ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2567:: อ่านผญา 
ตกลงว่าได้สู้บ่มีถอยให้เขาด่า นับแต่สิเดินหน้า ถอยก้นแหม่นบ่มี แปลว่า เมื่อได้สู้แล้ว ไม่มีถอยให้คนอื่นเย้ยหยัน มีแต่จะเดินหน้าสู้ต่อไป หมายถึง เมื่อได้ลงมือทำแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ไม่พึงย่อท้อต่ออุปสรรค


  ล็อกอินเข้าระบบ  
ชื่อ ::
รหัสผ่าน::
*จำสถานะ
 
  วิถีชีวิตชาวอีสาน  
       ดินแดนอีสาน มีวัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะตน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ท่ามกลางความแร้นแค้น ชาวอีสาน มีความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตอยู่เช่นไร สร้างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีเช่นไรขึ้นมา

     แต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ อาจมีวิถีชิวิต ความเป็นอยู่ ที่แตกต่าง ตามลักษณะพื้นที่ หรือธรรมชาิติที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด ล้วนคือวิถีชิวิตแห่งชาวอีสาน

     เชิญทุกๆท่าน ร่วมเขียนบทความ เรื่องสั้น เล่าวิถีชิวิต ความเป็นอยู่แห่งชาวอีสาน ได้แล้วครับ...



กระทู้ธรรมดา... มีข้อความโพสต์ใหม่

  หน้า: 1 2 ตอบกระทู้  
  โพสต์โดย   ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ  
  มังกรเดียวดาย  
  อ้างอิงจังหวัด : ขอนแก่น
 
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
บทความเกี่ยวกับผีแห่งอีสานนี้ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นจากความทรงจำ มิใช่จากความรู้แจ้งเห็นจริงทางสัจจะ ดังนั้น ขอให้ผู้อ่าน อ่านเพียงเพื่อความบันเทิง นะครับ


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผี

“ผี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า คือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้

จากความหมายนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่ง ผี เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. ผีฟ้า ในที่นี้ ข้าพเจ้าหมายรวมถึง เทวดาทุกจำพวก ทั้งภูมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั้งหลาย
2. ผีคนตาย ในที่นี้หมายถึง ผีที่เราเข้าใจกันทั่วไป หรือมักเรียกว่าวิญญาณคนที่ตายไปแล้วนั่นเอง เช่นผีเปรต ผีเร่ร่อน ภูตผี เป็นต้น
3. ผีคนเป็น ในที่นี้ หมายถึง ผีที่เป็นตัวอาคม มนต์ดำ ซึ่งสิงร่าง สิงจิตเจ้าของอยู่ เช่น ผีปอบ ผีเป้า ผีโพง เสือสมิง เป็นต้น
4.ผีบังบด ในที่นี้ หมายถึง มนุษย์ที่อยู่คนละมิติกับเรา อยู่โลกใบเดียวกัน แต่ต่างมิติ


“ผี” ตามความเข้าใจโดยทั่วๆ ไป คือ วิญญาณ ของคนและสัตว์ที่ตายไปจากโลกนี้ และคนธรรมดาไม่สามารถควบคุมการมองเห็นได้ สรุปง่ายๆ คือ วิญญาณทั้งหลาย เราเรียกว่าผี  

คำว่า “วิญญาณ” ศัพท์ทางพุทธศาสนา จริงๆ หมายถึง การรู้ หรือการรับสื่อ หรือการรับสัญญาณใดๆแล้วรู้  เช่น เมื่อประสาทตารับสื่อคือแสง เกิดการรู้ แต่ศัพท์บัญญัติ เราเรียกว่า “เห็น”  ซึ่ง “เห็น” นี้แหละ คือวิญญาณ

ในประสาทสัมผัสอื่นๆ ก็นัยเดียวกันนี้  ซึ่งตัวที่รับรู้นั้น ก็คือ จิต ดังนั้น หากไม่มีจิต ก็ไม่มีวิญญาณ (แต่มีจิต อาจจะไม่มีวิญญาณ ก็ได้) วิญญาณจึงไปด้วยกันกับจิต

จิต ไม่มีรูปร่าง แต่จิตอาศัยในรูปร่างได้ คนธรรมดา มองไม่เห็นจิต แต่ก็สามารถมองเห็นรูปร่างที่จิตอาศัยอยู่ได้ หากรูปร่างนั้น มีความหยาบหรืออยู่ในมิติเดียวกันกับประสาทตา

คำว่า “สัมภเวสี” หมายถึง สภาวะที่จิตกำลังเสาะแสวงหาสมภพ หรือกำลังหาที่เกิดอยู่ ซึ่งสภาวะนี้ จิตต้องการรูปร่าง จิตอาจจะสร้างรูปร่างขึ้นโดยอาศัยสัญญาหรือความทรงจำสุดท้ายก่อนจุติ(ก่อนตาย) แล้วจิตก็เข้าอาศัยร่างนั้น อันเป็นร่างชั่วคราว พูดง่ายๆ สัมภเวสี ก็คือสภาวะจิตที่ครองร่างชั่วคราว นั่นเอง เรามักเรียกว่า ผีเร่ร่อน

“สมภพ” หมายถึงแหล่งซึ่งเป็นที่กำเนิดร่างใหม่ มี 4 แหล่ง คือ ครรภ์, ไข่,  xเซลล์(ทางวิทยาศาสตร์มีชื่อหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้), และ โอปปาติกะ(เปลี่ยนร่างแล้วโตเลย ไม่ต้องผ่านการเป็นตัวอ่อน เช่น สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม เป็นต้น)

