ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2567:: อ่านผญา 
โพศรีสร้อย ใบดกนกแก่น หมากหากหวานจ้อยจ้อย กาเอี้ยงจั่งสงวน แปลว่า ต้นโพ ใบดก นกก็มาอาศัย ลูกหวานอร่อย นกก็มากิน หมายถึง หากมีดีทั้งภายนอกและภายใน ก็มีแต่คนอยากคบหา


  ล็อกอินเข้าระบบ  
ชื่อ ::
รหัสผ่าน::
*จำสถานะ
 
  วิถีชีวิตชาวอีสาน  
       ดินแดนอีสาน มีวัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะตน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ท่ามกลางความแร้นแค้น ชาวอีสาน มีความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตอยู่เช่นไร สร้างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีเช่นไรขึ้นมา

     แต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ อาจมีวิถีชิวิต ความเป็นอยู่ ที่แตกต่าง ตามลักษณะพื้นที่ หรือธรรมชาิติที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด ล้วนคือวิถีชิวิตแห่งชาวอีสาน

     เชิญทุกๆท่าน ร่วมเขียนบทความ เรื่องสั้น เล่าวิถีชิวิต ความเป็นอยู่แห่งชาวอีสาน ได้แล้วครับ...



กระทู้ธรรมดา... มีข้อความโพสต์ใหม่

  หน้า: 1 2 3 4 5 6 ตอบกระทู้  
  โพสต์โดย  
ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ (คลิกอ่านบทความต่อเนื่อง)
 
  มังกรเดียวดาย  
  อ้างอิงจังหวัด : ขอนแก่น
 
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
บทความเกี่ยวกับผีแห่งอีสานนี้ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นจากความทรงจำ มิใช่จากความรู้แจ้งเห็นจริงทางสัจจะ ดังนั้น ขอให้ผู้อ่าน อ่านเพียงเพื่อความบันเทิง นะครับ


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผี

“ผี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า คือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้

จากความหมายนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่ง ผี เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. ผีฟ้า ในที่นี้ ข้าพเจ้าหมายรวมถึง เทวดาทุกจำพวก ทั้งภูมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั้งหลาย
2. ผีคนตาย ในที่นี้หมายถึง ผีที่เราเข้าใจกันทั่วไป หรือมักเรียกว่าวิญญาณคนที่ตายไปแล้วนั่นเอง เช่นผีเปรต ผีเร่ร่อน ภูตผี เป็นต้น
3. ผีคนเป็น ในที่นี้ หมายถึง ผีที่เป็นตัวอาคม มนต์ดำ ซึ่งสิงร่าง สิงจิตเจ้าของอยู่ เช่น ผีปอบ ผีเป้า ผีโพง เสือสมิง เป็นต้น
4.ผีบังบด ในที่นี้ หมายถึง มนุษย์ที่อยู่คนละมิติกับเรา อยู่โลกใบเดียวกัน แต่ต่างมิติ


“ผี” ตามความเข้าใจโดยทั่วๆ ไป คือ วิญญาณ ของคนและสัตว์ที่ตายไปจากโลกนี้ และคนธรรมดาไม่สามารถควบคุมการมองเห็นได้ สรุปง่ายๆ คือ วิญญาณทั้งหลาย เราเรียกว่าผี  

คำว่า “วิญญาณ” ศัพท์ทางพุทธศาสนา จริงๆ หมายถึง การรู้ หรือการรับสื่อ หรือการรับสัญญาณใดๆแล้วรู้  เช่น เมื่อประสาทตารับสื่อคือแสง เกิดการรู้ แต่ศัพท์บัญญัติ เราเรียกว่า “เห็น”  ซึ่ง “เห็น” นี้แหละ คือวิญญาณ

ในประสาทสัมผัสอื่นๆ ก็นัยเดียวกันนี้  ซึ่งตัวที่รับรู้นั้น ก็คือ จิต ดังนั้น หากไม่มีจิต ก็ไม่มีวิญญาณ (แต่มีจิต อาจจะไม่มีวิญญาณ ก็ได้) วิญญาณจึงไปด้วยกันกับจิต

จิต ไม่มีรูปร่าง แต่จิตอาศัยในรูปร่างได้ คนธรรมดา มองไม่เห็นจิต แต่ก็สามารถมองเห็นรูปร่างที่จิตอาศัยอยู่ได้ หากรูปร่างนั้น มีความหยาบหรืออยู่ในมิติเดียวกันกับประสาทตา

คำว่า “สัมภเวสี” หมายถึง สภาวะที่จิตกำลังเสาะแสวงหาสมภพ หรือกำลังหาที่เกิดอยู่ ซึ่งสภาวะนี้ จิตต้องการรูปร่าง จิตอาจจะสร้างรูปร่างขึ้นโดยอาศัยสัญญาหรือความทรงจำสุดท้ายก่อนจุติ(ก่อนตาย) แล้วจิตก็เข้าอาศัยร่างนั้น อันเป็นร่างชั่วคราว พูดง่ายๆ สัมภเวสี ก็คือสภาวะจิตที่ครองร่างชั่วคราว นั่นเอง เรามักเรียกว่า ผีเร่ร่อน

