ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2567:: อ่านผญา 
ฝนตกยังฮู้เอื้อน นอนกลางคืนยังฮู้ตื่น ความทุกข์ยังฮู้เตื้อง มีขึ้นเมื่อลุน แปลว่า ฝนตกยังมีหยุด นอนหลับยังมีตื่น ความจนยังมีจาง วันหลังอาจมีรวย หมายถึง ทุกอย่าง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อย่าหลงมัวเมา อย่ามัวเศร้าโศก


  ล็อกอินเข้าระบบ  
ชื่อ ::
รหัสผ่าน::
*จำสถานะ
 
  วิถีชีวิตชาวอีสาน  
       ดินแดนอีสาน มีวัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะตน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ท่ามกลางความแร้นแค้น ชาวอีสาน มีความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตอยู่เช่นไร สร้างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีเช่นไรขึ้นมา

     แต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ อาจมีวิถีชิวิต ความเป็นอยู่ ที่แตกต่าง ตามลักษณะพื้นที่ หรือธรรมชาิติที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด ล้วนคือวิถีชิวิตแห่งชาวอีสาน

     เชิญทุกๆท่าน ร่วมเขียนบทความ เรื่องสั้น เล่าวิถีชิวิต ความเป็นอยู่แห่งชาวอีสาน ได้แล้วครับ...



กระทู้ธรรมดา... มีข้อความโพสต์ใหม่

  หน้า: 1 2 3 4 5 6 ตอบกระทู้  
  โพสต์โดย  
ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ (คลิกอ่านบทความต่อเนื่อง)
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่10) ผีฟ้า  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีฟ้า หมายถึงผีซึ่งมีวิมานอยู่บนฟ้า ซึ่งก็คือเทวดานั่นเอง ผีฟ้าไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเหมือนผีชนิดอื่นๆ ผีฟ้าเป็นผีที่ให้คุณมากกว่าให้โทษ เพราะเป็นผีที่คอยคุ้มครอง ดูแล รักษามนุษย์

หากพูดตามความเชื่อทางภาคอีสานแล้ว เจ้าแห่งผีฟ้า ก็คือพญาแถน นั่นเอง พญาแถน เป็นเทวดาปกครองเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ และทำหน้าที่คอยดูแลให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วย

ผีฟ้า หลายๆ คนได้ฟังแล้ว อาจคิดในแง่ลบ นั่นอาจเนื่องมาจาก มีปอบผีฟ้าเกิดขึ้นนั่นเอง ปอบผีฟ้า ไม่ได้หมายความว่า ผีฟ้าเป็นปอบนะครับ แต่หมายถึง คนทรงผีฟ้าต่างหากที่เป็นปอบ เป็นปอบเพราะรักษาข้อห้ามไม่ได้

ผีฟ้า มีบารมีค่อนข้างมาก สามารถล่วงรู้สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่คนธรรมดาบอกไม่ได้ เช่น ควายหาย คนหาย คนเจ็บป่วยไม่สบาย เป็นต้น ชาวบ้าน ก็มักจะเชิญคนทรงผีฟ้า มาเข้าทรงและดูให้ ซึ่งในอดีต(ที่ผีฟ้ามาเข้าทรงจริงๆ) ก็บอกได้ค่อนข้างแม่นยำ จนเป็นความเชื่อและถือปฏิบัติกันสืบมา

คนทรงผีฟ้า มีสองแบบ คือแบบนั่งทรงธรรมดา และแบบรำทรง

ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือแบบรำทรง ซึ่งมักเรียกว่า รำผีฟ้า และ ลำผีฟ้า

รำผีฟ้า คือการฟ้อนรำประกอบเสียงแคนเสียงลำ
ลำผีฟ้า คือการขับร้องประกอบเสียงแคน
หมอลำผีฟ้า คือคนที่ขับร้องและฟ้อนรำประกอบเสียงแคน


กลอนลำสำหรับบวงสรวงบูชาผีฟ้า เป็นกลอนลำเฉพาะผู้เล่าเรียนเท่านั้น ทางภาคอีสาน ตามหมู่บ้านต่างๆ หลายหมู่บ้าน จะมีคณะหมอลำผีฟ้าอยู่ หนึ่งคณะอาจจะมีประมาณ2-5คน ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะ(โดยมากเป็นผู้หญิง) เรียกว่า แม่หมอ แม่หมอ จะเป็นผู้นำในการทำพิธีตั้งแต่ต้นจนจบ

คนที่จะลำผีฟ้าได้ จะต้องมีครู มีคาย (คายหมายถึงของบูชาครู).... หากผิดครู ผิดคาย... ก็เป็นปอบ
ผิดครู หมายถึง ผิดจากข้อปฏิบัติที่ครูสอนสั่ง
ผิดคาย หมายถึง ของบูชาครูไม่ตรงตามที่ครูระบุกำชับ (ขาดของสำคัญ)


หมอลำผีฟ้า ไม่ใช่หมอลำสำหรับเฉลิมฉลองขบงัน แต่เป็นหมอลำที่ใช้สำหรับรักษาอาการป่วยของคน โดยมากมักเป็นอาการป่วยแบบกินยาแล้วไม่หาย หาหมอรักษาไม่ได้ บางคน ป่วยเป็นโรคทางจิตแบบซึมเซา เหงาหงอย บางคน นอนซมกินข้าวไม่ได้ ก็จะเชิญหมอลำผีฟ้ามารักษา....นอกจากนั้น อาการอื่นๆ เช่นหากคาดเดาว่า มีผีมาทำร้าย โดนคาถาอาคม หรือโดนของ ก็ใช้หมอลำผีฟ้า ได้เช่นกัน

คนที่เคยได้รับการรักษาจากหมอลำผีฟ้าคณะไหน.... หากวันหน้าหมอลำผีฟ้าคณะนั้นมาลำที่หมู่บ้านตน แม้จะรักษาคนอื่นก็ตาม คนที่เคยได้รับการรักษานั้น ก็ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย มิเช่นนั้น เชื่อกันว่า อาจเจ็บป่วยเป็นโรคเดิมได้อีก... ประเด็นนี้นี่เอง ทำให้เมื่อหมอลำผีฟ้ามาลำ คนเข้าร่วมจึงมีมากขึ้นๆ เมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้น ความสนุกสนาน ร่าเริง เคล้ากับเสียงลำเสียงแคน จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