“จุติ” แปลว่าเคลื่อน หมายถึงการที่จิตเคลื่อนออกจากร่างเก่า ไปสถิตยังร่างใหม่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การที่จิตเปลี่ยนร่างใหม่ นั่นเอง ซึ่ง เรานิยมเรียกว่า ตาย (การกลายร่าง เช่น จากไข่เป็นไก่ จากหนอน เป็นแมลงวัน เป็นต้น เป็นความเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่าชรา ไม่ใช่การจุติ ไม่เรียกว่า จุติ)

ร่างเก่า หากเป็นร่างในสมภพ โอปปาติกะ จะสลายหายวับไป ไม่เหลือซาก
ร่างเก่า หากเป็นร่างในสมภพอื่นๆ ที่เหลือ จะเหลือซาก ซึ่งเรานิยมเรียกว่า ศพ หรือซากศพ


“ภูต” แปลว่า ผู้เกิดแล้ว หรือผู้มี(ร่าง)แล้วหมายถึง จิตที่ได้สมภพแล้ว แต่ในความหมายทั่วไปที่เราใช้กัน หมายถึงเฉพาะจิตที่ได้สมภพเป็นโอปปาติกะ  เช่น เป็นเปรต เป็นรุกขเทวดา และเราก็เรียกภูต ว่าผี หรือนำมาพูดติดกันว่าภูตผี


สรุปได้ว่า ความจริงแล้ว ผี มีโครงสร้างไม่แตกต่างจากคนปกติ คือมีจิต มีร่างให้จิตอาศัย เช่นเดียวกัน แต่จุดที่แตกต่างกันคือ ความหยาบ-ละเอียดแห่งอณูที่หลอมรวมเป็นร่าง ซึ่งร่างที่เกิดจากจิตสร้างขึ้น จะสัมพันธ์กับสภาวะหยาบ-ละเอียดของจิต ณ ขณะสร้างร่าง

หากพูดในแง่วิทยาศาสตร์ ก็สามารถอธิบายได้ว่า

สภาวะจิตที่หยาบกว่า จะมีความถี่คลื่นจิตที่น้อยกว่า มีพลังงานน้อยกว่า และความเร็วในการหมุนวน น้อยกว่า

ในทางกลับกัน สภาวะจิตที่ละเอียดกว่า จะมีความถี่คลื่นจิตที่มากกว่า มีพลังงานมากกว่า และความเร็วในการหมุนวน มากกว่า


จิตที่อยู่ในสภาวะหนึ่ง จะอยู่ในย่านความถี่หนึ่ง จิตอยู่ในย่านความถี่ใด หากสร้างร่าง ก็จะสร้างร่างที่มีความละเอียดในย่านความถี่นั้นเช่นกัน

ร่างที่อยู่ในย่านความถี่เดียวกัน หากอยู่ในมิติเวลาเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน จะสัมผัสชนกัน

ร่างที่อยู่คนละย่านความถี่ แม้อยู่ในมิติเวลาเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน ก็ไม่ชนสัมผัสกัน ไม่กระทบกระทั่งกัน นั่นคือ ซ้อนทับกันได้

ร่างที่อยู่คนละย่านความถี่กัน เรานิยมเรียกว่า “อยู่คนละมิติ” หรือ “อยู่อีกมิติหนึ่ง”


เก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้ ในอีกมิติหนึ่ง อาจมีร่างกำลังนั่งหวีผมอยู่
จอคอมพิวเตอร์ที่คุณมองอยู่ อาจจะเป็นกระจกเงาในอีกมิติหนึ่ง ก็ได้ นะคร้าบ....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 577 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  04 เม.ย. 2550 เวลา 12:49:58  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่5) ปู่สังกะสาย่าสังกะสี  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามตำนานและความเชื่อของชาวอีสานสมัยก่อน คือผีบรรพบุรุษผู้สร้างโลก ให้กำเนิดลูกหลานมนุษย์ทั้งหลายขึ้นมา เชื่อว่า ตนสืบเชื้อสายมาจากต้นบรรพบุรุษนี้ จึงเรียกว่าปู่ – ย่า ซึ่งความจริง ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามความเชื่อแล้ว จัดเป็นเทพ ไม่ใช่ผี แต่เมื่อเรามองไม่เห็น และน่าจะตายไปนานแล้ว ก็เลยเรียกว่าผี หรือ สัง

หมายเหตุ : เมื่อเราจะพูดถึง คนที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ฟังใจว่าตายแล้ว และเป็นการให้เกียรติด้วย ก็จะมีคำนำหน้าชื่อผู้ตาย คือ “สัง” หรือ “สาง” เช่น “สังพ่อใหญ่ลี” “สังบักลา” “สังอีลุน” เป็นต้น

นับแต่เด็ก ก็มักจะได้ยินนิทานดึกดำบรรพ์เรื่องปู่สังกะสา ย่าสังกะสี นี้ เล่าสืบทอดจากคนแก่สู่เด็ก รุ่นแล้ว รุ่นเล่า


" ...เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ ย้อนหลังกลับไปนานโข ชนิดที่ว่านับตัวเลขไม่ได้ ครั้งนั้น สรรพสิ่งว่างเปล่า ไม่มีโลก ไม่มีดวงดาว ไม่มีวัตถุที่เป็นรูปร่าง มีแสงก็ไม่เห็นว่าเป็นแสง ธาตุ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจาย ไม่แสดงความเป็นธาตุของตนได้อย่างชัดเจน ความว่างเปล่า หมุนวนนานตราบนาน