“สมภพ” หมายถึงแหล่งซึ่งเป็นที่กำเนิดร่างใหม่ มี 4 แหล่ง คือ ครรภ์, ไข่,  xเซลล์(ทางวิทยาศาสตร์มีชื่อหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้), และ โอปปาติกะ(เปลี่ยนร่างแล้วโตเลย ไม่ต้องผ่านการเป็นตัวอ่อน เช่น สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม เป็นต้น)

“จุติ” แปลว่าเคลื่อน หมายถึงการที่จิตเคลื่อนออกจากร่างเก่า ไปสถิตยังร่างใหม่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การที่จิตเปลี่ยนร่างใหม่ นั่นเอง ซึ่ง เรานิยมเรียกว่า ตาย (การกลายร่าง เช่น จากไข่เป็นไก่ จากหนอน เป็นแมลงวัน เป็นต้น เป็นความเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่าชรา ไม่ใช่การจุติ ไม่เรียกว่า จุติ)

ร่างเก่า หากเป็นร่างในสมภพ โอปปาติกะ จะสลายหายวับไป ไม่เหลือซาก
ร่างเก่า หากเป็นร่างในสมภพอื่นๆ ที่เหลือ จะเหลือซาก ซึ่งเรานิยมเรียกว่า ศพ หรือซากศพ


“ภูต” แปลว่า ผู้เกิดแล้ว หรือผู้มี(ร่าง)แล้วหมายถึง จิตที่ได้สมภพแล้ว แต่ในความหมายทั่วไปที่เราใช้กัน หมายถึงเฉพาะจิตที่ได้สมภพเป็นโอปปาติกะ  เช่น เป็นเปรต เป็นรุกขเทวดา และเราก็เรียกภูต ว่าผี หรือนำมาพูดติดกันว่าภูตผี


สรุปได้ว่า ความจริงแล้ว ผี มีโครงสร้างไม่แตกต่างจากคนปกติ คือมีจิต มีร่างให้จิตอาศัย เช่นเดียวกัน แต่จุดที่แตกต่างกันคือ ความหยาบ-ละเอียดแห่งอณูที่หลอมรวมเป็นร่าง ซึ่งร่างที่เกิดจากจิตสร้างขึ้น จะสัมพันธ์กับสภาวะหยาบ-ละเอียดของจิต ณ ขณะสร้างร่าง

หากพูดในแง่วิทยาศาสตร์ ก็สามารถอธิบายได้ว่า

สภาวะจิตที่หยาบกว่า จะมีความถี่คลื่นจิตที่น้อยกว่า มีพลังงานน้อยกว่า และความเร็วในการหมุนวน น้อยกว่า

ในทางกลับกัน สภาวะจิตที่ละเอียดกว่า จะมีความถี่คลื่นจิตที่มากกว่า มีพลังงานมากกว่า และความเร็วในการหมุนวน มากกว่า


จิตที่อยู่ในสภาวะหนึ่ง จะอยู่ในย่านความถี่หนึ่ง จิตอยู่ในย่านความถี่ใด หากสร้างร่าง ก็จะสร้างร่างที่มีความละเอียดในย่านความถี่นั้นเช่นกัน

ร่างที่อยู่ในย่านความถี่เดียวกัน หากอยู่ในมิติเวลาเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน จะสัมผัสชนกัน

ร่างที่อยู่คนละย่านความถี่ แม้อยู่ในมิติเวลาเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน ก็ไม่ชนสัมผัสกัน ไม่กระทบกระทั่งกัน นั่นคือ ซ้อนทับกันได้

ร่างที่อยู่คนละย่านความถี่กัน เรานิยมเรียกว่า “อยู่คนละมิติ” หรือ “อยู่อีกมิติหนึ่ง”


เก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้ ในอีกมิติหนึ่ง อาจมีร่างกำลังนั่งหวีผมอยู่
จอคอมพิวเตอร์ที่คุณมองอยู่ อาจจะเป็นกระจกเงาในอีกมิติหนึ่ง ก็ได้ นะคร้าบ....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 577 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 เม.ย. 2550 เวลา 12:49:58  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  Mr. Por    คห.ที่1)  
  ยอดปรมาจารย์

ภูมิลำเนา : จันทบุรี
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 764
ให้สาธุการ : 360
รับสาธุการ : 984,340
รวม: 984,700 สาธุการ

 
ชอบเรื่องแบบนี้มาก อ้ายมังกรเดียวดายหามาเ่ล่าให้ฟังอีกนะครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 เม.ย. 2550 เวลา 13:40:52  
  www  MySite  offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
มีเตรียมไว้เยอะอยู่พอสมควร (เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว)

แต่จะค่อยๆ ทยอยนำมาโพสต์เล่าให้ฟัง ไปเรื่อยๆ โพสต์ทีเดียว เดี๋ยวไม่หนุก

ก็ต้องคอยติดตามอ่านเอาเด้อ


ปล. ระวังรูป Mr.Por จะแลบลิ้นออกมา นะคร้าบ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 459 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 เม.ย. 2550 เวลา 14:25:06  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  หนุ่มลุ่มน้ำมูน    คห.ที่3)  
  อนุเซียน

ภูมิลำเนา : อุบลราชธานี
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 05 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 1,723
ให้สาธุการ : 80
รับสาธุการ : 3,198,470
รวม: 3,198,550 สาธุการ