การรักษาอาการเจ็บป่วยของผีฟ้า มีสองแบบ คือ
แบบแรก ผีฟ้าอาจจะเข้าสิงร่างใครคนใดคนหนึ่งที่เข้าร่วมพิธี และบอกว่า คนเจ็บป่วยนั้น โดนอะไรมา ไปทำผิดอะไรมา และให้แก้ไขด้วยวิธีอย่างไร

แบบที่สอง รักษาให้หาย ณ ที่พิธีนั้นเลย ซึ่งแบบที่สองนี้ หากมองในแง่จิตวิทยา อาจกล่าวได้ว่า จิตตนรักษาจิตตน นั่นเอง หมายถึง เมื่อมีความครึกครื้นรื่นเริง ปล่อยจิตใจไปกับเสียงลำเสียงแคน ลุกขึ้นฟ้อนรำ ทำให้จิตใจผ่อนคลายจากความตึงเครียด จิตใจที่ปรอดโปร่ง ทำให้ร่างกายสดใสแข็งแรงขึ้นมาได้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 708 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  14 พ.ค. 2550 เวลา 12:49:17  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่11) ผีปอบ  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีปอบ หลายๆ คนคงเคยเห็นในหนังเรื่องผีปอบมาแล้ว ซึ่งในหนังทำรูปร่างผีปอบได้น่ากลัวมาก.. แต่ความจริงแล้ว ผีปอบ ไม่น่าจะมีรูปร่างน่ากลัวขนาดนั้น

ผีปอบ ตามที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมา มีความเป็นมาดังนี้...

คนสมัยก่อน มักเรียนคาถาอาคม ผู้ชายก็เรียนอาคม ผู้หญิงบางคนก็เรียนอาคม ผู้ชาย โดยมากจะเรียนคาถาอาคมแบบอยู่ยงคงกระพันบ้าง แบบหมอผีบ้าง... ผู้หญิง มักจะเรียนอาคมแบบคนเข้าทรง หรือไม่ก็ถือผี เช่น ลำผีฟ้า เป็นต้น

การเรียนอาคมทุกอย่าง ต้องมีของคะลำ (หัวข้อต้องห้าม หรือที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด) เช่น ห้ามให้คนตบหัว ห้ามลอดผ้าถุง ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามรับเงินเกินค่าครู ห้ามโกหก ห้าม...ฯลฯ... ซึ่งครูอาจารย์ผู้สอนวิชาอาคมให้ ก็จะบอกกำชับว่า ต้องคะลำอะไรบ้าง... หากผิดข้อห้าม ความขลังอาจจะหายไป หรือเกิดอาการของขึ้น หรือเกิดความเสื่อมอะไรบางอย่าง เป็นต้น

การที่ต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ ก็เพื่อให้จิตผู้เรียนอาคม อยู่เหนืออาคม หรือสามารถบังคับอาคมได้ ถ้าเลี้ยงผีไว้ ก็มีอำนาจเหนือผี

แต่ในทางกลับกัน ถ้าผิดข้อห้าม ผลที่ไม่ดีก็มักจะเกิดขึ้น เพราะเราทำไม่ถูกต้องก่อน จิตเราก็จะอ่อนลง บังคับอาคมไว้ไม่ได้ ถ้าผู้ที่เลี้ยงผี ก็คุมผีไว้ไม่ได้

ผู้ชายที่เรียนอาคม โดยมาก ผลของการผิดข้อห้าม อาจจะทำให้คาถาเสื่อม ไม่ขลัง ของขึ้น หรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ เช่นเสือเป็นต้น ถ้าผู้เลี้ยงผี ก็อาจถูกผีแก้แค้น

สำหรับผู้หญิง เนื่องจากมักไม่ได้เรียนอาคมแบบเดียวกับผู้ชาย พอผิดข้อห้าม ผลจึงแตกต่างจากผู้ชาย... ผู้หญิงแถวอีสาน หากเรียนอาคม โดยมากจะเป็นแบบเข้าทรง หรือไม่ก็เรียนลำผีฟ้า ซึ่งเป็นพิธีเพื่อรักษาคนเจ็บป่วยอีกแนวทางหนึ่ง

ข้อห้ามของคนลำผีฟ้า คืออะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ เนื่องจากเป็นศาสตร์ลึกลับ... ทว่า ก่อนลำทุกครั้ง ต้องมีการไหว้ครู แต่งขันบวงสรวง (แต่งคายอ้อ) ซึ่งก็จะมีเงินใส่ลงไปด้วย จำนวนเงินจำกัดตามที่ครูอาจารย์บอก เช่น หนึ่งสลึง เป็นต้น....

ผู้หญิง หากผิดข้อห้าม โดยมาก มักจะกลายเป็นปอบ
(ผู้ชายเป็นปอบ มิใคร่จะได้ยินนัก แต่ก็เคยได้ยินบ้างเหมือนกัน ซึ่งหากผู้ชายเป็นปอบ ว่ากันว่า ปราบยากกว่าปอบผู้หญิง เพราะของมันแรง อาคมมันแรงกว่า)

อะไรคือปอบ กลายเป็นปอบ คืออะไร?

