ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2567:: อ่านผญา 
คันว่าความเฮาเว้าขมในอย่าได้จ่ม ลางเทื่อขมขี้เพี้ยภายหน้าหากสิดี แปลว่า คำพูดจาที่ขมหู ไม่ถูกใจ อย่าได้บ่น บางครั้ง คำพูดขมๆนี่แหละ ทำให้เจริญได้ หมายถึง คำสอน คำแนะนำ ตักเตือน ควรใส่ใจ นำไปปฏิบัติ


  ล็อกอินเข้าระบบ  
ชื่อ ::
รหัสผ่าน::
*จำสถานะ
 
  วิถีชีวิตชาวอีสาน  
       ดินแดนอีสาน มีวัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะตน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ท่ามกลางความแร้นแค้น ชาวอีสาน มีความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตอยู่เช่นไร สร้างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีเช่นไรขึ้นมา

     แต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ อาจมีวิถีชิวิต ความเป็นอยู่ ที่แตกต่าง ตามลักษณะพื้นที่ หรือธรรมชาิติที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด ล้วนคือวิถีชิวิตแห่งชาวอีสาน

     เชิญทุกๆท่าน ร่วมเขียนบทความ เรื่องสั้น เล่าวิถีชิวิต ความเป็นอยู่แห่งชาวอีสาน ได้แล้วครับ...



กระทู้ธรรมดา... มีข้อความโพสต์ใหม่

  หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 ตอบกระทู้  
  โพสต์โดย   รวมเรื่องเขียนของ อีเกียแดง  
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่105)  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 
คุณลุ่มดอนไข่:
คุณอีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}:

อุ่นไอดินถิ่นรัก..ตีข้าวฟังเสียงธนู...(จัดให้บ่าวลุ่มอีกจักหน่อยเกิ่น)  


ขอบคุณหลายๆครับทิด...
ที่มีเวลาจัดให้ (ตามคำขอ)...หว่าซั้น
"ตีข้าวซ่อยผู่สาว แค่เพิ่นเสิร์ฟฮอยยิ้มให้มีแฮงคัก
แต่...ขั่นไปตีข้าวซ่อยหมู่ ต้องเสิร์ฟเหล้าโทเด้เหนาะจั่งสิครบสูตร...แหม่นบ่ทิด



แหม่นความครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 344 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 พ.ย. 2556 เวลา 05:49:44  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่107) ลิขิตคนบนวิถี  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 



เสียงกาเหว่าร้องดังก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล  ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อพยุงตัวเองถีบชีวิตให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสในสังคมก็ตามที ถึงกระนั้นก็ตามกลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามทีเถอะ และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ..


เช้าที่สดใส แสงแดดเริ่มอุ่นฝูงวัวควายบ่ายหน้ามุ่งสู่ทุ่งท้องนา หมู่มวลวิหคโผบินบ้างจับเกาะบนชายคบพลางกระโดดโล้ดเต้นอย่างร่าเริง ส่งเสียงเจื้อยสายตาจับจ้องมองหาเหยื่อเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดเฉกเช่นมวลมนุษย์ สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของหลักไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้นตั้งอยู่พลางเปลี่ยนแปลงและดับสลายไปตามกาลเวลา แต่ทำไมหนามนุษย์ผู้ซึ่งถึงพร้อมขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐกลับมองไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร กลับหน้ามืดตามัวแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นหลงอำนาจ ระเริงกับรูปลักษณ์ภายนอกทั้งที่สิ่งเหล่านี้ก็คือหน้าฉากจอมปลอมที่จับมาสวมแล้วเสแสร้งแกล้งแสดง กิเลสนั่นเองคือสิ่งที่บังตาบังใจจนมิดมิอาจที่จะทำให้ตัวละครเหล่านี้มองเห็นได้ กลับทะยานอยากเพิ่มเรตติ้งให้กับตัวเองเพื่อให้ผู้ชมได้ยกย่องเชิดชูกับบทบาทเพื่อให้ละครตัวนี้ได้เด่นดังและเป็นที่จดจำของผู้ชมตลอดไป..อนิจจา..เพื่ออะไรกัน ??