 
เป็นตาย่านเนาะ จักหน่อยสิเฮ็ดหยังกะสิบ่กล้าได๋บัดนี่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 29 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 เม.ย. 2550 เวลา 15:51:26  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่4)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
เป็นตาย่านเนาะ จักหน่อยสิเฮ็ดหยังกะสิบ่กล้าได๋บัดนี่


ไม่เป็นตาย่านดอกเด้อ เพราะไม่ได้เล่าแบบให้ตื่นเต้นน่ากลัว แต่เล่าในเชิงวิชาการ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 439 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  06 เม.ย. 2550 เวลา 20:55:38  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่5) ปู่สังกะสาย่าสังกะสี  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามตำนานและความเชื่อของชาวอีสานสมัยก่อน คือผีบรรพบุรุษผู้สร้างโลก ให้กำเนิดลูกหลานมนุษย์ทั้งหลายขึ้นมา เชื่อว่า ตนสืบเชื้อสายมาจากต้นบรรพบุรุษนี้ จึงเรียกว่าปู่ – ย่า ซึ่งความจริง ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามความเชื่อแล้ว จัดเป็นเทพ ไม่ใช่ผี แต่เมื่อเรามองไม่เห็น และน่าจะตายไปนานแล้ว ก็เลยเรียกว่าผี หรือ สัง

หมายเหตุ : เมื่อเราจะพูดถึง คนที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ฟังใจว่าตายแล้ว และเป็นการให้เกียรติด้วย ก็จะมีคำนำหน้าชื่อผู้ตาย คือ “สัง” หรือ “สาง” เช่น “สังพ่อใหญ่ลี” “สังบักลา” “สังอีลุน” เป็นต้น

นับแต่เด็ก ก็มักจะได้ยินนิทานดึกดำบรรพ์เรื่องปู่สังกะสา ย่าสังกะสี นี้ เล่าสืบทอดจากคนแก่สู่เด็ก รุ่นแล้ว รุ่นเล่า


" ...เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ ย้อนหลังกลับไปนานโข ชนิดที่ว่านับตัวเลขไม่ได้ ครั้งนั้น สรรพสิ่งว่างเปล่า ไม่มีโลก ไม่มีดวงดาว ไม่มีวัตถุที่เป็นรูปร่าง มีแสงก็ไม่เห็นว่าเป็นแสง ธาตุ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจาย ไม่แสดงความเป็นธาตุของตนได้อย่างชัดเจน ความว่างเปล่า หมุนวนนานตราบนาน

ต่อมา กลุ่มธาตุต่างๆ เริ่มถูกหมุนวนเวียน ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นธาตุ๔ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เตโชธาตุหลอมรวมกัน ทำให้ห้วงอวกาศ มีจุดที่เย็น ร้อน ต่างกัน จุดที่เย็นจะผลักดัน จุดที่ร้อนจะดึงดูด
วาโยธาตุหลอมรวมกัน และเคลื่อนที่ จากจุดที่เย็นกว่า เข้าหาจุดที่ร้อนกว่า กลายเป็นลม
อาโปธาตุ รวมกันได้มากขึ้น กลายเป็นไอเมฆหมอก ลอยเคว้งคว้าง อยู่ในอากาศ เคลื่อนที่ไปตามแรงลม

ตราบนานเท่านาน จนไอเมฆหมอก หลอมรวมรับเอาสิ่งที่เหมือนตน สะสมมากขึ้น ในที่สุดกลายเป็นน้ำ เป็นห้วงน้ำใหญ่ในอากาศ เสมือนเป็นมหาสมุทรในอากาศ    มหาสมุทรนั้น ลอยไปมาอยู่ในอากาศ นานตราบนาน

ปฐวีธาตุ อันเกิดจากเศษซากส่วนเหลือที่ธาตุอื่นๆ สลัดทิ้ง มีกระจัดกระจาย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นวัตถุที่มีความแข็งกระด้าง ก้อนเล็กๆ และเมื่อรวมกันก้อนโตขึ้นอีก วัตถุนั้นได้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น

วัตถุทั้งสองส่วน ได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ห่างกันออกไป เคว้งคว้าง พร้อมๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น แผ่นดิน หรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทร แผ่นดินทั้งสองผืน ก็ค่อยๆ สะสมรูปร่างให้โตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้น ด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่างๆ ได้ก่อกำเนิด พืชพันธุ์ เกิดต้นไม้
และแล้ว ที่แผ่นดินผืนหนึ่ง มนุษย์คนแรก ได้ถือกำเนิดจาก “ขี้ตมปวก” หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ ที่เป็นที่สะสมของมวลสารมากมาย มีเพศเป็นชาย ชื่อว่า ไกยสา ซึ่งต่อมา เราเรียกว่า สังกะสา

และ ที่แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ก็เกิดมนุษย์เพศหญิง จากขี้ตมปวก เช่นเดียวกัน ชื่อว่า ไกยสี ซึ่งต่อมาเราเรียกว่า สังกะสี