พอผิดข้อห้าม จิตของคนนั้นจะอ่อนแอลง ไม่กล้าแกร่ง ไม่เข้มแข็ง หรือเรียกว่าจิตเสื่อม เพราะตนเองรู้อยู่ว่าผิด เมื่อจิตอ่อนแอลง ก็ไม่สามารถจะควบคุมอาคมที่ตนเองมีอยู่ได้ ตนเองจึงถูกอาคมนั้นย้อนกลับเข้าตัว และอยู่ใต้อำนาจของอาคม

คนที่ถูกอาคมย้อนเข้าตัว นั่นแหละ เขาเรียกว่าคนเป็นปอบ เพราะเป็นที่อาศัยของปอบ

ตัว อาคม เขาเรียกว่า ผีปอบ

ผีปอบ ก็คือจิตที่เสื่อมอันมีอาคมหรือมนต์ดำครอบงำไว้


ผีปอบ จริงๆ แล้วก็คือจิต (หรือดวงวิญญาณ) นั่นแหละ คนที่เรียนวิชาอาคมแบบหมอผีอาจจะมองเห็นได้ คนที่มีตาทิพย์อาจจะมองเห็นได้ แต่คนธรรมดามองไม่เห็น คนธรรมดามองเห็นเพียงคนที่เป็นปอบ หรือคนที่ปอบอาศัยสิงร่างอยู่เท่านั้น

ขณะผีปอบ (จิต) ไปเข้าคนอื่น คนที่เป็นปอบ จะไม่รู้ตัวเลยว่าปอบตัวเอง (มนต์ดำของตัวเอง) ไปเข้าใคร

แต่ตัวปอบที่ไปเข้าคนอื่น เวลาถูกถามว่า เป็นใคร มาจากไหน ก็จะบอกว่า ตัวเองเป็นใคร อยู่บ้านไหน ซึ่งเป็นคำตอบอย่างท้าทาย เพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครปราบได้

จากนั้น ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ เป็นปอบ ก็จะกระจายไปจนเข้าถึงหูของคนที่เป็นปอบ... คนที่เป็นปอบ(ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย) ก็จะเกิดความอาย อายชาวบ้านคนอื่น อายเพื่อนบ้านด้วยกัน...

จากความอายนั้น ทำให้เมื่อตัวปอบ ไปเข้าคนอื่นๆ ต่อมา พอถูกถามว่า เป็นใครมาจากไหน ก็เลยไม่ตอบบ้าง ตอบว่ามาจากบ้านอื่นบ้าง ซึ่งก็คือการโกหก นั่นเอง จนมีคำพูดว่า “แลกหน้ากินปานปอบ” ... ซึ่งหมายถึง เอาชื่อคนอื่นไปแอบอ้าง ...ทว่า การโกหก เป็นสิ่งไม่ดี คนที่เรียนอาคม ทราบดีอยู่แล้ว มันฝังอยู่ในสันดาน อยู่ในจิต แม้จิตเป็นปอบ ก็ไม่กล้าโกหก ปอบแบบนี้ก็มี ปอบที่ไม่กล้าโกหก จึงมักจะไปหาเข้าคนบ้านอื่นที่อยู่ไกลๆ ซึ่งแม้จะบอกว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านแถวนั้น ก็ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครรู้จักตน จะได้ไม่ต้องอาย ...

จากความอายนั้น เมื่อคนที่เป็นปอบไปที่ไหน ก็จะไม่กล้าสบตาใคร โดยเฉพาะพระเณรผู้มีศีล คนที่เป็นปอบจะไม่กล้าสบตาเลย เพราะอาย แต่คนที่ถูกปอบเข้า จะไม่อายนะ เพราะตัวปอบสิงร่างตนอยู่ จึงไม่อาย จึงกล้าท้าพระ กล้าสบตาคนอื่นๆ อย่างท้าทาย

ปอบไปเข้าคนอื่น ก็เพราะมันหิว มันอยาก ซึ่งคนที่ปอบจะเข้าได้ง่าย โดยมากมักเป็นผู้หญิง เพราะมีจิตอ่อน มีจุดอ่อนแห่งจิตที่ปอบสามารถเข้าครอบงำได้ง่าย เมื่อเข้าแล้ว มักจะให้คนนั้นคนนี้ หาหมากหาพลูมาให้เคี้ยว ให้หาไก่มาต้มให้กิน เป็นต้น แล้วแต่ปอบจะอยากกินอะไร

ปอบธรรมดา น่ากลัวตรงที่เรามองไม่เห็น และเราไม่รู้ว่าคนที่ถูกปอบเข้า จะได้รับอันตรายอะไรอื่นๆ หรือไม่ หรือคนที่ถูกปอบเข้า จะไปทำร้ายคนอื่นรอบข้างหรือไม่

ปอบที่น่ากลัว คือปอบชนิดที่ดูดซับกินอวัยวะภายในคน มันกินอาหารที่เป็นมิติของมัน เหมือนกับไฟฉายดูดกินไฟจากถ่ายไฟฉาย ซากอวัยวะภายในอาจเหลืออยู่ แต่คนที่เป็นเจ้าของซากกลับตายไปแล้ว เพราะไอแห่งชีวะในร่างนั้น ถูกปอบดูดกินไปแล้ว จิต(หรือวิญญาณ)ของผู้ตาย จึงไม่สามารถอาศัยร่างนั้นได้อีกต่อไป

ปอบธรรมดาทั่วไป มักจะไม่ฆ่าคน แต่ปอบชนิดนี้ เป็นปอบที่หิวโหยมาก หิวจนทนไม่ไหว ความหิวโหยนี่แหละ ทำให้ปอบธรรมดา กลายเป็นปอบฆ่าคน หรือปอบกินคน

ปอบ ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้ยินว่ามีปอบไปเข้าคนนั้นคนนี้แล้ว อาจเนื่องจากว่า คนยุคปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เรียนอาคมกัน จึงไม่เป็นปอบ

คนยุคปัจจุบัน แม้จิตวิญญาณ ไม่เป็นปอบ แต่จิตวิญญาณ กลับเป็นผีอย่างอื่น ผีที่ซึมสิงครอบงำจิตเช่นเดียวกับปอบ แต่เวลาออกหากิน ไม่ต้องไปเข้าสิงคนอื่นเหมือนปอบ ใช้วิธีหากิน แบบหาเอามาเองเลย... ซึ่งผีนี้คือ ผีเปรต.... คนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนจากผีปอบ มาเป็นผีเปรต กันก็มาก....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 579 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  21 พ.ค. 2550 เวลา 12:36:04  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่12) ผีเป้า  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีเป้า เป็นผีที่ชอบกินของสด คาว มักแอบออกหากินตอนกลางคืน เที่ยวจับกบเขียดกิน หากหากบเขียดกินไม่ได้ อย่างน้อย สุดท้าย ก่อนกลับขึ้นบ้าน ก็จะกินขี้หมา รองท้องไปพลางๆ