ต่อมา กลุ่มธาตุต่างๆ เริ่มถูกหมุนวนเวียน ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นธาตุ๔ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เตโชธาตุหลอมรวมกัน ทำให้ห้วงอวกาศ มีจุดที่เย็น ร้อน ต่างกัน จุดที่เย็นจะผลักดัน จุดที่ร้อนจะดึงดูด
วาโยธาตุหลอมรวมกัน และเคลื่อนที่ จากจุดที่เย็นกว่า เข้าหาจุดที่ร้อนกว่า กลายเป็นลม
อาโปธาตุ รวมกันได้มากขึ้น กลายเป็นไอเมฆหมอก ลอยเคว้งคว้าง อยู่ในอากาศ เคลื่อนที่ไปตามแรงลม

ตราบนานเท่านาน จนไอเมฆหมอก หลอมรวมรับเอาสิ่งที่เหมือนตน สะสมมากขึ้น ในที่สุดกลายเป็นน้ำ เป็นห้วงน้ำใหญ่ในอากาศ เสมือนเป็นมหาสมุทรในอากาศ    มหาสมุทรนั้น ลอยไปมาอยู่ในอากาศ นานตราบนาน

ปฐวีธาตุ อันเกิดจากเศษซากส่วนเหลือที่ธาตุอื่นๆ สลัดทิ้ง มีกระจัดกระจาย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นวัตถุที่มีความแข็งกระด้าง ก้อนเล็กๆ และเมื่อรวมกันก้อนโตขึ้นอีก วัตถุนั้นได้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น

วัตถุทั้งสองส่วน ได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ห่างกันออกไป เคว้งคว้าง พร้อมๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น แผ่นดิน หรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทร แผ่นดินทั้งสองผืน ก็ค่อยๆ สะสมรูปร่างให้โตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้น ด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่างๆ ได้ก่อกำเนิด พืชพันธุ์ เกิดต้นไม้
และแล้ว ที่แผ่นดินผืนหนึ่ง มนุษย์คนแรก ได้ถือกำเนิดจาก “ขี้ตมปวก” หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ ที่เป็นที่สะสมของมวลสารมากมาย มีเพศเป็นชาย ชื่อว่า ไกยสา ซึ่งต่อมา เราเรียกว่า สังกะสา

และ ที่แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ก็เกิดมนุษย์เพศหญิง จากขี้ตมปวก เช่นเดียวกัน ชื่อว่า ไกยสี ซึ่งต่อมาเราเรียกว่า สังกะสี

กาลต่อมา ลมได้พัดพาให้แผ่นดินสองผืน ลอยมาพบบรรจบกัน ทำให้สังไกยสา และสังไกยสี ได้พบกัน พูดคุยกัน ต่อมา ได้สังวาสกัน และให้กำเนิดมนุษย์ลูกหลาน ชายหญิงมากมาย ลูกหลานปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็จับคู่สมสู่กัน มนุษย์ทั้งหลาย จึงเกิดมีมากมายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และด้วยกิเลสตัณหา ที่มีพอกพูนขึ้น ทำให้ ต่อมา มีโรคเบียดเบียนกาย มีชรา และมีมรณะ

แม้ปู่สังกะสาและย่าสังกะสีเอง ก็มรณะ เช่นกัน....
"

 
 
สาธุการบทความนี้ : 491 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  11 เม.ย. 2550 เวลา 08:44:28  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่6) ผีปู่ตา(ดอนตาปู่)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีปู่ตา เป็นผีที่ชาวบ้านให้ความเคารพ นับถือ บูชา จนเรียกว่า ปู่ ตา เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของตน ศาลสำหรับผีปู่ตา มักปลูกไว้ในที่ดอน จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอนปู่ตา หรือ ดอนตาปู่

บางแห่ง อาจเป็นผีสองสามีภรรยา ชาวบ้านก็อาจเรียกว่า ผีตายาย หรือ ผีปู่ย่า ก็มี

ผีปู่ตา จัดเป็นผีประเภทบรรพบุรุษ ผู้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยอยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆมาเก่าก่อนนมนาน ครั้นตายไปแล้ว ด้วยความอาลัยรักในสถานที่นั้นๆ ดวงวิญญาณจึงยังคงสิงสถิต วนเวียน คอยปกปัก ดูแล คุ้มครอง รักษา สถานที่นั้นๆ อยู่

ผีปู่ตา เมื่อพูดตามลักษณะทางภพชาติ ก็มีทั้งที่เป็นภูตผีจริงๆ(เป็นผีประเภทอสุรกาย) และที่เป็นเทวดา(รุกขเทวดาก็มี ภูมเทวดาก็มี)

ผีปู่ตา เป็นผีระดับสูง คือมีอำนาจมาก มีบารมีมากเหนือภูตผีและสัมภเวสีทั่วไปในแถบนั้นบริเวณนั้น
ผีปู่ตา มีทั้งที่มีบริวารมาก และที่มีบริวารน้อย หรืออยู่เพียงลำพังก็มี


สมัยก่อน หมู่บ้านตามภาคอีสานแทบทุกหมู่บ้าน เมื่อแรกสร้างหมู่บ้าน เป็นความเชื่อที่ว่า ณ สถานที่นั้น  อาจมีคนเคยอยู่อาศัยมาก่อน อาจมีเจ้าที่หวงแหนรักษาไว้ เมื่อจะตั้งหมู่บ้าน จึงต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งขออนุญาต และก็ต้องสร้างที่พักให้เจ้าที่ด้วย เราเรียกที่พักนี้ว่า ศาล ซึ่งศาลเจ้าที่ แต่ละแห่ง ก็แตกต่างกันแล้วแต่ผู้สร้าง และจุดที่สร้างศาลเจ้าที่ โดยมาก ก็จะสร้างไว้นอกหมู่บ้าน ในที่ที่เป็นป่าละเมาะ หรือเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง และชาวบ้าน ก็จะกำหนดขอบเขตไว้เลยว่า ขอบเขตเท่านี้ เป็นอาณาเขตของผีปู่ตา ห้ามใครก็ตามเข้าไปถากถางทำกิจส่วนตน และมอบสิ่งของทั้งหลายในอาณาเขตนั้น ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ให้เป็นทรัพย์สมบัติของผีปู่ตา(ที่ดินและทรัพย์สินส่วนที่เหลือ ขออนุญาตให้ชาวบ้านไว้ทำมาหากิน)