กาลต่อมา ลมได้พัดพาให้แผ่นดินสองผืน ลอยมาพบบรรจบกัน ทำให้สังไกยสา และสังไกยสี ได้พบกัน พูดคุยกัน ต่อมา ได้สังวาสกัน และให้กำเนิดมนุษย์ลูกหลาน ชายหญิงมากมาย ลูกหลานปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็จับคู่สมสู่กัน มนุษย์ทั้งหลาย จึงเกิดมีมากมายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และด้วยกิเลสตัณหา ที่มีพอกพูนขึ้น ทำให้ ต่อมา มีโรคเบียดเบียนกาย มีชรา และมีมรณะ

แม้ปู่สังกะสาและย่าสังกะสีเอง ก็มรณะ เช่นกัน....
"

 
 
สาธุการบทความนี้ : 491 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  11 เม.ย. 2550 เวลา 08:44:28  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่6) ผีปู่ตา(ดอนตาปู่)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
ผีปู่ตา เป็นผีที่ชาวบ้านให้ความเคารพ นับถือ บูชา จนเรียกว่า ปู่ ตา เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของตน ศาลสำหรับผีปู่ตา มักปลูกไว้ในที่ดอน จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอนปู่ตา หรือ ดอนตาปู่

บางแห่ง อาจเป็นผีสองสามีภรรยา ชาวบ้านก็อาจเรียกว่า ผีตายาย หรือ ผีปู่ย่า ก็มี

ผีปู่ตา จัดเป็นผีประเภทบรรพบุรุษ ผู้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยอยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆมาเก่าก่อนนมนาน ครั้นตายไปแล้ว ด้วยความอาลัยรักในสถานที่นั้นๆ ดวงวิญญาณจึงยังคงสิงสถิต วนเวียน คอยปกปัก ดูแล คุ้มครอง รักษา สถานที่นั้นๆ อยู่

ผีปู่ตา เมื่อพูดตามลักษณะทางภพชาติ ก็มีทั้งที่เป็นภูตผีจริงๆ(เป็นผีประเภทอสุรกาย) และที่เป็นเทวดา(รุกขเทวดาก็มี ภูมเทวดาก็มี)

ผีปู่ตา เป็นผีระดับสูง คือมีอำนาจมาก มีบารมีมากเหนือภูตผีและสัมภเวสีทั่วไปในแถบนั้นบริเวณนั้น
ผีปู่ตา มีทั้งที่มีบริวารมาก และที่มีบริวารน้อย หรืออยู่เพียงลำพังก็มี


สมัยก่อน หมู่บ้านตามภาคอีสานแทบทุกหมู่บ้าน เมื่อแรกสร้างหมู่บ้าน เป็นความเชื่อที่ว่า ณ สถานที่นั้น  อาจมีคนเคยอยู่อาศัยมาก่อน อาจมีเจ้าที่หวงแหนรักษาไว้ เมื่อจะตั้งหมู่บ้าน จึงต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งขออนุญาต และก็ต้องสร้างที่พักให้เจ้าที่ด้วย เราเรียกที่พักนี้ว่า ศาล ซึ่งศาลเจ้าที่ แต่ละแห่ง ก็แตกต่างกันแล้วแต่ผู้สร้าง และจุดที่สร้างศาลเจ้าที่ โดยมาก ก็จะสร้างไว้นอกหมู่บ้าน ในที่ที่เป็นป่าละเมาะ หรือเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง และชาวบ้าน ก็จะกำหนดขอบเขตไว้เลยว่า ขอบเขตเท่านี้ เป็นอาณาเขตของผีปู่ตา ห้ามใครก็ตามเข้าไปถากถางทำกิจส่วนตน และมอบสิ่งของทั้งหลายในอาณาเขตนั้น ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ให้เป็นทรัพย์สมบัติของผีปู่ตา(ที่ดินและทรัพย์สินส่วนที่เหลือ ขออนุญาตให้ชาวบ้านไว้ทำมาหากิน)

และนอกจากนั้น ก็ขอให้ผีปู่ตา ช่วยดูแล ปกปักรักษา คุ้มครอง หมู่บ้าน และคนในหมู่บ้านด้วย ซึ่งก็จะมีพิธีกราบไหว้ ขอขมาผีปู่ตา ปีละครั้ง ในช่วงประมาณเดือนหก หรืองานบุญเบิกบ้าน หรือตามที่หมู่บ้านนั้นๆกำหนด

ผีปู่ตา ช่วยคุ้มครองอะไรได้บ้าง??

อำนาจบารมี มีที่มาใหญ่ๆ อยู่สองอย่าง คือ จากบุญของตน และจากผู้อื่นอุทิศมอบให้

ผีปู่ตา เมื่อมีคนกราบไหว้บูชา ยกให้เป็นใหญ่ อำนาจบารมี จะมีเพิ่มขึ้น ยิ่งคนศรัทธามาก กราบไหว้มาก อำนาจจะยิ่งมีมากขึ้น อำนาจอันนี้เป็นอำนาจที่เกิดจากผู้อื่นมอบให้

เมื่อมีอำนาจมากขึ้น ฤทธิ์แห่งผี ก็มีมากขึ้นด้วย ทำให้ผีปู่ตาสามารถคุ้มครองรักษาหมู่บ้าน จากสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็นได้ เช่นป้องกัน ขับไล่ผีตายโหง ผีปอบ  ผีร้ายอื่นๆ รวมถึงอาถรรพ์อาคมร้ายทั้งหลาย ไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนั้น ก็ช่วยดูแลผืนป่ารวมถึงสรรพสัตว์ที่อยู่ในอาณาเขตให้ปลอดภัยจากการทำลายถางถากด้วย