ผีเป้า ความจริง ไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ ผีเป้า คือ คนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ กลายเป็นเป้า

คำว่า “เป้า” หมายถึง คน หรือสัตว์ซึ่งปกติกินพืชเป็นอาหาร กินของสุกเป็นอาหาร เปลี่ยนไปชอบกินของเป็นๆ กินแบบจับได้ กินเลย ไม่ผ่านกระบวนการปรุงเป็นอาหาร

แมวเป้า หมายถึงแมว ที่จับสัตว์เป็นๆ กินเป็นอาหาร โดยมากมันเป็นแมวไม่มีเจ้าของ หรือแมวป่า แต่ว่าแมวบ้านทั่วๆ ไป ก็อาจกลายเป็นเป้าได้ หากเจ้าของไม่ค่อยให้อาหาร แมวตัวนั้นอดอยาก ไปหาจับหนู จับตุ๊กแก กิ้งก่า กินเป็นอาหารแทน นานเข้า ติดใจในรสชาติของสด กลายเป็นแมวเป้าไป ก็มี

คนที่เปลี่ยนไปชอบกินสัตว์เป็นๆ โดยไม่นำมาปรุงเป็นอาหาร เหมือนแมวจับหนูได้ กินเลยนั้น คือคนนั้นกลายเป็นเป้า เราเรียก คนเป็นเป้าว่า “ผีเป้า”

ผีเป้า เกิดจาก คนที่ใช้ว่านชนิดหนึ่ง นำมาเป็นมวลสารกายสิทธิ์ ช่วยให้ตนอาคมแก่กล้า ว่านชนิดนี้ บ้านข้าพเจ้าเรียกว่า ว่านเลือด หรือว่านเป้า ว่านเลือด ยางว่านจะมีสีแดงสดเหมือนเลือดและมีกลิ่นคาวเหมือนเลือด

ว่านชนิดนี้ ผู้เรียนอาคม มักปลูกไว้ข้างรั้วบ้าน สมัยก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนอาคมกันอยู่แล้ว การปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และว่านนี้ ก็จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ หากนำมาเข้ายา ก็เป็นยา หากนำมาเข้าพิธี ก็เป็นมวลสารกายสิทธิ์

ว่านชนิดนี้ เมื่อเข้าพิธีแล้ว มีความเป็นกายสิทธิ์อะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนคนกลายเป็นเป้าได้ ก็เกิดจากรักษาข้อกำหนดไม่ได้ หรือภาษาอีสานเรียก ผิดข้อคะลำ ทำให้ตนควบคุมมวลสารกายสิทธิ์นั้นไม่ได้ สุดท้าย ตกอยู่ภายใต้อำนาจมวลสารกายสิทธิ์นั้น และกลายเป็น เป้า ไปในที่สุด

ผีเป้า ความจริงไม่ได้ออกหากินเฉพาะกลางคืนหรอก กลางวัน ก็หากิน เช่นกัน เช่นหากไปหาปลา จับปลาได้ มองซ้ายขวาไม่มีคนมองตน ก็กัดกินปลาเป็นๆ เลย แต่โดยส่วนใหญ่ มักได้ยินเรื่องเล่าว่า ผีเป้า มักออกหากินตอนกลางคืน คงเป็นเพราะว่า ปลอดคน กินได้ถนัด

คนที่เป็นเป้า ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่มีใครไปเห็นจะจะ ตอนที่กำลังกินสัตว์เป็นๆ   ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากมีคนบังเอิญไปเห็นและรู้เข้าว่าใครเป็นผีเป้า ผีเป้านั้น  ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้  กลัวจะอับอาย ก็อาจจะพูดต่อรอง ขอร้อง ให้ของแลกเปลี่ยน หรือไม่ ก็บอกว่า หากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เอ็งจะชิบหาย ซึ่งผีเป้ามีอาคมอยู่แล้ว การใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่เห็น จึงยากจะมีใครนำมาเปิดเผยต่อ

ผีเป้า เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

ในหนัง มักทำให้ปอบกินของสดๆ กินไก่สด เป็นต้น ความจริงแล้ว ผีที่กินแบบนั้น ไม่ใช่ผีปอบหรอก แต่เป็นผีเป้า  

 
 
สาธุการบทความนี้ : 623 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  07 มิ.ย. 2550 เวลา 08:42:04  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  บักต๊อก    คห.ที่13)  
  เซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 22 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 2,153
ให้สาธุการ : 2,845
รับสาธุการ : 1,918,920
รวม: 1,921,765 สาธุการ

 


เป็นตาย้านอีหลี้เนาะ ผีนี่
แต่คนสู่มื้อนี้ เป็นตาย้านก่อผีอีก ผีมันหลอกซื่อๆ
แต่คนเฮามันเฮ็ดได้สู่อย่าง  ลังเทือ  ผีแท้ๆยังถืกคนหลอกได่
เดี่ยวนี่หาคนยากแท้  มันมีแต่ผีย้างเต็มไปเมิดเอาโลด
บ่ว่าผีการพนัน  ผีกินดินกินถนน  โอ้ยเป็นตาย้าน
ทางธรรมมันแคบคนบ่อยากย้าง หารู้บ่ว่าย้างไปมันกว้างออกกว้างออก
บาดห่าทางโลกมันกว้าง แฮงย้างไปแฮงแคบลงแคบลงยังพากันม่นไปโลกหนอโลก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 610 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  07 มิ.ย. 2550 เวลา 16:43:24  
      offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่14) ผีโพง  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีโพง เป็นผีประเภทเดียวกับผีเป้า ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบเห็ดแสง

ว่านชนิดนี้ ผู้เรียนอาคม มักปลูกไว้ข้างรั้วบ้าน สมัยก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนอาคมกันอยู่แล้ว การปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และว่านนี้ ก็จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ หากนำมาเข้ายา ก็เป็นยา หากนำมาเข้าพิธี ก็เป็นมวลสารกายสิทธิ์