          สองร่างที่ดูต่างวัยเดินมุ่งหน้าสู่ท้องทุ่งหลังจากแสงแดดเริ่มอุ่น บ่อยครั้งที่สายลมโชยเข้ามาประทะร่างจนเกิดอาการสั่นไหวแต่หาได้บั่นทอนความรู้สึกของยายมาวัย57ได้ ด้วยใจที่ไม่เคยยอมท้อต่อชีวิตการดำรงชีพถึงต้องเป็นไป เสียมขนาดเหมาะมือกับคุใบน้อยแบกคอนไว้บนบ่าด้านซ้ายโดยมีเจ้าใหม่ หลานชายตัวน้อยวัยสามปีวิ่งตามหลังไม่ห่าง ผืนนาที่มองเห็นอยู่ข้างนาไม่ไกลนักคือจุดหมายหลักของแก

          ด้วยชีวิตที่แสนลำเค็ญ การเลี้ยงชีพจึงเป็นไปด้วยความอัตคัด การขุดปูและขัวหอยเป็นสิ่งที่แกพึงกระทำได้หลังสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว ชีวิตที่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่กับหลานชายชายตัวน้อยไม่ได้ทำให้แกเกิดอาการท้อเพราะเริ่มชาชิน มีบ้างก็แค่คราบน้ำตาที่หลั่งรินออกมาในช่วงก่อนเข้านอน  ชีวิตของยายมาหลังจากสิ้นเสาหลักของครอบครัวเหมือนสิ้นที่พักพิง ลูกสาวแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับแฟนที่จังหวัดอื่นโดยไม่เหลียวแล ส่วนลูกชายทำตัวเป็นลูกชายอสูรกินเหล้าหามรุ่งหามค่ำกับเพื่อนฝูง วันไหนเมาพาลทำร้ายข้าวของภายในบ้านจนป่นปี้บ้างเลยเถิดถึงกับทำร้ายผู้เป็นแม่

บาปซ้ำกรรมซัดอีกระลอกเมื่อลูกชายมีแฟนกลับสร้างภาระให้แกเพิ่มขึ้นอีก อยู่กับแฟนได้ปีกว่ากลับต้องร้างลากัน ทิ้งพยานตัวน้อยไว้ให้หนึ่งคนซึ่งยายมาต้องรับผิดชอบเต็มๆกับปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น นี่หล่ะหนาชีวิตคนเราเวลามีความสุขมักมองเห็นคนอื่นดีเลิศ มองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรรค์แต่พ่อแม่กลับกลายเป็นคนที่ถูกมองข้ามไป พอเจอเรื่องแย่ก็โยนให้ผู้บังเกิดเกล้ารับแทน  คำว่า พ่อ หรือ แม่ อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด อาจเป็นคำง่ายๆ สั้นๆแต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราอาจไม่ต้องคิดถึงท่านในทุกๆเวลาที่เราหายใจ เพราะเรารู้ว่าท่านคงไม่ได้เรียกร้องมากมายขนาดนั้น ขอแค่ 1 ใน 10 ของที่ท่านคิดถึงเราก็พอ เพียงเท่านี้ … ท่านคงจะดีใจเป็นไหนๆ …

  ส่วนลูกชายตัวแสบของยายมานั้นตอนนี้หนีไปทำงานใช้หนี้ตัดอ้อยที่เมืองกาญหลังจากรับเงินเถ้าแก่ไร่อ้อยมาเมื่อปีที่แล้ว ส่วนการเจียดเงินมาช่วยแกเลี้ยงดูเจ้าใหม่นั้นหมดหวังที่จะพึ่ง












" จั๊บ..จั๊บ..จั๊บ. "


           เสียงเสียมกระแทกเข้ากับผืนดินที่อ่อนนุ่มดังถี่เป็นจังหว่ะ เหงื่อเริ่มผุดซึมออกจากใบหน้า แต่ด้วยหัวใจที่ยังแกร่งทำให้แกมุ่งมั่นต่อแม้ว่าเรี่ยวแรงจะลดน้อยถอยลงต่างจากเมื่อสามสิบปีที่แล้วก็ตามที



       " โอยเนาะ..จั่งแหม่นอยู่เลิกเนาะ กว่าสิฮอดกะเหล่นเอาเหมื่อยเลย.. "


         เสียงพึมพำออกมาเล็กน้อยหลังจากที่สายตามองเห็นเจ้าปูตัวเขื่องอยู่โพรงข้างล่าง แก้ใช้มือล้วงเข้าไปจับเอาปูตัวแรกสำหรับวันนี้ใส่ในคุใบน้อยโดยมีเจ้าใหม่ยืนมองอยู่ไม่ห่าง ยายมารู้สึกว่าตามท้องทุ่งทุกวันนี้การหากินเริ่มฝืดเคืองและลำบากยิ่ง ปูที่เคยมีเยอะและขุดรูอยู่ไม่ลึกนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปอย่างเห็นได้ชัด ณ วันนี้ปูลดน้อยแถมขุดรูลงไปลึกมาก กว่าจะได้แต่ละตัวเล่นเอาแกหอบเลยทีเดียว