และนอกจากนั้น ก็ขอให้ผีปู่ตา ช่วยดูแล ปกปักรักษา คุ้มครอง หมู่บ้าน และคนในหมู่บ้านด้วย ซึ่งก็จะมีพิธีกราบไหว้ ขอขมาผีปู่ตา ปีละครั้ง ในช่วงประมาณเดือนหก หรืองานบุญเบิกบ้าน หรือตามที่หมู่บ้านนั้นๆกำหนด

ผีปู่ตา ช่วยคุ้มครองอะไรได้บ้าง??

อำนาจบารมี มีที่มาใหญ่ๆ อยู่สองอย่าง คือ จากบุญของตน และจากผู้อื่นอุทิศมอบให้

ผีปู่ตา เมื่อมีคนกราบไหว้บูชา ยกให้เป็นใหญ่ อำนาจบารมี จะมีเพิ่มขึ้น ยิ่งคนศรัทธามาก กราบไหว้มาก อำนาจจะยิ่งมีมากขึ้น อำนาจอันนี้เป็นอำนาจที่เกิดจากผู้อื่นมอบให้

เมื่อมีอำนาจมากขึ้น ฤทธิ์แห่งผี ก็มีมากขึ้นด้วย ทำให้ผีปู่ตาสามารถคุ้มครองรักษาหมู่บ้าน จากสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็นได้ เช่นป้องกัน ขับไล่ผีตายโหง ผีปอบ  ผีร้ายอื่นๆ รวมถึงอาถรรพ์อาคมร้ายทั้งหลาย ไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนั้น ก็ช่วยดูแลผืนป่ารวมถึงสรรพสัตว์ที่อยู่ในอาณาเขตให้ปลอดภัยจากการทำลายถางถากด้วย

มักจะเป็นเรื่องราวอยู่เสมอ เมื่อมีคนเข้าไปตัดต้นไม้ ไปยิงสัตว์ ในอาณาเขตผีปู่ตา นั่นคือ ผีปู่ตาก็จะมาสั่งสอน ผ่านการเข้าสิงใครคนใดคนหนึ่ง แล้วบอกเล่า ว่ากล่าว ตักเตือน หรือกรณีสั่งสอนหนักหน่อย ก็จะทำให้เจ็บป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ หมอธรรมดารักษาไม่หาย เป็นต้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านกลัวเกรง ไม่ค่อยมีใครกล้าตอแยกับผืนป่าอาณาเขตผีปู่ตา ปัจจุบัน จึงมักพบเห็นร่องรอยดอนปู่ตา อยู่ในหลายๆ หมู่บ้าน

ผีปู่ตา ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่หลอกหลอนคนแบบนึกสนุก ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่ทำร้ายคนแบบไร้เหตุผล ผีปู่ตา เพียงทำหน้าที่ปกป้อง ดูแล คุ้มครอง หมู่บ้านและคนในหมู่บ้าน แต่หากใครผิดกฎระเบียบ หรือทำสิ่งไม่ดีไม่งาม ผีปู่ตา ก็จะมาสั่งสอน การสั่งสอน หากเป็นคนด้วยกันเอง ก็พอทำเนา แต่หากเป็นสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นมาสั่งสอน ก็จะน่ากลัว และอาจไม่เรียกว่าถูกสั่งสอน เรียกว่าถูกผีหลอกแทน

บางแห่ง คนในหมู่บ้านทำผิดกฎระเบียบมากก็ดี ผีปู่ตาขยันดูแล คุ้มครองก็ดี ก็จะเป็นที่ล่ำลือว่า หมู่บ้านนั้นๆ ผีปู่ตาเฮี้ยนมาก สุดท้าย เมื่อคนกลัว เด็กๆ กลัวมากๆ ก็ต้องไปนิมนต์พระเกจิเก่งๆ มาปราบ มาขับไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น แบบนี้ ก็มี

ปัจจุบัน คนที่ให้ความเคารพ ยำเกรงผีปู่ตา มีน้อยลง หรือเหลือแต่คนเฒ่าคนแก่ยุคแรกเริ่มสร้างหมู่บ้านเท่านั้น ที่เคารพยำเกรง เมื่อคนเคารพยำเกรง ลดลง ไม่มีคนขอให้ดูแลคุ้มครอง อำนาจบารมีผีปู่ตา ก็ลดลงตามไปด้วย หรือเมื่อไม่มีใครขอให้ช่วยดูแล ผีปู่ตา ก็ไม่แยแสสนใจเช่นกัน สุดท้าย ต่างคนต่างอยู่ ผีก็ส่วนผี คนก็ส่วนคน คนก็ไม่ทำบุญให้ผี ผีก็ไม่ได้ดูแลคน และสุดท้าย ดอนปู่ตา อาจเป็นเพียงตำนาน เป็นเพียงเรื่องเล่าขานแห่งบรรพชน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 470 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  17 เม.ย. 2550 เวลา 08:22:13  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่7) ผีตาแฮก  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
เวลาเด็กๆพาวัวควายไปเลี้ยง หรือไปหาล่าสัตว์ ยิงกิ้งก่า เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่เด็กๆกลัวคือ ปี๊บเก่าๆ ขึ้นสนิมใบหนึ่ง แต่กระนั้นก็ตาม เด็กบางคนก็เล่นพิเรนทร์  เอาหนังสะติ๊กไปยิงปี๊บใบนั้นเล่น ก็มี