ว่านชนิดนี้ เมื่อเข้าพิธีแล้ว มีความเป็นกายสิทธิ์อะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนคนกลายเป็นผีโพงได้ ก็เกิดจากรักษาข้อกำหนดไม่ได้ หรือภาษาอีสานเรียก ผิดข้อคะลำ ทำให้ตนควบคุมมวลสารกายสิทธิ์นั้นไม่ได้ สุดท้าย ตกอยู่ภายใต้อำนาจมวลสารกายสิทธิ์นั้น และกลายเป็น ผีโพง ไปในที่สุด

ผีโพง ชอบกินของสดคาว แบบเดียวกับผีเป้า แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ผีโพง จะมีแสงเรืองๆ บริเวณปากหรือไม่ก็ปลายจมูก (เข้าใจว่า น่าจะเป็นแสงจากว่านซึ่งผีโพงอมติดปากมา) ผีโพง ชอบแอบออกหากินตอนกลางคืน จับกบจับเขียดกิน บางครั้ง ผีโพง ก็ดูดกินเพียงยางคาวของกบเขียด หรือมันกินแบบไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งหากไปทุ่งนาในวันต่อมา เห็น ตามคันนา มีซากกบเขียดนอนตายอยู่หลายตัว นั่นแสดงว่า ถูกผีโพงมาดูดเลียกินแล้ว

ผีโพง โดยมากเป็นชาย อาจเป็นเพราะว่า การเรียนคุณไสยชนิดนี้ เหมาะสำหรับผู้ชาย ก็เป็นได้

คนที่เป็นผีโพง ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่มีใครไปเห็นตอนที่กำลังกินสัตว์เป็นๆ ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากมีคนบังเอิญไปเห็นและรู้เข้าว่าใครเป็นผีโพงแล้ว    ผีโพงนั้น  ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้ เพราะเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ก็อาจจะเจรจาต่อรอง ขอร้อง ให้ของแลกเปลี่ยน หรือไม่ ก็บอกว่า หากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เอ็งจะชิบหาย ซึ่งผีโพงมีอาคมอยู่แล้ว การใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่เห็น จึงยากจะมีใครนำมาเปิดเผยต่อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 840 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  25 มิ.ย. 2550 เวลา 14:28:35  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  บักต๊อก    คห.ที่15)  
  เซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 22 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 2,153
ให้สาธุการ : 2,845
รับสาธุการ : 1,918,920
รวม: 1,921,765 สาธุการ

 
เป็นตาย้านอีกแล้ว  ตำนานบ้านเฮานี่มีหลายอีหลี้เนอะผีนี่

เอามาลงอีกเด้ออ้าย  หะเทือสิได่เป็นผู้มีวิชา

ความฮู้เรื่องผีอีสานนำคะเจ่า บ่แม่นวิชาไสยศาสตร์เด้อ  บ่เอา

ไสยะ - ไสยาส  แปลว่านอน
ศาสตร์   คือ  วิชา

รวมแล้ว  หมายถึง  วิชาการนอน  โอ้คือสิบ่ต้องเฮียนเนอะ

นอนเป็นสู่คนแล้ว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 537 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  27 มิ.ย. 2550 เวลา 18:22:15  
      offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่16) ผีเผด (ผีเปรต)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีเผด คือผีคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดในภพภูมิแห่งเปรต หรือที่เรียกว่า เปรตวิสัย

ผีเผด เกิดจากผลของกรรมชั่ว ก็มี เกิดจากเศษผลของกรรมชั่วมาก ก็มี
ที่ว่าเกิดจากผลของกรรมชั่วนั้น หมายถึงทำกรรมนั้นแล้ว เกิดเป็นผีเผดโดยตรง... ซึ่งมีบาปกรรมหลายอย่าง หลายประเด็น จนแทบนับไม่ถ้วน สามารถทำให้ผู้ทำ กลายเป็นผีเผดได้ เช่น
ด่าพ่อแม่, ทุบตีพ่อแม่
ยักยอกทรัพย์
กินของวัด, กินของสงฆ์
ฯลฯ


ที่ว่าเกิดจากผลของกรรมชั่วมากนั้น หมายถึงทำกรรมนั้นแล้ว ไปตกนรกก่อน แต่ผลกรรมนั้นยังไม่หมด ยังเหลือเศษอีก ก็มาเกิดเป็นผีเผด รับกรรมต่อ (หมดกรรมจากเปรต ก็อาจไปรับเศษกรรมเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไปรับเศษกรรมในมนุษย์ต่อ) ... ซึ่งมีบาปกรรมหลายอย่าง หลายประเด็น จนแทบนับไม่ถ้วน สามารถทำให้ผู้ทำ รับเศษกรรมกลายเป็นผีเผดได้ เช่น
ปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์
ฉ้อฉล โกงกิน
ทรมานสัตว์ เช่น ชนไก่ เป็นต้น
ด่าพ่อแม่, ทุบตีพ่อแม่
ยักยอกทรัพย์
กินของวัด, กินของสงฆ์
ฯลฯ

     หากจะว่าถึงมูลกิเลส ที่ทำให้เป็นเผด แล้ว ก็คือ กิเลสที่เรียกว่า โลภะ หรือ ความละโมบโลภมาก นั่นเอง เมื่อมีกิเลสตัวนี้เจือในบาปกรรมใดๆ ก็ตาม ความเป็นเปรต ก็จะเจืออยู่ในผลกรรมนั้นๆ

     โดยปกติแล้ว ผีเผดเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเปรตวิสัย หรือแดนเปรต ซึ่งอยู่คนละมิติกับแดนมนุษย์แต่ก็อยู่ในโลกใบเดียวกันนี้ ซึ่งอาจจะมีบางครั้ง ณ จุดเวลาหนึ่ง สถานที่หนึ่ง พอดีว่าความถี่มันกลืนกันพอดี หรืออาจเรียกมิติเปิดก็ได้ ก็อาจทำให้คนเรามองเห็นผีเผดได้

     แต่ในบางกรณี ผีเผดอาจใช้อำนาจจิตตน ปรากฏกายให้คนเห็น ก็ได้ ว่ากันว่า หากผีเผด ปรากฏกายให้เห็น แสดงว่า เขาต้องการมาขอส่วนบุญ ผู้พบเห็นควรทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเจาะจงเปรตตนนั้น

     ผีเผด เท่าที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราว โดยมากจะพบเห็นตามบริเวณวัด อาจเป็นเพราะว่าวัดเป็นสถานที่ที่ผีเผดจะหาอาหารได้ง่ายก็เป็นได้

    ความจริงแล้ว ผีเผด จะพยายายามไปในทุกๆ ที่ ที่หวังว่าจะได้อาหาร หวังว่าจะได้ส่วนบุญ หากพวกเขาทราบข่าวว่า มีทำบุญที่ไหน มีคนจะอุทิศส่วนบุญให้เปรตที่ไหน พวกเขาจะรีบวิ่งไปรอคอยยื้อแย่งอาหารหรือส่วนบุญ  พวกผีเผด จะหูไว ตาไวมาก หมายถึงว่า ได้ข่าวเร็วมาก พอได้ข่าวปุ๊บ ก็รีบไปเลย จะได้ไม่ได้ อีกเรื่องหนึ่ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 539 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  12 ก.ค. 2550 เวลา 12:52:00  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17) ผีเผด(ต่อ)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีเผด มีรูปร่างมากมาย นับไม่ถ้วน ซึ่งที่มีกล่าวถึงในตำรา ก็ไม่น้อย โดยได้แบ่งออกเป็นจำพวกใหญ่ๆ ดังนี้

๑. วันตาสาเปรต
     เปรตพวกนี้มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียด มีสถานที่อยู่ไม่แน่นอน ปรากฏว่าได้เสวยทุกข์เวทนามีความอดอยากความหิวโหยเป็นกำลัง
     บางครั้งพาสังขารเซซังมาสู่แดนมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหลายขากถ่มเสลดน้ำลายออกมา เปรตเหล่านี้ต่างก็พากันดีเนื้อดีใจ รีบตรงไปก้มหน้าลงดูดเอาโอชะแห่งเสลดน้ำลายของมนุษย์เหล่านั้น ได้กินเป็นอาหารหน่อยหนึ่ง แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม มันต่างพากันเที่ยวเดินโซซัดโซเซเสวยทุกขเวทนาโดยการเสวงหาเสลดน้ำลายกินเป็นอาหารอยู่อย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๒. กุณปขาทาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก มีสถานที่อยู่อันแน่นอนมิได้อีกเช่นกัน บางวันก็เที่ยวเพ่นพ่านเข้ามาถึงแดนมนุษย์เที่ยวซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหาร
     ครั้นเห็นซากอสุภะของมนุษย์ของสัตว์ที่กระทำกาลกิริยาแล้ว และกำลังเปื่อยพังเน่าเหม็นอย่างร้ายกาจเหลือหลาย เขาเหล่านั้นต่างพากันดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปก้มลงดูดโอชะอันเน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้นกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณ ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๓. คูถขาทาเปรต
     เปรตประเภทนี้รูปร่างน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบน่าอิดสะเอียนเป็นที่สุด เมื่อเที่ยวสะเปะสะปะมาถึงแดนมนุษย์ในบางครั้งแล้ว ครั้นเห็นมูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้ ก็พากันดีเนื้อดีใจ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นคลุ้งไป เพราะถ่ายไว้หลายวันหมักหมมไว้นานเป็นกองโตใหญ่ ก็ยิ่งชอบใจวิ่งรี่เข้าไปกองคูถมีกิริยาดุจสุนัขโซเห็นกองคูถกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีคูถมูตรเป็นอาหารอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้
     เปรตกินของไม่สะอาดทั้ง ๓ จำพวก ซึ่งได้แก่วันตาสาเปรต เปรตกินเสลดน้ำลายของมนุษย์ ๑ กุณปขาทาเปรต เปรตกินซากอสุภะที่มีกลิ่นเน่าเหม็น ๑ คูถขาทาเปรต เปรตกินมูตรคูถที่มีกลิ่นเหม็นร้ายแรง ๑ ดังกล่าวมาแล้วนี้ บางทีท่านก็เรียกว่าเป็น "ปีศาจ" เพราะมีความหิวโหยเป็นกำลัง และเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่สะอาดทั้งบริโภคของไม่สะอาดอยู่เป็นเนืองนิตย์ โดยปกติเป็นอทิสมานกาย คือมีกายไม่ปรากฏในสามัญจักษุของมนุษย์ทั้งหลาย นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

๔. อัคคิชาลมุขาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซสกปรกนักหนาที่ได้รับการตั้งชื่อว่าอัคคิชาลมุขาเปรต ก็เพราะเหตุที่เขาเหล่านั้นถูกอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้มีเปลวไฟแลบออกมาจากปาก ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
     เปรตถูกไฟไหม้ปากและลิ้น ได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสบร้อนอย่างแสนสาหัส ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องลั่นไปในเปรตวิสัย มันวิ่งร้องครางไปไกลตั้งร้อยโยชน์พันโยชน์ ไฟเปรตเวรกรรมนั้นก็หาดับไม่ มิหนำซ้ำไฟจัญไรกลับทวีความร้อนแรงเผาปากและลิ้นให้ได้รับความปวดร้าวหนักเข้าไปอีก
     ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีเปลวไฟเผาลนปาก และวิ่งร้องลั่นไปในแดนเปรตอย่างเพ่นพ่านอยู่เช่นนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนได้ทำไว้