        คงเป็นเพราะว่าการใช้สารเคมีในนาข้าวทำให้พวกมันลดประชากรลงและป้องกันตัวเองโดยขุดรูให้ลึกกว่าเดิม บ้างก็ขุดรูตามคันนาที่อยู่สูงและดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้เสียส่วนมากด้วยสิ  จวบจนบ่ายคล้อยที่ยายมาและเจ้าใหม่สาละวนอยู่บนท้องทุ่งนา เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่หลั่งออกมาจากผืนกายและใบหน้า ด้ามเสียมเสียดสีกับมือจนรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่แกยังทนได้

    สองยายหลานกลับเข้ามาถึงบ้านตอนบ่ายสอง อันดับแรกแกจัดแจงหาข้าวป้อนหลายชายตัวเล็กก่อนิเสร็จแล้วก็จัดการล้างปูที่ขุดได้ คัดเอาตัวที่สมบูรณ์ซึ่งไม่โดนเสียมจนกระดองแตกใส่ถุงพลาสติก ส่วนตัวที่พลาดโดนเสียมแกจะแยกออกไว้ทำเป็นอาหารเย็นนี้ ประเมิณด้วยสายตาวันนี้น่าจะขายได้ซัก40บาท ซึ่งในตอนเย็นแกจะเป็นคนเดินตระเวณขายในหมู่บ้านนั่นเอง แม้จะเป็นรายได้ที่ดูจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับค่าแรงมาตรฐานรายวันคือ300 แต่แกก็ยอมรับกับกฏเกณฑ์ของชีวิต นโยบายทุกยุคทุกสมัยที่พรั่งพรูออกมาแบบดูเลิศโปรยด้วยน้ำหอมชวนชมของผู้มีอำนาจซึ่งเป็นการสร้างสิทธิเสรีภาพสร้างความความเท่าเทียมกันจนเกิดชื่นมื่นสุขสมภายในใจของใครหลายๆคนมันกลับไม่เคยอยู่ในความรู้สึกของยายมาเลย


..เพราะแกรู้ดีว่าความจริงใจไม่มีอยู่ในพวกเทวดาพญาอสูรพวกนี้ แต่แกยอมรับอยู่ข้อนึงคือเขาให้สิทธิ์เท่าเทียมกันแบบเสมอภาค

เท่าเทียมตรงไหนหล่ะในเมื่อรายได้ยายมา40บาทต่อวันขณะค่าแรงมาตรฐานคนอื่นได้วันละ300บาท

..............ไม่..................ไม่....ยายมาไม่ได้หมายถึงสิทธิ์ตรงนั้นครับ แกหมายถึงว่าแกมีสิทธิ์ซื้อน้ำปลาผงชูรสในราคาที่เท่าเทียมกับคนอื่น..แค่นั้นเอง สุขสมใจไหมหล่ะ


       ด้วยจิตคารวะ


@อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/

 
 
สาธุการบทความนี้ : 144 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  06 พ.ค. 2557 เวลา 12:53:40  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  บ่าวหน่อ    คห.ที่108)  
  อภิมหาเซียน

ภูมิลำเนา : ร้อยเอ็ด
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 4,206
ให้สาธุการ : 185
รับสาธุการ : 6,554,480
รวม: 6,554,665 สาธุการ

 
เขียนได้ยอดเยี่ยมครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  06 พ.ค. 2557 เวลา 17:44:45  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่109)  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 
คุณบ่าวหน่อ:
เขียนได้ยอดเยี่ยมครับ


ขอบคุณครับผม ว่าแล้วกะไปหาปลูกผักปลูกบักถั่วป๊ะเฮา ไคกั่วไปตัดอ้อยอยู่หว๋า แห่ะๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 213 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  06 พ.ค. 2557 เวลา 18:11:21  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ลุ่มดอนไข่    คห.ที่110)  
  อนุเซียน

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ - หนองคาย
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 15 มิ.ย. 2553
รวมโพสต์ : 1,601
ให้สาธุการ : 2,855
รับสาธุการ : 3,783,400
รวม: 3,786,255 สาธุการ

 
ควมเท่าเทียมแบบนี่
เลาสิภูมิใจฮึเสียใจดีหล่ะทิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  06 พ.ค. 2557 เวลา 23:16:31  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่111)  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 
คุณลุ่มดอนไข่:
ควมเท่าเทียมแบบนี่
เลาสิภูมิใจฮึเสียใจดีหล่ะทิด


กะยังหว่าคับ..