ปี๊บใบที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ มักจะพบเห็นตามหัวไร่ปลายนา โดยเฉพาะที่ซึ่งเป็นที่ดอน เช่นจอมปลวก หรือใต้ต้นไม้ เป็นต้น

เราลองมาค้นหาดูว่า ปี๊บ ใบนี้ มีที่ไปที่มาอย่างไร

ความจริงปี๊บใบนี้ มิใช่ชาวนาชาวไร่ จะเอามาวางทิ้งไว้เฉยๆ แบบไร้ความหมายหรอกครับ เขาทำไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของผีผู้ดูแลไร่นา นั่นเอง โดย นิยมเจาะรูปี๊บบน-ล่าง แล้วใช้ไม้เสียบร้อยผ่านเข้าไป ทำเป็นขาตั้ง แล้วจากนั้น ก็เอาไม้นั้นไปปักเสียบไว้ ณ ที่ที่ต้องการ แล้วก็กล่าวอัญเชิญผีผู้ดูแลไร่นา มาสิงสถิตอยู่

และความจริง ก็ไม่ใช่แค่ปี๊บ เท่านั้นหรอกครับ บางคนอาจจะสร้างเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ มุงสังกะสี ก็มี อันนี้แล้วแต่ใครจะสร้างจะทำ แต่ที่มักพบเห็นเป็นปี๊บ ก็อาจเนื่องจากว่า ปี๊บ หาได้ไม่ยากนัก และทนแดด ทนฝน กว่าจะผุพัง ก็ใช้เวลานานพอสมควร

ก็เพราะเชื่อกันว่า เป็นที่อยู่ของผี นี่แหละ เด็ก ถึงได้กลัว


ผีผู้ดูแลไร่นา ชาวอีสาน นิยมเรียกว่า ผีตาแฮก

ผีตาแฮก คือผีที่เชื่อกันว่า จะช่วยคุ้มครอง ดูแล รักษาไร่นา ให้ข้าวกล้าเจริญงอกงาม



ผีตาแฮก มีความเป็นมา ดังนี้ (เรื่องย่อ จากอรรถกถาธรรมบท)
  

อตีเต กาเล ในอดีตกาลที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง อยู่กินกันมานานพอสมควร ก็ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์ นางผู้ภรรยา เกรงว่า ตระกูลสามี จะไม่มีคนสืบสกุล จึงไปแสวงหาหญิงสาวมาหนึ่งคน เพื่อให้เป็นภรรยาคนที่สองของสามี หวังว่า ภรรยาน้อยจะตั้งครรภ์ให้สามีได้สมหวัง

ต่อมาไม่นาน ภรรยาน้อย ก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายภรรยาหลวง เกรงว่าสามีจะหลงใหลเมียน้อยคนเดียวและสุดท้ายมอบมรดกให้ลูกเมียน้อยคนเดียว ด้วยความริษยา จึงได้วางยาพิษทำลายครรภ์ของเมียน้อย เมียน้อยก็แท้งลูก

เมียน้อยตั้งครรภ์ทีไร เมียหลวงก็ทำเหมือนเดิม จนครั้งสุดท้าย เมียน้อยรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่ถึงแม้จะจับได้ว่าลูกตนที่แท้งทุกครั้งนั้น เป็นเพราะเมียหลวงหวังร้ายต้มยาให้กิน ก็ตาม ครั้งนี้ เพื่อปิดปากไม่ให้เมียน้อยบอกสามี เมียหลวง ได้ลงมือฆ่าเมียน้อยเสียด้วย

เมียน้อย ก่อนขาดใจตาย ได้ตั้งจิตอาฆาตไว้อย่างแรงกล้าว่า “เกิดชาติไหนๆ ขอให้ได้ฆ่าลูกและตัวของนังเมียหลวงนี้”

ชาติต่อมา เมียน้อยเกิดเป็นแมว เมียหลวงเกิดเป็นไก่ เมื่อไก่ออกไข่ แมวก็มากินไข่ไก่ และสุดท้าย ก็ได้กินแม่ไก่ด้วย

แม่ไก่ ก่อนขาดใจตาย ก็ตั้งจิตอาฆาตไว้ว่า “เกิดชาติไหนๆ ขอให้ได้ฆ่าลูกและตัวของแมวนี้”

ชาติต่อมา แม่ไก่เกิดเป็นเสือ แมวเกิดเป็นเนื้อ เสือก็มาจับลูกของเนื้อกิน และสุดท้ายก็กินแม่เนื้อด้วย

ผูกเวรจองเวรกันไปกันมาแบบนี้ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ชาติสุดท้ายที่ระงับเวรได้นั้น เกิดเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ยังทรงพระชนม์อยู่ โดยคนหนึ่งเกิดเป็นนางยักษ์ อีกคนหนึ่งเกิดเป็นมนุษย์

เมื่อนางมนุษย์ตั้งครรภ์ นางยักษ์ก็แปลงร่างเป็นคน มาขออุ้มลูก และพาลูกหนีไป จับกินเป็นอาหาร หลายต่อหลายครั้ง ครั้งต่อมา เมื่อนางตั้งครรภ์อีก จึงชวนสามีกลับบ้านแม่เพื่อคลอดลูกที่บ้านแม่ แต่นางก็คลอดลูกก่อน ในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อคลอดลูกแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านสามี

ระหว่างทางกลับ  ขณะที่สามีลงไปอาบน้ำในสระน้ำใกล้วัดเชตวัน นางยักษ์ก็มาถึงตรงนั้นพอดี นางมนุษย์เมื่อเห็นยักษ์มา ก็จำได้ จึงรีบอุ้มลูกวิ่งหนี นางยักษ์ก็วิ่งไล่ จนไปถึงวัดเชตวัน นางมนุษย์ก็อุ้มลูกน้อยเข้าไปในวัด วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ และวางลูกไว้ตรงหน้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสห้ามนางยักษ์ให้หยุด และแสดงธรรมเจาะจงนางทั้งสอง มีใจความว่า “เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