๕. สูจิมุขาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีรูปร่างแปลกพิกล ท้องใหญ่ คอยาว ปากเล็กเท่ารูเข็ม ได้อาหารตามวิสัยเปรตแล้ว กว่าจะบริโภคได้แต่ละมื้อแต่ละครั้งนั้นยากนักหนา ไม่พออิ่มไม่พออยาก เพราะเหตุที่ตนมีปากเล็กเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้โดยง่ายเลย
     ต้องเสวยทุกขเวทนาได้รับความลำบากเหลือหลาย มีรูปกายผอมโซและดำเกรียม แลดูน่าเกลียดน่าชังสุดประมาณ ต้องเป็นเปรตหิวโหยเพราะอดอยากอาหารอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๖. ตัญหิกาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซเช่นเดียวกับเปรตประเภทอื่น เพราะความอดอยากโดยมาก ที่ได้ชื่อว่าตัญหิกาเปรตก็เพราะเหตุที่มีความอยากข้าวอยากน้ำเป็นกำลัง บางครั้งเดินตระเวรท่องเที่ยวเพื่อเสาะแสวงหาอาหารเรื่อยไป จนมาถึงแดนมนุษย์โลกเรานี้
     คราใดเหลือบสายตาไปแลเห็นสระ บ่อ บึง ห้วย หนองน้ำ และนทีก็ดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหมายจะดื่มกินให้สมอยาก แต่ครั้นพอวิ่งไปถึง น้ำในบ่อบึงและนทีเป็นต้นนั้น ก็พลันกลับกลายเป็นสิ่งอื่นมิใช่น้ำไปเสีย ทั้งนี้ก็โดยอำนาจอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้เป็นไป
     เขาพลาดหวังไปดังนี้ ก็มีความเสียอกเสียใจเป็นอันมาก ต้องทนทุกขเวทนาเสวยกรรมได้รับความอดอยากอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลานานเป็นหมื่นเป็นแสนปี เขาไม่เคยได้ลิ้มรสแห่ง “ข้าว” “น้ำ” เลย ต้องเปล่าเปลี่ยวเร่ร่อนพเนจรไปด้วยความอดอยากอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๗. สนิชฌามกาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีรูปร่างสัณฐานแปลกกว่าเปรตประเภทอื่น โดยมีฟันขาว มีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปาก ผมเผ้ายาวพะรุงพะรัง ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากข้างล่าง   แลดูแสนจะทุเรศนัยน์ตาหนักหนา การที่พวกเขาได้ชื่อว่าสนิชฌามกาเปรต ก็เพราะเหตุว่าพวกเขามีสัณฐานและลักษณะการประดุจต้นตาลหรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชะลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว
     เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น ตีนและมือเป็นง่อยจะเคลื่อนไหวไปมามิได้ ยืนร้องไห้ร้องครวญครางเพราะความอดอยากหิวโหยอาหาร ต้องยืนทื่อทรมานอยู่กับที่โดยไม่มีอาหารจะบริโภค อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน นับจำนวนวันเดือนปีไม่ถ้วนไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๘. สัตถังคาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีสรีระร่างใหญ่โต มีเล็บตีนและเล็บมือยาวคม ความคมแห่งเล็บตีนเล็บมือของเขานั้น เปรียบประดุจความคมแห่งมีดและดาบที่ลับไว้อย่างดี เล็บตีนและเล็บมือของเขานั้นมีสัณฐานงอเหมือนขอเหมือนเบ็ด
     เปรตประเภทนี้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้เล็บตีนเล็บมืออันแปลกพิกล ข่วนร่างของตนเองให้ขาดวิ่นเป็นเเผลยับกระจุยกระจาย มีเลือดไหลออกมานองเนือง แล้วก็ดื่มกินซึ่งเลือดเนื้อของตนเองนั้นแลเป็นอาหาร
     พร้อมกันนั้นก็ร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวดต้องเสวยทุกขเวทนา เป็นเปรตมีเล็บมืออันคมกล้าข่วนตะกุยควักเอาเนื้อเเห่งตนออกมากินเป็นอาหาร พร้อมกับร้องลั่นเอ็ดตะโรอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๙. ปัพพตังคาเปรต
     เปรตประเภทนี้มีร่างกายโตใหญ่เหมือนบรรพตภูเขาและได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าแปลกประหลาด คือ ในเพลาราตรี ทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกไฟไหม้ มีร่างกายสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟปรากฏแก่บุคคลผู้แลดูในที่ไกลประดุจภูเขาใหญ่ถูกไฟไหม้ลุกแดงฉะนั้น ในเพลากลางวัน ปรากฏเป็นควันระอุล้อมอยู่รอบกาย เขาต้องถูกไฟเปรตเผาครอกนอนกลิ้งไปกลิ้งมาดุจดงขอนไม้อันกลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่าฉะนั้น
    เขาได้เสวยทุกขเวทนาดังจะขาดใจตาย เหลือที่จะทนได้แล้ว ก็ร้องครางร้องครวญปริเทวนาการ มันเป็นเสียงร้องครวญครางขนาดใหญ่โกลาหลทั้งนี้ก็เพราะว่าเปรตประเภทนี้มีหลายตนหลายเปรต ต้องเสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๐. อชครังคาทิเปรต
     เปรตประเภทนี้เป็นเปรตเบ็ดเตล็ด เพราะมีร่างกายแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด โดยมีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในเมืองมนุษย์โลกนี้ เช่น บางเปรตมีรูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย เหี้ย หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และบางรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ขี้เรื้อน มีรูปร่างแตกต่างกันไป เดินเพ่นพ่านขวักไขว่ปะปนกันในแดนเปรต
     แม้จะมีรูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไป แต่ก็ถูกไฟเปรตเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปรตเหมือนกัน ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น ต้องเสวยผลวิบากแห่งอกุศลกรรมเป็นเปรต มีรูปร่างแสนทุเรศได้รับทุกขเวทนาถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๑. มหิทธิกาเปรต
     เปรตประเภทนี้ เป็นเปรตมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ และทรงไว้ซึ่งรูปอันงดงามดุจเทพยดาทั้งหลาย แต่ว่าเป็นผู้ห่างไกลจากความสุขสบาย เพราะให้รู้สึกหิวโหยอาหาร เต็มไปด้วยความอดอยากเป็นยิ่งนัก ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็ตระเวนท่องเที่ยวจนถึงเมืองมนุษย์โลกเรานี้
     ครั้นประสบโชคดีได้พบเห็นของที่ไม่สะอาดคือสิ่งโสโครกต่าง ๆ เช่น มูตรคูถในเวจกุฏิที่มนุษย์พากันไปถ่ายหมักหมมไว้เป็นเวลานานแรมปี ก็ตรงรี่วิ่งเข้าไปดูดเอาโอชะอันชั่วร้ายเน่าเหม็นนั้นกินเป็นอาหาร ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