มักจะเป็นเรื่องราวอยู่เสมอ เมื่อมีคนเข้าไปตัดต้นไม้ ไปยิงสัตว์ ในอาณาเขตผีปู่ตา นั่นคือ ผีปู่ตาก็จะมาสั่งสอน ผ่านการเข้าสิงใครคนใดคนหนึ่ง แล้วบอกเล่า ว่ากล่าว ตักเตือน หรือกรณีสั่งสอนหนักหน่อย ก็จะทำให้เจ็บป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ หมอธรรมดารักษาไม่หาย เป็นต้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านกลัวเกรง ไม่ค่อยมีใครกล้าตอแยกับผืนป่าอาณาเขตผีปู่ตา ปัจจุบัน จึงมักพบเห็นร่องรอยดอนปู่ตา อยู่ในหลายๆ หมู่บ้าน

ผีปู่ตา ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่หลอกหลอนคนแบบนึกสนุก ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่ทำร้ายคนแบบไร้เหตุผล ผีปู่ตา เพียงทำหน้าที่ปกป้อง ดูแล คุ้มครอง หมู่บ้านและคนในหมู่บ้าน แต่หากใครผิดกฎระเบียบ หรือทำสิ่งไม่ดีไม่งาม ผีปู่ตา ก็จะมาสั่งสอน การสั่งสอน หากเป็นคนด้วยกันเอง ก็พอทำเนา แต่หากเป็นสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นมาสั่งสอน ก็จะน่ากลัว และอาจไม่เรียกว่าถูกสั่งสอน เรียกว่าถูกผีหลอกแทน

บางแห่ง คนในหมู่บ้านทำผิดกฎระเบียบมากก็ดี ผีปู่ตาขยันดูแล คุ้มครองก็ดี ก็จะเป็นที่ล่ำลือว่า หมู่บ้านนั้นๆ ผีปู่ตาเฮี้ยนมาก สุดท้าย เมื่อคนกลัว เด็กๆ กลัวมากๆ ก็ต้องไปนิมนต์พระเกจิเก่งๆ มาปราบ มาขับไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น แบบนี้ ก็มี

ปัจจุบัน คนที่ให้ความเคารพ ยำเกรงผีปู่ตา มีน้อยลง หรือเหลือแต่คนเฒ่าคนแก่ยุคแรกเริ่มสร้างหมู่บ้านเท่านั้น ที่เคารพยำเกรง เมื่อคนเคารพยำเกรง ลดลง ไม่มีคนขอให้ดูแลคุ้มครอง อำนาจบารมีผีปู่ตา ก็ลดลงตามไปด้วย หรือเมื่อไม่มีใครขอให้ช่วยดูแล ผีปู่ตา ก็ไม่แยแสสนใจเช่นกัน สุดท้าย ต่างคนต่างอยู่ ผีก็ส่วนผี คนก็ส่วนคน คนก็ไม่ทำบุญให้ผี ผีก็ไม่ได้ดูแลคน และสุดท้าย ดอนปู่ตา อาจเป็นเพียงตำนาน เป็นเพียงเรื่องเล่าขานแห่งบรรพชน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 470 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  17 เม.ย. 2550 เวลา 08:22:13  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่7) ผีตาแฮก  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
เวลาเด็กๆพาวัวควายไปเลี้ยง หรือไปหาล่าสัตว์ ยิงกิ้งก่า เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่เด็กๆกลัวคือ ปี๊บเก่าๆ ขึ้นสนิมใบหนึ่ง แต่กระนั้นก็ตาม เด็กบางคนก็เล่นพิเรนทร์  เอาหนังสะติ๊กไปยิงปี๊บใบนั้นเล่น ก็มี

ปี๊บใบที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ มักจะพบเห็นตามหัวไร่ปลายนา โดยเฉพาะที่ซึ่งเป็นที่ดอน เช่นจอมปลวก หรือใต้ต้นไม้ เป็นต้น

เราลองมาค้นหาดูว่า ปี๊บ ใบนี้ มีที่ไปที่มาอย่างไร

ความจริงปี๊บใบนี้ มิใช่ชาวนาชาวไร่ จะเอามาวางทิ้งไว้เฉยๆ แบบไร้ความหมายหรอกครับ เขาทำไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของผีผู้ดูแลไร่นา นั่นเอง โดย นิยมเจาะรูปี๊บบน-ล่าง แล้วใช้ไม้เสียบร้อยผ่านเข้าไป ทำเป็นขาตั้ง แล้วจากนั้น ก็เอาไม้นั้นไปปักเสียบไว้ ณ ที่ที่ต้องการ แล้วก็กล่าวอัญเชิญผีผู้ดูแลไร่นา มาสิงสถิตอยู่

และความจริง ก็ไม่ใช่แค่ปี๊บ เท่านั้นหรอกครับ บางคนอาจจะสร้างเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ มุงสังกะสี ก็มี อันนี้แล้วแต่ใครจะสร้างจะทำ แต่ที่มักพบเห็นเป็นปี๊บ ก็อาจเนื่องจากว่า ปี๊บ หาได้ไม่ยากนัก และทนแดด ทนฝน กว่าจะผุพัง ก็ใช้เวลานานพอสมควร

