่นตากฝน
มาฮอดโพนน้อยๆ อยู่หัวนา เลาะกะท่อม
นั่งหลบฝนไปพร้อม เทิงซอมสิ่ง เบิ่งต้นทัน
อ้าว แม่นอีหยังล่ะนั่น หลังอุ่มทัน เฮ็ดมุบม่าย
จุ๊ๆๆ ซุมหมู่เจ้า อย่าสะสงสัยหลาย เบิ่งจั่งนึง กะคือจั่งคล้ายๆ คนนั่งลี้ ขี่ตากฝน
คือสิทุกข์เหลือล้น ทุกข์สุดทน นั่งตากฝน กะยอมเปียก
ของมันเลียกบ่ได้  เข้าใจแล้ว บ่บอกไผ ดอกเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 681 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 680 ครั้ง
 
 
  03 ส.ค. 2551 เวลา 21:00:52  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   80) พี่น้องเอ๊ย.....พวกเฮานี่คือชาวอีสานพลัดถิ่น..  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่7)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
หลานภูไทเอ้ย.. อยู่ไสน้อ

เอาเทาพันธุ์ใหม่ จากขี้ตะแร้ ไปลาบสู่บ่าวปิ่นกินแหน่ (ลวกหอย ซอยหมากเขือขื่น ใส่นำเด้อ บ่าวปิ่นเลามักแนวนั้น.. เอ้อ เอาหมากแข้งขม ใส่ให้เลานำเด้อ บะได๋)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 679 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 679 ครั้ง
 
 
  18 มิ.ย. 2553 เวลา 20:49:26  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180240
รวม: 6188385 สาธุการ

 
ที่มาของชื่อขอนแก่น

เหตุที่เมืองนี้มีนามว่า เมืองขอนแก่น นั้นได้มีตำนานแต่โบราณเล่าขานสืบต่อกันมาว่า แต่เดิมท้องถิ่น บ้านขาม ( ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) มีดอน(เนินดิน)อยู่ตรงกลางทุ่ง ในฤดูฝนมีน้ำล้อมรอบเนินนี้ และบนเนินนี้มีต้นมะขามต้นหนึ่งตายไปนานแล้ว เหลือแต่ตอที่เป็นแก่น เมื่อครั้งมีการสร้างพระธาตุพนม พระยาหลังเขียวและพระอรหันต์ทั้ง 9 พร้อมด้วยข้าราชบริพาร จะนำพระอังคาร(ขี้เถ้า)ของพระพุทธเจ้าไปบรรจุที่พระธาตุพนม แต่การเดินทางมาค่ำมืดที่ตรงเนินที่มีน้ำล้อมรอบ จึงหยุดและวางสัมภาระตลอดจนพระอังคารไว้บนตอมะขาม แล้วพักผ่อนหลับนอน

พอรุ่งขึ้นจึงเดินทางต่อไป เมื่อไปถึงพระธาตุพนมปรากฏว่าได้สร้างเสร็จแล้ว จะเอาอะไรเข้าบรรจุอีกไม่ได้ จึงพากันนมัสการพระธาตุพนม แล้วเดินทางกลับมาตามทางเดิม เมื่อมาถึงเนินดินที่เคยพักผ่อน ต้นมะขามที่ตายไปเหลือแต่แก่นต้นนั้น กลับผลิใบเขียวชอุ่มเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พระอรหันต์ทั้ง 9 พร้อมด้วยพระยาหลังเขียว จึงตกลงสร้างเจดีย์คร่อมต้นมะขามไว้
แล้วบรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าลงไว้ ชาวบ้านเรียกเจดีย์องค์นี้ว่า "พระธาตุขามแก่น"


พระธาตุขามแก่นที่สร้างในครั้งแรก เป็นรูปปรางค์ และเมื่อทำการบูรณะใหม่เมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมานี้ ได้เปลี่ยนเป็นรูปทรงเจดีย์ ปัจจุบัน อยู่ในเขตวัดเจติยภูมิ บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น พระเจดีย์ขามแก่น ถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวจังหวัดขอนแก่น ซึ่งจะมีงานพิธีบวงสรวง เคารพสักการะกันในวันเพ็ญเดือน 6 ทุกปี

เมื่อท้าวเพียเมืองแพนอพยพมาจากบ้านชีโหล่น มาตั้งอยู่ที่บ้านบึงบอน จึงได้ถือเอาปูชนียสถานแห่งนี้ เป็นนิมิตมาตั้งนามเมืองว่าขามแก่น แต่ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนมาเป็นเมืองขอนแก่น จนกระทั่งทุกวันนี้

(แต่บางตำนาน ก็บอกว่า ท้าวเพียเมืองแพน ได้ตั้งชื่อว่า เมืองขอนแก่น แต่แรก)

เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้ว ท้าวเพียเมืองแพน ได้สร้างวัดขึ้น 3 วัด คือ วัดเหนือ (ปัจจุบันคือ
วัดธาตุพระอารามหลวง) วัดกลาง (ปัจจุบันคือ วัดกลางเมืองเก่า) และวัดใต้ (ปัจจุบันคือ
วัดหนองแวงพระอารามหลวง)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 678 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 677 ครั้ง
 
 
  17 เม.ย. 2551 เวลา 12:41:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16

   

Creative Commons License
ขอนแก่น --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