นางยักษ์ พอได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เกิดความละอายใจ ละอายต่อบาป และสมาทานศีล๕ ไม่ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา และนางยักษ์กับนางมนุษย์ ก็ได้เป็นสหายของกันและกัน

เมื่อนางยักษ์ถือศีล๕ หาอาหารได้ยาก นางมนุษย์ จึงได้สร้างที่พำนักให้นางยักษ์ ซึ่งที่ที่นางยักษ์ถูกใจที่สุด เป็นที่นอกหมู่บ้าน อยู่หัวไร่ปลายนานั่นเอง เพราะเงียบดี และนางมนุษย์ก็นำอาหารมาเลี้ยงดูนางยักษ์อยู่มิได้ขาด

นางยักษ์ มีความสามารถพิเศษ คือล่วงรู้เกี่ยวกับฝนฟ้าอากาศ รู้ว่าปีนี้ ฝนจะมากหรือจะน้อย และก็ไปบอกให้เพื่อนมนุษย์ได้รู้

ปีไหนทราบว่า น้ำจะมาก นางก็ทำนาในที่ดอน ปีไหนน้ำจะน้อย นางก็ทำนาในที่ลุ่ม ทำให้ข้าวของนางไม่เสียหายเพราะฝนแล้งหรือน้ำท่วมเลย ข้าวกล้างอกงามอุดมสมบูรณ์ทุกปี

ชาวบ้านพากันสงสัยมาสอบถาม ก็ได้ความว่า เพราะมีนางยักษ์มาบอก และหากจะให้นางยักษ์บอกด้วย ก็ขอให้พากันนำอาหารไปเลี้ยงดูนางยักษ์

ชาวบ้านต่างพากัน เอาอาหารไปเลี้ยงดูนางยักษ์ และสร้างที่อยู่ให้นางยักษ์ในพื้นที่นาของตนๆ นางยักษ์ก็แวะเวียนไปกินอาหาร และบอกชาวบ้านเรื่องฝนฟ้าอากาศ

ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านที่นั่น ก็ทำนาได้ผลดีกันทุกครัวเรือน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 462 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  24 เม.ย. 2550 เวลา 11:46:36  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8) ผีตาแฮก  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ในช่วงต้นฤดูฝน หรือประมาณเดือนมิถุนายน เมื่อฝนเริ่มตกลงมาให้พื้นดินชุ่มฉ่ำน้ำเริ่มขัง ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลทำนา ก่อนจะทำนาในแต่ละปี ชาวนาจะต้องทำพิธีไหว้สักการะและเลี้ยงผีตาแฮก ก่อน โดยนำอาหารคาวหวาน ตามแต่จะหาได้ เช่น ปั้นข้าวเหนียว ปลาร้า ปิ้งปลา เป็นต้น พร้อมทั้งหมากพลู ยาสูบ มาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ และอธิษฐานขอให้ทำนาได้ผลดี ข้าวกล้างอกงามอุดมสมบูรณ์

การแฮกนา นิยมเลือกเอาวันที่เป็นอธิบดีแก่ข้าวกล้า ซึ่งแต่ละปี ผู้เฒ่าผู้แก่ประจำหมู่บ้านจะเปิดตำราพรหมชาติบอกแจ้งแก่ชาวบ้านไว้ ว่าปีนี้ แฮกนาได้ในวันใดบ้าง โดยมากนิยมเลือกเอาวันพฤหัสบดี เป็นวันแฮกนา ซึ่งการแฮกนา จะเริ่มด้วยการเซ่นไหว้ผีตาแฮกก่อน จากนั้น ก็จะเลือกนาแปลงใดแปลงหนึ่ง แล้วทำพิธีแฮกนา การไถแฮกนา มักไถเป็นวงกลม และสังเกตดูก้อนขี้ไถว่าเป็นลักษณะใด บางคนทำนายเก่ง ดูก้อนขี้ไถแล้ว สามารถทำนายได้ว่า ปีนี้ ฝนจะน้อยหรือมาก

เมื่อจะเริ่มดำนา ก็จะปักดำที่แปลงนาตาแฮกก่อน.... นาตาแฮก จะอยู่ในแปลงนาธรรมดาทั่วไป กว้างประมาณ 1 ตารางวา ปักล้อมไว้ด้วยเสา 6 ต้น และเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ อาจหาหนามมาวางล้อมไว้ด้วยก็มี ในนาตาแฮกจะปลูกข้าวไว้ 8 ต้น ซึ่งข้าว 8 ต้นนี้ เหมือนเป็นข้าวเสี่ยงทาย เป็นตัวแทนของข้าวในนาแปลงอื่นๆ ทั้งหมดของตน

การปักดำข้าว 8 ต้นนี้ ผู้ปักดำ จะกล่าวมนต์คาถากำกับแต่ละต้นด้วย ดังนี้


           (ต้นที่1)          ปักกกนี้     พุทธะฮักษา
          (ต้นที่2)          ปักกกนี้     ธรรมะฮักษา
          (ต้นที่3)          ปักกกนี้     สังฆะฮักษา
          (ต้นที่4)          ปักกกนี้     เพิ่นเสีย   กูได้
          (ต้นที่5)          ปักกกนี้     เพิ่นไห้     กูมี
          (ต้นที่6)          ปักกกนี้     ให้ได้หมื่น   มาเญีย
          (ต้นที่7)          ปักกกนี้     ให้ได้หมื่นเญีย   พันเล้า
          (ต้นที่8)          ปักกกนี้     ขวัญข้าว   ให้มาโฮม