 
 
สาธุการบทความนี้ : 127 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  07 พ.ค. 2557 เวลา 06:11:19  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่112) ดอกติ้วคืนถิ่น  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 


ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม

อาทิตย์ยามบ่ายคล้อยทอแสงสีทองส่องประกายเลื่อมพรายโอบกอดผืนดินถิ่นอีสานประดุจแผ่นดินทอง ม่านแห่งสายลมโชยพัดผ่านดังหวิวแว่วแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ ต้นไม้พริ้วสะบัดใบรับเสมือนหยอกล้อเล่นประหนึ่งว่ากำลังปลดปล่อยอริยาบทในห้วงความฝันที่ผสานไปด้วยจินตนาการในม่านสายลม นกน้อยหลายตัวกระโดดโล้ดเต้นจับบนกิ่งก้านพร้อมส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ประสานเสียงคอรัสเหมือนกำลังช่วยกันเห่กล่อมท้องทุ่งอีสานให้คลายความหม่นหมอง ฝูงแมลงปอบินหยอกล้อเล่นกับลมพลางสยายปีกที่มีสีสันสวยงามอวดโฉมดึงดูดสายตาแก่อาคันตุกะที่ผ่านไปผ่านมาให้หลงเสน่ห์ต้องมนต์สะกดจนเกิดปฎิพัทธิ์


รถสองแถวเล็กสีฟ้าเก่าๆวิ่งมาตามถนนทางหลวงหมายเลข2074 พร้อมกับเสียงผู้โดยสารคุยกันให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เมื่อผ่านหมู่บ้านคราใดก็จะได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับการจอดส่งของรถสองแถวหรือบ้างก็จอดรับรายทางเมื่อมีคนเรียก กระเป๋าสัมภาระต่างๆถูกยกลงเมื่อเจ้าของถึงที่หมายทำให้ ณ เวลานี้บนรถเริ่มบางตา เสียงพูดคุยก็เริ่มค่อยๆเงียบลงเมื่อรถวิ่งห่างจากตัวจังหวัดมากขึ้นทุกที โชว์เฟอร์มาดเก๋าอย่างลุงสียังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เสียงเพลงรักเก่าที่บ้านเกิดดั่งหวานแว่วมาจากเครื่องเล่นเทปผสานกับเสียงลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างของรถจนบางทีทำให้เสียอรรถรสไปบ้าง แต่หาได้เกิดปัญหากับลุงสีไม่ เสียงผิวปากดังก้องอย่างคนอารมณ์ดีผสานไปกับเสียงเพลงและสายลมได้อย่างลงตัว


ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำเทียบปลายไม้รถโดยสารยังคงจอดส่งผู้คนตามรายทางหลายหมู่บ้าน เสียงคนดังจ้อกแจ้กจอแจบ้างร้องตะโกนทักทายไต่ถามขณะรถจอดส่ง จวบจนสี่โมงเย็นรถสองแถววิ่งมุ่งหน้าสู่ปลายทางซึ่งมองเห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก การเดินทางใช้เวลาพอสมควรขณะนี้เหลือผู้โดยสารบนรถเพียงคนเดียว รถโดยสารยังคงบึ่งมุ่งหน้าทำหน้าที่ส่งผู้โดยสารรายสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้านข้างหน้าและสิ้นสุดระยะทาง หญิงสาวใช้มือขยับคอเสื้อให้เข้ารูปเมื่อสายตาเริ่มมองเห็นจุดหมายอยู่ไม่ไกล มือขวาจับเสื้อสะบัดไปมาเพื่อไล่ฝุ่นผงที่ติดแซมเสื้อ


" บุรีรัมย์-โคกเพ "


สายตาของหญิงสาวชำเลืองดูสติ๊กเกอร์ตัวหนังสือที่เขียนติดไว้ข้างรถพลางนึกขำ ถ้าเป็นคนนอกพื้นที่มาเจอแบบนี้คงเล่นเอางงเหมือนกัน แต่เมื่อดูตามสถาพของรถแล้วก็ไม่นึกแปลกใจ มันคงจะหลุดลอกออกไปกับกาลเวลา คนขับเองก็คงไม่มีเวลามาสนใจกับมันเป็นแน่ จะเอาอะไรมากมายขอให้วิ่งรับส่งผู้โดยสารถึงที่หมายก็บุญโขแล้วหล่ะ