ก็เพราะเชื่อกันว่า เป็นที่อยู่ของผี นี่แหละ เด็ก ถึงได้กลัว


ผีผู้ดูแลไร่นา ชาวอีสาน นิยมเรียกว่า ผีตาแฮก

ผีตาแฮก คือผีที่เชื่อกันว่า จะช่วยคุ้มครอง ดูแล รักษาไร่นา ให้ข้าวกล้าเจริญงอกงาม



ผีตาแฮก มีความเป็นมา ดังนี้ (เรื่องย่อ จากอรรถกถาธรรมบท)
  

อตีเต กาเล ในอดีตกาลที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง อยู่กินกันมานานพอสมควร ก็ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์ นางผู้ภรรยา เกรงว่า ตระกูลสามี จะไม่มีคนสืบสกุล จึงไปแสวงหาหญิงสาวมาหนึ่งคน เพื่อให้เป็นภรรยาคนที่สองของสามี หวังว่า ภรรยาน้อยจะตั้งครรภ์ให้สามีได้สมหวัง

ต่อมาไม่นาน ภรรยาน้อย ก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายภรรยาหลวง เกรงว่าสามีจะหลงใหลเมียน้อยคนเดียวและสุดท้ายมอบมรดกให้ลูกเมียน้อยคนเดียว ด้วยความริษยา จึงได้วางยาพิษทำลายครรภ์ของเมียน้อย เมียน้อยก็แท้งลูก

เมียน้อยตั้งครรภ์ทีไร เมียหลวงก็ทำเหมือนเดิม จนครั้งสุดท้าย เมียน้อยรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่ถึงแม้จะจับได้ว่าลูกตนที่แท้งทุกครั้งนั้น เป็นเพราะเมียหลวงหวังร้ายต้มยาให้กิน ก็ตาม ครั้งนี้ เพื่อปิดปากไม่ให้เมียน้อยบอกสามี เมียหลวง ได้ลงมือฆ่าเมียน้อยเสียด้วย

เมียน้อย ก่อนขาดใจตาย ได้ตั้งจิตอาฆาตไว้อย่างแรงกล้าว่า “เกิดชาติไหนๆ ขอให้ได้ฆ่าลูกและตัวของนังเมียหลวงนี้”

ชาติต่อมา เมียน้อยเกิดเป็นแมว เมียหลวงเกิดเป็นไก่ เมื่อไก่ออกไข่ แมวก็มากินไข่ไก่ และสุดท้าย ก็ได้กินแม่ไก่ด้วย

แม่ไก่ ก่อนขาดใจตาย ก็ตั้งจิตอาฆาตไว้ว่า “เกิดชาติไหนๆ ขอให้ได้ฆ่าลูกและตัวของแมวนี้”

ชาติต่อมา แม่ไก่เกิดเป็นเสือ แมวเกิดเป็นเนื้อ เสือก็มาจับลูกของเนื้อกิน และสุดท้ายก็กินแม่เนื้อด้วย

ผูกเวรจองเวรกันไปกันมาแบบนี้ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ชาติสุดท้ายที่ระงับเวรได้นั้น เกิดเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ยังทรงพระชนม์อยู่ โดยคนหนึ่งเกิดเป็นนางยักษ์ อีกคนหนึ่งเกิดเป็นมนุษย์

เมื่อนางมนุษย์ตั้งครรภ์ นางยักษ์ก็แปลงร่างเป็นคน มาขออุ้มลูก และพาลูกหนีไป จับกินเป็นอาหาร หลายต่อหลายครั้ง ครั้งต่อมา เมื่อนางตั้งครรภ์อีก จึงชวนสามีกลับบ้านแม่เพื่อคลอดลูกที่บ้านแม่ แต่นางก็คลอดลูกก่อน ในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อคลอดลูกแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านสามี

ระหว่างทางกลับ  ขณะที่สามีลงไปอาบน้ำในสระน้ำใกล้วัดเชตวัน นางยักษ์ก็มาถึงตรงนั้นพอดี นางมนุษย์เมื่อเห็นยักษ์มา ก็จำได้ จึงรีบอุ้มลูกวิ่งหนี นางยักษ์ก็วิ่งไล่ จนไปถึงวัดเชตวัน นางมนุษย์ก็อุ้มลูกน้อยเข้าไปในวัด วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ และวางลูกไว้ตรงหน้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสห้ามนางยักษ์ให้หยุด และแสดงธรรมเจาะจงนางทั้งสอง มีใจความว่า “เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

นางยักษ์ พอได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เกิดความละอายใจ ละอายต่อบาป และสมาทานศีล๕ ไม่ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา และนางยักษ์กับนางมนุษย์ ก็ได้เป็นสหายของกันและกัน

เมื่อนางยักษ์ถือศีล๕ หาอาหารได้ยาก นางมนุษย์ จึงได้สร้างที่พำนักให้นางยักษ์ ซึ่งที่ที่นางยักษ์ถูกใจที่สุด เป็นที่นอกหมู่บ้าน อยู่หัวไร่ปลายนานั่นเอง เพราะเงียบดี และนางมนุษย์ก็นำอาหารมาเลี้ยงดูนางยักษ์อยู่มิได้ขาด