หลังจากปักครบ 8 ต้น เป็นอันเสร็จพิธีดำนาตาแฮก

นอกจากนั้น หลังจาก ดำนาตาแฮกเสร็จแล้ว เมื่อจะเริ่มดำนาในแปลงอื่น ก็จะต้องทำพิธีแรกดำนาก่อน โดย เตรียมขัน5 และกล้าอีก 14 ต้น เมื่อจะปักดำกล้าแต่ละต้น ก็จะกล่าวคาถาเสกมนต์ดังนี้ก่อน แล้วค่อยปักดำ


          ไฮ่นี้ไฮ่ก้ำขวา                  นานี้นาท้าวทม
          ท้าวทมให้กูมาแฮกนา        กูจักแฮก
          พญาให้กูมาแฮกไฮ่            กูจักแฮก
          ปักกกนี้                          ให้กูได้ งัวแม่ลาย
          ปักกกนี้                          ให้กูได้ควายเขาซ้อง
          ปักกกนี้                          นกจิบโตตาบอด ให้บินหนี
          ปักกกนี้                           นกจอกโตตาแวน ให้บินหนี
          ปักกกนี้                           แมงดาโตฮู้ฮ่ำกกข้าว ให้บินหนี
          ปักกกนี้                          ให้ได้ฆ้องเก้ากำ
          ปักกกนี้                          ให้ได้คำเก้าหมื่น
          ปักกกนี้                          ให้อวนเก้าหมื่นมาเญีย
          ปักกกนี้                          ให้มานใหญ่ท่อมานอ้อย
          ปักกกนี้                          ให้มานน้อยท่อมานเลา
          ปักกกนี้                          ให้ได้เป็นเศรษฐีเท่าเฒ่า
          โอม สหุม


หลังจากปักครบ 14 ต้น เป็นอันเสร็จพิธีแรกดำนา

 
 
สาธุการบทความนี้ : 443 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  26 เม.ย. 2550 เวลา 08:40:24  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่10) ผีฟ้า  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีฟ้า หมายถึงผีซึ่งมีวิมานอยู่บนฟ้า ซึ่งก็คือเทวดานั่นเอง ผีฟ้าไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเหมือนผีชนิดอื่นๆ ผีฟ้าเป็นผีที่ให้คุณมากกว่าให้โทษ เพราะเป็นผีที่คอยคุ้มครอง ดูแล รักษามนุษย์

หากพูดตามความเชื่อทางภาคอีสานแล้ว เจ้าแห่งผีฟ้า ก็คือพญาแถน นั่นเอง พญาแถน เป็นเทวดาปกครองเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ และทำหน้าที่คอยดูแลให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วย

ผีฟ้า หลายๆ คนได้ฟังแล้ว อาจคิดในแง่ลบ นั่นอาจเนื่องมาจาก มีปอบผีฟ้าเกิดขึ้นนั่นเอง ปอบผีฟ้า ไม่ได้หมายความว่า ผีฟ้าเป็นปอบนะครับ แต่หมายถึง คนทรงผีฟ้าต่างหากที่เป็นปอบ เป็นปอบเพราะรักษาข้อห้ามไม่ได้

ผีฟ้า มีบารมีค่อนข้างมาก สามารถล่วงรู้สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่คนธรรมดาบอกไม่ได้ เช่น ควายหาย คนหาย คนเจ็บป่วยไม่สบาย เป็นต้น ชาวบ้าน ก็มักจะเชิญคนทรงผีฟ้า มาเข้าทรงและดูให้ ซึ่งในอดีต(ที่ผีฟ้ามาเข้าทรงจริงๆ) ก็บอกได้ค่อนข้างแม่นยำ จนเป็นความเชื่อและถือปฏิบัติกันสืบมา

คนทรงผีฟ้า มีสองแบบ คือแบบนั่งทรงธรรมดา และแบบรำทรง

ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือแบบรำทรง ซึ่งมักเรียกว่า รำผีฟ้า และ ลำผีฟ้า

รำผีฟ้า คือการฟ้อนรำประกอบเสียงแคนเสียงลำ
ลำผีฟ้า คือการขับร้องประกอบเสียงแคน
หมอลำผีฟ้า คือคนที่ขับร้องและฟ้อนรำประกอบเสียงแคน


กลอนลำสำหรับบวงสรวงบูชาผีฟ้า เป็นกลอนลำเฉพาะผู้เล่าเรียนเท่านั้น ทางภาคอีสาน ตามหมู่บ้านต่างๆ หลายหมู่บ้าน จะมีคณะหมอลำผีฟ้าอยู่ หนึ่งคณะอาจจะมีประมาณ2-5คน ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะ(โดยมากเป็นผู้หญิง) เรียกว่า แม่หมอ แม่หมอ จะเป็นผู้นำในการทำพิธีตั้งแต่ต้นจนจบ

คนที่จะลำผีฟ้าได้ จะต้องมีครู มีคาย (คายหมายถึงของบูชาครู).... หากผิดครู ผิดคาย... ก็เป็นปอบ
ผิดครู หมายถึง ผิดจากข้อปฏิบัติที่ครูสอนสั่ง
ผิดคาย หมายถึง ของบูชาครูไม่ตรงตามที่ครูระบุกำชับ (ขาดของสำคัญ)


หมอลำผีฟ้า ไม่ใช่หมอลำสำหรับเฉลิมฉลองขบงัน แต่เป็นหมอลำที่ใช้สำหรับรักษาอาการป่วยของคน โดยมากมักเป็นอาการป่วยแบบกินยาแล้วไม่หาย หาหมอรักษาไม่ได้ บางคน ป่วยเป็นโรคทางจิตแบบซึมเซา เหงาหงอย บางคน นอนซมกินข้าวไม่ได้ ก็จะเชิญหมอลำผีฟ้ามารักษา....นอกจากนั้น อาการอื่นๆ เช่นหากคาดเดาว่า มีผีมาทำร้าย โดนคาถาอาคม หรือโดนของ ก็ใช้หมอลำผีฟ้า ได้เช่นกัน