" ลงหม่องได๋หล่ะอีนาง " เสียงลุงสีซึ่งทำหน้าที่สารถีตะโกนถามมาจากข้างหน้าพร้อมกับถอนคันเร่งชะลอความเร็วลงเมื่อถึงหมู่บ้านโคกเพ็ก


" จอดศาลากลางหมู่บ้านกะได้จ้าลุง " ใบหน้าหวานแต่แฝงด้วยแววตาเศร้าตอบกลับไปพร้อมกับขยับตัว มือขวาถือกระเป๋าขึ้นกระชับเมื่อรถสองแถวจอดสนิทนิ่ง หญิงสาวก้าวลงพร้อมด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาจากกรุงเทพ ใบหน้าหมองเปื้อนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณยายที่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางหมู่บ้านส่งทักมา


" จักบาทจ้าลุง " หญิงสาวเอ่ยพลางเปิดกระเป๋าสตางค์


" ยี่สิบบาทอีนาง โตแหม่นคนบ้านโคกเพ็กอยู่ติ ลุงคือบ่คุ้นหน้าปานได๋ " โชว์เฟอร์วัยเก๋าเอ่ยถาม มือขวายื่นรับแบงค์ยี่สิบจากหญิงสาว


" หนูเป็นคนบ้านโคกติ้วจ้าลุง ไปเฮ็ดงานอยู่กรุงเทพ คิดฮอดอี๊แม่กะเลยกลับมายามเพิน " หญิงสาวบอกซ่อนแววตาเศร้าแต่ในความจริงนั้นบาดแผลใหญ่ที่ใจต่างหากที่ทำให้เธอเลือกเดินทางกลับมายังมาตุภูมิ


" อ้อ บ้านโคกติ้วติ ไปติ๊นางฟ้าวไปมันสิค่ำก่อน แต่กะบ่โดนดอกว๊า แค่กิโลเดียวกะฮอดแล้วว๊า " ลุงสีเอ่ย


" จ้าลุง หนูไปก่อนเด้อ " หญิงสาวเอ่ย มือหิ้วกระเป๋าเดินมุ่งหน้าสู่บ้านโคกติ้วซึ่งเป็นเหมือนอุ่นไอดินถิ่นไอรักของเธอ







ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม


หญิงสาวเดินออกมาจากหมู่บ้านโคกเพ็กได้ไม่ไกลนักก็มาเจอกับผืนป่าโคกขนาดแปดสิบไร่ " โคกติ้ว " คือโคกหรือป่าชุมชนที่คนในหมู่บ้านโคกติ้วและโคกเพ็กได้อาศัยใช้ประโยชน์ร่วมกัน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นติ้วที่มีมากมายในครั้งอดีตจนคนรุ่นเก่าต้องนำมาตั้งชื่อให้กับโคกผืนนี้ เมื่อถึงฤดูฝนโคกแห่งนี้ก็จะมาพร้อมด้วยฤดูเห็ดที่ออกดอกบานเป็นเสบียงเลี้ยงวิถีชุมชนใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี  ทว่าปัจจุบันพื้นที่โคกติ้วถูกกลืนกินหายไปเกือบสามสิบไร่ ต้นไม้ที่เคยเป็นป่าโคกแปลเปลี่ยนไปด้วยอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มีรั้วล้อมเป็นสัดส่วนพร้อมกับติดป้ายใหญ่ให้เห็นเด่นเป็นสง่า " องค์การบริหารส่วนตำบลโคกเพ็ก "   ควายกลุ่มหนึ่งกำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการนัก นี่คือวิถีที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานพอสมควร


หญิงสาวเดินผ่านชำเลืองตามองดูต้นติ้วหลายต้นที่กำลังแตกใบเขียว คาดคะเนด้วยสายตาคงจะผ่านการบำรุงด้วยน้ำฝนมาบ้างแล้ว ความเขียวของต้นไม้ในผืนป่าทำให้หัวใจที่อ่อนล้าเริ่มมีพลังขึ้นมาบ้างเสมือนนกน้อยได้กลับคืนสู่รังเก่าที่อบอุ่น หญิงสาวเดินผ่านควายหลายตัวที่กำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ริมทางทำให้เธอเผลอยิ้มนึกถึงอดีต แต่ทว่าในมโนจิตกลับนึกเห็นภาพของชายหนุ่มบ้านนาคนรักเก่าจนทำให้สีหน้าเปลี่ยน กลับกลายเป็นความเศร้าหมองแทน ความผิดที่เคยทำร้ายจิตใจเขาเมื่อสองปีที่แล้ว ณ ตอนนี้เธอเสียเองที่กลับเป็นฝ่ายถูกกระทำคืนบ้างจากหนุ่มชาวกรุง หญิงสาวเดินปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะผ่านผืนโคกติ้ว สายตาเหม่อเมื่อความคิดเข้ารุมเร้า เมื่อกลับไปถึงบ้านเธอจะต้องเจออะไรบ้าง เมื่อนึกแล้วพลันน้ำตาจะไหลเอาดื้อๆ สองเท้าเหมือนคนจะสิ้นแรงทุกทีเมื่อนึกถึงใบหน้าของหนุ่มที่เคยรัก เขาจะอยู่ยังไง เขามีใครหรือยัง เขาจะโกรธจะเกลียดเธอไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นสับสนภายใน