นางยักษ์ มีความสามารถพิเศษ คือล่วงรู้เกี่ยวกับฝนฟ้าอากาศ รู้ว่าปีนี้ ฝนจะมากหรือจะน้อย และก็ไปบอกให้เพื่อนมนุษย์ได้รู้

ปีไหนทราบว่า น้ำจะมาก นางก็ทำนาในที่ดอน ปีไหนน้ำจะน้อย นางก็ทำนาในที่ลุ่ม ทำให้ข้าวของนางไม่เสียหายเพราะฝนแล้งหรือน้ำท่วมเลย ข้าวกล้างอกงามอุดมสมบูรณ์ทุกปี

ชาวบ้านพากันสงสัยมาสอบถาม ก็ได้ความว่า เพราะมีนางยักษ์มาบอก และหากจะให้นางยักษ์บอกด้วย ก็ขอให้พากันนำอาหารไปเลี้ยงดูนางยักษ์

ชาวบ้านต่างพากัน เอาอาหารไปเลี้ยงดูนางยักษ์ และสร้างที่อยู่ให้นางยักษ์ในพื้นที่นาของตนๆ นางยักษ์ก็แวะเวียนไปกินอาหาร และบอกชาวบ้านเรื่องฝนฟ้าอากาศ

ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านที่นั่น ก็ทำนาได้ผลดีกันทุกครัวเรือน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 462 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  24 เม.ย. 2550 เวลา 11:46:36  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8) ผีตาแฮก  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,310
รวม: 5,676,455 สาธุการ

 
ในช่วงต้นฤดูฝน หรือประมาณเดือนมิถุนายน เมื่อฝนเริ่มตกลงมาให้พื้นดินชุ่มฉ่ำน้ำเริ่มขัง ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลทำนา ก่อนจะทำนาในแต่ละปี ชาวนาจะต้องทำพิธีไหว้สักการะและเลี้ยงผีตาแฮก ก่อน โดยนำอาหารคาวหวาน ตามแต่จะหาได้ เช่น ปั้นข้าวเหนียว ปลาร้า ปิ้งปลา เป็นต้น พร้อมทั้งหมากพลู ยาสูบ มาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ และอธิษฐานขอให้ทำนาได้ผลดี ข้าวกล้างอกงามอุดมสมบูรณ์

การแฮกนา นิยมเลือกเอาวันที่เป็นอธิบดีแก่ข้าวกล้า ซึ่งแต่ละปี ผู้เฒ่าผู้แก่ประจำหมู่บ้านจะเปิดตำราพรหมชาติบอกแจ้งแก่ชาวบ้านไว้ ว่าปีนี้ แฮกนาได้ในวันใดบ้าง โดยมากนิยมเลือกเอาวันพฤหัสบดี เป็นวันแฮกนา ซึ่งการแฮกนา จะเริ่มด้วยการเซ่นไหว้ผีตาแฮกก่อน จากนั้น ก็จะเลือกนาแปลงใดแปลงหนึ่ง แล้วทำพิธีแฮกนา การไถแฮกนา มักไถเป็นวงกลม และสังเกตดูก้อนขี้ไถว่าเป็นลักษณะใด บางคนทำนายเก่ง ดูก้อนขี้ไถแล้ว สามารถทำนายได้ว่า ปีนี้ ฝนจะน้อยหรือมาก

เมื่อจะเริ่มดำนา ก็จะปักดำที่แปลงนาตาแฮกก่อน.... นาตาแฮก จะอยู่ในแปลงนาธรรมดาทั่วไป กว้างประมาณ 1 ตารางวา ปักล้อมไว้ด้วยเสา 6 ต้น และเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ อาจหาหนามมาวางล้อมไว้ด้วยก็มี ในนาตาแฮกจะปลูกข้าวไว้ 8 ต้น ซึ่งข้าว 8 ต้นนี้ เหมือนเป็นข้าวเสี่ยงทาย เป็นตัวแทนของข้าวในนาแปลงอื่นๆ ทั้งหมดของตน

การปักดำข้าว 8 ต้นนี้ ผู้ปักดำ จะกล่าวมนต์คาถากำกับแต่ละต้นด้วย ดังนี้


           (ต้นที่1)          ปักกกนี้     พุทธะฮักษา
          (ต้นที่2)          ปักกกนี้     ธรรมะฮักษา
          (ต้นที่3)          ปักกกนี้     สังฆะฮักษา
          (ต้นที่4)          ปักกกนี้     เพิ่นเสีย   กูได้
          (ต้นที่5)          ปักกกนี้     เพิ่นไห้     กูมี
          (ต้นที่6)          ปักกกนี้     ให้ได้หมื่น   มาเญีย
          (ต้นที่7)          ปักกกนี้     ให้ได้หมื่นเญีย   พันเล้า
          (ต้นที่8)          ปักกกนี้     ขวัญข้าว   ให้มาโฮม