๑๒. เวมานิกเปรต
     เปรตประเภทนี้ดูว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเปรตทุกประเภท เพราะเหตุว่ามีสมบัติคือวิมานเป็นของทิพย์ บางครั้งได้เสวยความสุขประดุจดังว่าตนนั้นหรือคือเทพยดา
     ครั้นปรารถนาจะเอาอะไรก็ได้ดังใจ และมีเปรตบริวารรับใช้มากมายอยู่หลายเปรต ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่แล้วเมื่อถึงกาลกำหนดที่จะต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปรต อกุศลกรรมวิบากก็เข้าทำหน้าที่บันดาลให้กลายเพศเป็นเปรตมีรูปร่างแสนจะน่าทุเรศและน่าเกลียดน่าชัง บางครั้งได้เสวยทุกขเวทนายิ่งกว่าเปรตธรรมดาเสียอีก ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีสภาพเป็นกึ่งเปรตกึ่งเทวดา ผลัดเปลี่ยนไปตามกาละอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้


(เนื้อหาด้านบน ได้มาจาก http://www.mindcyber.com/content/data/4/0013-1.html   แต่ข้าพเจ้าได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขบางจุดให้ถูกต้องตามที่เห็นสมควร)

๑๓. มนุสสเปรต
     มนุสสเปรต คือเปรตคนเป็น หรือที่เรียกว่า มนุสฺสเปโต หมายถึงผู้ที่มีรูปกายเป็นคนอย่างเราๆ แต่ภายในใจเป็นเปรต ยักยอก ฉ้อฉล โกงกิน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 566 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  12 ก.ค. 2550 เวลา 12:59:27  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  บักต๊อก    คห.ที่18)  
  เซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 22 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 2,153
ให้สาธุการ : 2,845
รับสาธุการ : 1,918,920
รวม: 1,921,765 สาธุการ

 
นี่ละเนอะเพิ้นว่า  เปรตเดินดิน

แม่นแท้ๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 28 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  17 ก.ค. 2550 เวลา 15:52:44  
      offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่19) ผีก็องก็อย  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
     สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก โดยเฉพาะหน้าหนาว ฤดูเกี่ยวข้าว ตอนเช้าตรู่ เมื่อเดินไปนาตามทางเกวียน จะพบเห็นรอยเท้าเล็กๆ ยาวประมาณหนึ่งนิ้ว ความกว้างได้สัดส่วนพอเหมาะกับความยาว ซึ่งรอยเท้านี้ มีรูปร่างเหมือนรอยเท้าคนทุกประการ ต่างกันเพียงขนาดเล็กกว่ามาก

     รอยเท่านี้ จะปรากฏเห็นชัดเจนในบริเวณที่เป็นดินทราย  สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่งคือ ดูจากแนวเส้นทางเดินของรอยเท้าแล้ว เหมือนกับว่าเจ้าของรอยเท้า มีขาข้างเดียว หรือไม่ก็ใช้ขาข้างเดียวเดิน หรือหากเดินสองขาก็คงเดินตวัดเท้าเหมือนนางแบบ

     เมื่อถามคนเฒ่าคนแก่ ท่านก็บอกว่า นั่นเป็นรอยเท้าผีก็องก็อย

     ผีก็องก็อย คืออะไร

     เรื่องราวเกี่ยวกับผีก็องก็อย ยังคงเร้นลับ เพราะไม่มีบันทึกจากผู้พบเห็นจริงเหลือไว้ให้ศึกษา เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก ข้าพเจ้าเองก็เคยเห็นเพียงรอยเท้าเท่านั้น

     คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า ผีก็องก็อย ความจริงไม่ใช่ภูตผีวิญญาณ แต่เป็นสัตว์ตัวเล็กๆชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายค่าง มีเท้าและอุ้งเท้าคล้ายๆ เท้าคน มีมือสองมือเหมือนค่าง มีขาสองขา

     ผีก็องก็อย ตัวเล็กๆ หาตัวยาก แม้จะพบรอยเท้า และเดินตามรอยเท้าไป ก็อาจจะไม่สามารถหาตัวผีก็องกอยพบได้ เหมือนกับว่ามันไปมาไร้ร่อยรอย หายตัวได้ จึงเรียกว่า ผี ทั้งๆ ที่ความจริง มันเป็นสัตว์


     บางคนเล่าเสริมว่า หากพบรอยเท้าผีก็องก็อย แล้วคิดจะติดตาม จะต้องเดินย้อนรอยเท้ามัน เพราะผีก็องก็อย มันจะเดินถอยหลัง คือมันระแวงว่าจะมีใครคอยติดตามมัน มันก็เลยมองดูทางที่มันมาแล้วเป็นหลัก ส่วนทางที่กำลังจะไป มันจะหันมองเป็นครั้งคราวเท่านั้น ดังนั้นเอง ผู้ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อพบรอยเท้าผีก็องก็อย และตามรอยเท้าไป ยิ่งเดินตาม ก็จะยิ่งไกลห่างจากตัวผีก็องก็อย มากขึ้นเท่านั้น

     ผีก็องก็อย ไม่ใช่ผีดุร้าย อาหารของมันคือของสดคาว เช่นกบเขียด ปลา เป็นต้น ชอบออกหากินตอนกลางคืน ว่ากันว่า มันชอบแอบไปขโมยกินปลาตามไซ ปลาในไหดักปลาของชาวนา

     ปัจจุบัน แถวบ้านข้าพเจ้าเอง ก็ไม่พบเห็นรอยเท้าผีก็องก็อยแล้ว ไม่รู้ว่าที่อื่นเช่นตามป่าเขา จะยังมีผีก็องก็อยอยู่หรือไม่ หรือว่าเป็นสัตว์สูญพันธุ์ไปแล้ว ก็ไม่รู้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 561 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  20 ก.ค. 2550 เวลา 12:53:51  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ปราร้านอกไห   ตอบเต็มรูปแบบ || Quick Reply  
  หน้า: 1 2 3 4 5 6

   

Creative Commons License
ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ --- วิถีชีวิตชาวอีสาน (ปลาร้านอกไห --- อีสานจุฬาฯ)