" เฮ้อ " เสียงถอนหายใจ ดวงตางอนคู่สวยมองขึ้นท้องฟ้าพร้อมกับสูดรับความสดชื่นเข้าเต็มปอด อ่า ไม่ว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะยินดีรับมันให้ได้ แม้เขาจะโกรธเกลียดและไม่ยอมอภัยให้เธอ เธอก็จะรับกับผลที่ออกมาให้ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของเธอเอง


เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงนกเขาขันเป็นระยะในผืนป่าทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นบ้าง ทุกๆ เรื่องราวน้อยใหญ่ในชีวิตบางทีมันอาจจะทำให้เธอเริ่มได้ค้นพบว่า ที่จริงแล้ว ... ชีวิตนี้มันก็เป็นแค่สิ่งเรียบง่ายสิ่งหนึ่งเท่านั้น เอง หัวใจของความสุขไม่ได้อยู่ที่ความไม่ทุกข์แต่อยู่ที่ทุกข์แล้วจะปล่อยวางได้ไหม และเป้าหมายของการมีชีวิตก็ไม่ใช่การเกิดมามีทุกอย่างดั่งที่ฝันเสมอไป ชีวิตเสมือนดอกหญ้าดอกหนึ่งที่วันหนึ่งก็ต้องโบกลาต้น แสงตะวัน และโลก คงเหลือเพียงทิ้งเชื้อของตน ... ให้งอกงามเป็นต้นหญ้า ที่ประดับโลกต่อไปก็เท่านั้น   ความคิดล่อยลอยในมโนจิตทันใดนั้นพลันเสียงใบตองแห้งข้างทางกลับดังขึ้นเหมือนกับมีบางสิ่งเข้าไปสัมผัส ทำให้สายตาคู่งามต้องเบนกลับมามอง


" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด " เสียงหวีดร้องดังก้องป่าก็เกิดขึ้นทันที


       พังพอนตัวเขื่องวิ่งผ่านหน้าในระยะไม่ถึงสิบเมตร เนื่องด้วยสมองที่พลันคิดไปเรื่อยบวกกับการที่เจ้าพังพอนวิ่งออกมาในระยะใกล้ ทำให้เกิดอาการตกใจจนเผลอร้อง  เมื่อรู้ว่าเป็นตัวอะไรสายตาคู่งอนก็เริ่มสำรวจอีกครั้ง  เดินผ่านผืนโคกก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ที่หลายๆแปลงแต่ก่อนเคยเป็นผืนป่าโคกเชื่อมโยงกับที่สาธารณะ ปัจจุบันถูกล้อมรั้วเป็นสัดส่วน ภายในมีต้นยางพาราขนาดสองปีปลูกเป็นแถวเรียงยาวจนสุดลูกตา โดยรอบมองเห็นหญ้าเกรียมไหม้คล้ายถูกสารบางอย่างฉีดพ่น  ด้านหน้าทางเข้ามีป้ายติดไว้ว่า  " ที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้า " เพื่อให้บุคคลภายนอกได้อ่านเพื่อให้รู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์ที่เจ้าของที่ตั้งขึ้นนั่นเอง  ความเปลี่ยนแปลงดูจะมีให้เห็นจนหญิงสาวต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ระยะเวลาเพียงสองปีกว่าๆที่เธอไม่อยู่บ้านมันเกิดกระแสอะไรขึ้นในชุมชนบ้าง  แค่ช่วงระยะห่างเพียงหนึ่งกิโลเมตรจากบ้านโคกเพ็กถึงบ้านโคกติ้ว มีพื้นที่ปลูกยางพาราผุดขึ้นหลายสิบแปลง