หลังจากปักครบ 8 ต้น เป็นอันเสร็จพิธีดำนาตาแฮก

นอกจากนั้น หลังจาก ดำนาตาแฮกเสร็จแล้ว เมื่อจะเริ่มดำนาในแปลงอื่น ก็จะต้องทำพิธีแรกดำนาก่อน โดย เตรียมขัน5 และกล้าอีก 14 ต้น เมื่อจะปักดำกล้าแต่ละต้น ก็จะกล่าวคาถาเสกมนต์ดังนี้ก่อน แล้วค่อยปักดำ


          ไฮ่นี้ไฮ่ก้ำขวา                  นานี้นาท้าวทม
          ท้าวทมให้กูมาแฮกนา        กูจักแฮก
          พญาให้กูมาแฮกไฮ่            กูจักแฮก
          ปักกกนี้                          ให้กูได้ งัวแม่ลาย
          ปักกกนี้                          ให้กูได้ควายเขาซ้อง
          ปักกกนี้                          นกจิบโตตาบอด ให้บินหนี
          ปักกกนี้                           นกจอกโตตาแวน ให้บินหนี
          ปักกกนี้                           แมงดาโตฮู้ฮ่ำกกข้าว ให้บินหนี
          ปักกกนี้                          ให้ได้ฆ้องเก้ากำ
          ปักกกนี้                          ให้ได้คำเก้าหมื่น
          ปักกกนี้                          ให้อวนเก้าหมื่นมาเญีย
          ปักกกนี้                          ให้มานใหญ่ท่อมานอ้อย
          ปักกกนี้                          ให้มานน้อยท่อมานเลา
          ปักกกนี้                          ให้ได้เป็นเศรษฐีเท่าเฒ่า
          โอม สหุม


หลังจากปักครบ 14 ต้น เป็นอันเสร็จพิธีแรกดำนา

 
 
สาธุการบทความนี้ : 443 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  26 เม.ย. 2550 เวลา 08:40:24  
  www    offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  น้อง    คห.ที่9)  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ร้อยเอ็ด
สมาชิกภาพ : สมาชิกทั่วไป
เข้าร่วม : 28 เม.ย. 2550
รวมโพสต์ : 14
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 14,910
รวม: 14,910 สาธุการ

 
พระภูมิเจ้าที่

เรื่องจริงที่เกิดกับกับตัวฉันตอนเช่าห้องอยู่แถวเขตดินแดง กทมฯ บริเวณทางเข้า-ออกจะมีศาลพระภูมิอยู่     เป็นช่วงเวลาฟ้าใกล้สว่าง ขณะที่ฉันกำลังหลับอยู่ด้วยท่านอนตะแคงหันหน้าไปทางลูกที่อยู่ตรงกลาง และแฟนนอนอยู่ขอบอีกด้านหนึ่ง      ฉันได้ยินเสียงผู้ชายพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ว่า" ขันติให้ดี สงบเงี่ยมให้ดี อภัยให้ดี" พูดซ้ำไปซ้ำมาจนฉันรู้สึกตัว    และต้องตกใจเมื่อมีใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งมาลืมตาโพล่งสีหน้าดุมีหนวดเครา มาพูดอยู่เกือบติดหน้าฉันในท่านอนตะแคง ฉันลืมตาได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นแต่ขยับไม่ได้เลยพูดก็ไม่ได้ เกรงอยู่อย่านั้นไม่รู้เพราะอะไร แต่ฉันมองเห็นลูกและแฟนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ได้ อย่างไรเมื่อใบหน้านั้นยังพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นฉันกลัวมากพยายามจะเรียกแฟนก็ไม่สามารถทำได้    จึงพยายามข่มตาลงอยู่3ครั้งรู้สึกว่าหลับตาลงได้ แต่ลืมตาขึ้นก็ยังคงมีผู้ชายคนนั้นอยู่ตรงหน้าอยู่ ทุกครั้ง   โชคดีที่ฉันนึกถึงคุณพระ และสวดนะโม3 จบ อิติปิโส(หลับตาอยู่อีกครั้ง)จึงลืมตาขึ้นรู้สึกเบาหมดทุกอย่างเป็นปกติ และจึงขยับไปปลุกแฟนที่หลับอยู่ ฉันได้แต่ร้องไห้กอดแฟนไว้แน่นตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น แฟนจึงถามว่าเป็นอะไร ฉันจึงเล่าเรื่องที่พึ่งเกิดให้ฟังแฟนบอกว่าขนลุก ยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดว่าขอให้ท่านมาดี อย่ามารบกวนเลย ซึ่งที่เราว่าเป็นพระภูมิเพราะว่าพักหลังมานี้แฟนชอบดื่มเหล้าบ่อยทำให้เราทะเลาะกันเสียงดัง คงทำให้ท่านไม่พอใจก็เป็นได้จึงได้มาเตือนฉัน และหลังจากนั้นฉันกับแฟนก็ไม่ทะเลาะกันอีกและยกมือไหว้ศาลพระภูมิทุกครั้งที่เข้าออกเพื่อเป็นการแสดงเคารพ ต่อมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกเลย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 767 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 พ.ค. 2550 เวลา 15:32:11  
      offline ติดต่อหลังเวที ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ปราร้านอกไห   ตอบเต็มรูปแบบ || Quick Reply  
  หน้า: 1 2 3 4 5 6

   

Creative Commons License
ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ --- วิถีชีวิตชาวอีสาน (ปลาร้านอกไห --- อีสานจุฬาฯ)