       หญิงสาวถึงบ้านในเวลาพลบค่ำพอดี อุ่นอ้อมกอดและคำปลอบประโลมของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองทำให้จิตใจหญิงสาวดีขึ้นมาก  รสชาดอาหารฝีมือแม่เพิ่มความสุขชื่นมื่นในค่ำคืนที่หวนสู่ทำให้เห็นรอยยิ้มจางในม่านหม่นบ่อยครั้ง" แม่..อ้ายรุทเลาอยู่จั่งได๋หล่ะ "  เป็นประโยคที่เธอเอ่ยถามเมื่อจัดการเก็บสำรับและล้างถ้วยเสร็จ" มันกะอยู่ของมันซาตินั่นหล่ะนาง ตั้งแต่มึงถิ่มมันไปมันกะบ่เคยหัวซาไผ๋เลย เฮ็ดหยั๋งกะบ่คือบ้านคือเมืองเขา ขะเจ้าพากันถางไฮ่ปลูกยางปลูกต้นกระดาษมันกะบ่สนใจ ขนาดมีผู้เข้ามาส่งเสริมกะบ่หัวซานำเขา แถมเฮ็ดสวนกระแสเขาอีกจักแหม่นมันหาต้นหยังกะด้อกะเดี้ยมาปลูกจนว่าฮกเต็มที่มันเอาโล้ดจนขะเจ้าว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว อยากฮู้ว่ามันอยู่จั่งได๋มื้ออื่นกะค่อยไปเบิ่งเอาหว๋า "  ผู้บังเกิดเกล้าตอบขณะที่เอนหลังพิงต้นเสาเพื่อรอให้อาหารย่อย


" อ้ายรุทเลากะเป็นคนจั่งซั่นมาแต่ได๋เด้หล่ะแม่ อี๊แม่ยังบ่ชินอยู่ติ..ที่ชาวบ้านเพินเว้านั่นแสดงว่าขะเจ้าบ่ฮู้จักเลาดีตินั่น "  

หญิงสาวเอ่ยพร้อมเดินไปปิดหน้าต่าง อากาศภายนอกเริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย เสียงหริ่งเรไรดังกลบความเงียบของรัตติกาลดูไร้เหมือนไร้ความวุ่นวายเสียจริงๆ  หญิงสาวนึกภาพตามคำพูดของแม่พร้อมกับนึกขำอยู่เล็กน้อย  เธอเข้าใจในตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนเช่นไรและกำลังทำอะไร เธอเดินมานั่งลงข้างๆแม่  ตักไหนใยเล่าจะอุ่นเท่าตักแม่คงไม่มี  ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว และมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหาเพราะ แท้จริงความสุขอยู่กับเราแล้วทุกขณะและตามเราไปทุกหนแห่ง แต่เรามองไม่เห็นเองเพราะ มันอยู่ใกล้อย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปลายจมูกที่มักถูกมองข้าม    

  หญิงสาวนอนหนุนตักพร้อมกับถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้บังเกิดเกล้าบ้างสลับกับคำถามที่เธอสงสัย มีเสียงหัวเราะดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เกือบจนค่อนคืนเธอก็หลับไหลอยู่ข้างๆแม่ ค่ำคืนนี้ดวงดาวพร่างพราวระยิบระยับอวดกันเปล่งประกายแสงแข่งกันกับดวงจันทร์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอแสงสีเหลืองนวลสุกใสเหมือนถูกอาบไปด้วยทองเหลืองแผ่นใหญ่  มองผ่านเข้าไปข้างในเห็นเจ้ากระต่ายสีขาวตัวน้อยชะเง้อคอจ้องมองขึ้นไปยังข้างบนชื่นชมในแสงนวลของจันทร์เจ้าเปรียบประดุจในความรักของชาวนาหนุ่มผู้ลุ่มหลงเฝ้าฝันจะหมายปองเทพธิดาดอกฟ้าแห่งกรุงไกล แต่ไฉนใยกลับต้องร้อนลุ่มเหมือนถูกไฟสุมทรวงเมื่อสิ่งที่หมายปองนั้นสุดที่จะเอื้อมไขว่คว้าถึง  สายลมที่แผ่วเบาช่วยพัดพาใบไม้ให้ไหวพริ้วไปตามแรงมองดูผ่านแสงนวลของจันทร์เหมือนกับว่ากำลังเบิกบานฤทัยขยับกายโยกย้ายส่ายลีลาไปตามจังหวะเสียงเพลงที่บรรดาหริ่งเรไรร่ำร้องประชันกันขึ้นอยู่เป็นระยะๆ  กลิ่นของดอกไม้ยามค่ำคืนหอมตลบอบอวลแผ่ขจรไปทั่วบริเวณ เหมือนกับว่ายั่วยุสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์เฉกเช่นชายหนุ่มร่างกำยำละเมอเพ้อหากลิ่นอายอันหอมกรุ่นของเนื้อนางก็มิปาน...











เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อเป็นการพยุงตัวเองให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที

แสงทองในเช้าวันแรกที่หญิงสาวได้ตื่นขึ้นมาสำผัสมันทำให้เธอเผลอยิ้มออกมา กลิ่นไอดินอันหอมกรุ่นโชยพัดผ่านมาจากทุ่งนาฟากโน้น  หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัว หญิงสาวเดินมุ่งหน้าสู่ผืนนาที่อยู่ติดโคกติ้วมองเห็นอยู่ลิบลับฟากโน้น จุดมุ่งหมายก็คือชายหนุ่มที่เธออยากรู้ความเป็นไปมากที่สุดในตอนนี้ จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ จะเกิดอะไรขึ้น

คงไม่มีใครล่วงรู้ได้นอกจากเขาและเธอสองคน  

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/


          

 
 
สาธุการบทความนี้ : 140 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 ก.ย. 2557 เวลา 05:46:45  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ลุ่มดอนไข่    คห.ที่114)  
  อนุเซียน

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ - หนองคาย
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 15 มิ.ย. 2553
รวมโพสต์ : 1,601
ให้สาธุการ : 2,855
รับสาธุการ : 3,783,400
รวม: 3,786,255 สาธุการ

 
คุณอีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}:

อาทิตย์ยามบ่ายคล้อยทอแสงสีทองส่องประกายเลื่อมพรายโอบกอดผืนดินถิ่นอีสานประดุจแผ่นดินทอง....


คงไม่มีใครล่วงรู้ได้นอกจากเขาและเธอสองคน   (อ้อ  คนเขียนด้วยอีกคน)


          


ย้อนเอิกเหลิ่นเนาะเพิ่นจั่งโงต่าวบ้าน
ว่าแต่...เขาและเธอเพิ่นฮู้อีหลิติทิด
บ่แหม่น...สิฮู้แต่คนเขียนผู่เดียวเบาะน้อ
    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 146 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 ก.ย. 2557 เวลา 12:01:49  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  อีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}    คห.ที่115)  
  อนุเซียนผู้อมตะ

ภูมิลำเนา : บุรีรัมย์ @ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 07 เม.ย. 2552
รวมโพสต์ : 5,431
ให้สาธุการ : 4,145
รับสาธุการ : 11,376,240
รวม: 11,380,385 สาธุการ

 
คุณลุ่มดอนไข่:


ย้อนเอิกเหลิ่นเนาะเพิ่นจั่งโงต่าวบ้าน
ว่าแต่...เขาและเธอเพิ่นฮู้อีหลิติทิด
บ่แหม่น...สิฮู้แต่คนเขียนผู่เดียวเบาะน้อ
    



ฮู้อีหลีคับ ฮู้คักฮู้แนฮู้กะเดี้ยฮู้กะด้อ    เพินสองคนถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังกะเลยได้นำมาเขียน แห่ะๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 89 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 ก.ย. 2557 เวลา 20:43:49  
    MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ป้าหน่อย    คห.ที่116)  
  เซียน

ภูมิลำเนา : อุบลราชธานี
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 05 ธ.ค. 2552
รวมโพสต์ : 2,169
ให้สาธุการ : 3,415
รับสาธุการ : 4,649,810
รวม: 4,653,225 สาธุการ

 
คุณอีเกียแดง {แห่งรัตติกาล}:
คุณลุ่มดอนไข่:


ย้อนเอิกเหลิ่นเนาะเพิ่นจั่งโงต่าวบ้าน
ว่าแต่...เขาและเธอเพิ่นฮู้อีหลิติทิด
บ่แหม่น...สิฮู้แต่คนเขียนผู่เดียวเบาะน้อ
    



ฮู้อีหลีคับ ฮู้คักฮู้แนฮู้กะเดี้ยฮู้กะด้อ    เพินสองคนถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังกะเลยได้นำมาเขียน แห่ะๆ


เว้านำผู้อ่าน กะหลงว่าแหม่น เรื่องของผู้เขียน พู้นล่ะแมะ กิ้วๆๆๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 126 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 ก.ย. 2557 เวลา 20:47:58  
      offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ปราร้านอกไห   ตอบเต็มรูปแบบ || Quick Reply  
  หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12

   

Creative Commons License
รวมเรื่องเขียนของ อีเกียแดง --- วิถีชีวิตชาวอีสาน (ปลาร้านอกไห --- อีสานจุฬาฯ)