คนที่เคยได้รับการรักษาจากหมอลำผีฟ้าคณะไหน.... หากวันหน้าหมอลำผีฟ้าคณะนั้นมาลำที่หมู่บ้านตน แม้จะรักษาคนอื่นก็ตาม คนที่เคยได้รับการรักษานั้น ก็ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย มิเช่นนั้น เชื่อกันว่า อาจเจ็บป่วยเป็นโรคเดิมได้อีก... ประเด็นนี้นี่เอง ทำให้เมื่อหมอลำผีฟ้ามาลำ คนเข้าร่วมจึงมีมากขึ้นๆ เมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้น ความสนุกสนาน ร่าเริง เคล้ากับเสียงลำเสียงแคน จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

การรักษาอาการเจ็บป่วยของผีฟ้า มีสองแบบ คือ
แบบแรก ผีฟ้าอาจจะเข้าสิงร่างใครคนใดคนหนึ่งที่เข้าร่วมพิธี และบอกว่า คนเจ็บป่วยนั้น โดนอะไรมา ไปทำผิดอะไรมา และให้แก้ไขด้วยวิธีอย่างไร

แบบที่สอง รักษาให้หาย ณ ที่พิธีนั้นเลย ซึ่งแบบที่สองนี้ หากมองในแง่จิตวิทยา อาจกล่าวได้ว่า จิตตนรักษาจิตตน นั่นเอง หมายถึง เมื่อมีความครึกครื้นรื่นเริง ปล่อยจิตใจไปกับเสียงลำเสียงแคน ลุกขึ้นฟ้อนรำ ทำให้จิตใจผ่อนคลายจากความตึงเครียด จิตใจที่ปรอดโปร่ง ทำให้ร่างกายสดใสแข็งแรงขึ้นมาได้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 708 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  14 พ.ค. 2550 เวลา 12:49:17  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่11) ผีปอบ  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีปอบ หลายๆ คนคงเคยเห็นในหนังเรื่องผีปอบมาแล้ว ซึ่งในหนังทำรูปร่างผีปอบได้น่ากลัวมาก.. แต่ความจริงแล้ว ผีปอบ ไม่น่าจะมีรูปร่างน่ากลัวขนาดนั้น

ผีปอบ ตามที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมา มีความเป็นมาดังนี้...

คนสมัยก่อน มักเรียนคาถาอาคม ผู้ชายก็เรียนอาคม ผู้หญิงบางคนก็เรียนอาคม ผู้ชาย โดยมากจะเรียนคาถาอาคมแบบอยู่ยงคงกระพันบ้าง แบบหมอผีบ้าง... ผู้หญิง มักจะเรียนอาคมแบบคนเข้าทรง หรือไม่ก็ถือผี เช่น ลำผีฟ้า เป็นต้น

การเรียนอาคมทุกอย่าง ต้องมีของคะลำ (หัวข้อต้องห้าม หรือที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด) เช่น ห้ามให้คนตบหัว ห้ามลอดผ้าถุง ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามรับเงินเกินค่าครู ห้ามโกหก ห้าม...ฯลฯ... ซึ่งครูอาจารย์ผู้สอนวิชาอาคมให้ ก็จะบอกกำชับว่า ต้องคะลำอะไรบ้าง... หากผิดข้อห้าม ความขลังอาจจะหายไป หรือเกิดอาการของขึ้น หรือเกิดความเสื่อมอะไรบางอย่าง เป็นต้น

การที่ต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ ก็เพื่อให้จิตผู้เรียนอาคม อยู่เหนืออาคม หรือสามารถบังคับอาคมได้ ถ้าเลี้ยงผีไว้ ก็มีอำนาจเหนือผี

แต่ในทางกลับกัน ถ้าผิดข้อห้าม ผลที่ไม่ดีก็มักจะเกิดขึ้น เพราะเราทำไม่ถูกต้องก่อน จิตเราก็จะอ่อนลง บังคับอาคมไว้ไม่ได้ ถ้าผู้ที่เลี้ยงผี ก็คุมผีไว้ไม่ได้

ผู้ชายที่เรียนอาคม โดยมาก ผลของการผิดข้อห้าม อาจจะทำให้คาถาเสื่อม ไม่ขลัง ของขึ้น หรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ เช่นเสือเป็นต้น ถ้าผู้เลี้ยงผี ก็อาจถูกผีแก้แค้น

สำหรับผู้หญิง เนื่องจากมักไม่ได้เรียนอาคมแบบเดียวกับผู้ชาย พอผิดข้อห้าม ผลจึงแตกต่างจากผู้ชาย... ผู้หญิงแถวอีสาน หากเรียนอาคม โดยมากจะเป็นแบบเข้าทรง หรือไม่ก็เรียนลำผีฟ้า ซึ่งเป็นพิธีเพื่อรักษาคนเจ็บป่วยอีกแนวทางหนึ่ง

ข้อห้ามของคนลำผีฟ้า คืออะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ เนื่องจากเป็นศาสตร์ลึกลับ... ทว่า ก่อนลำทุกครั้ง ต้องมีการไหว้ครู แต่งขันบวงสรวง (แต่งคายอ้อ) ซึ่งก็จะมีเงินใส่ลงไปด้วย จำนวนเงินจำกัดตามที่ครูอาจารย์บอก เช่น หนึ่งสลึง เป็นต้น....

ผู้หญิง หากผิดข้อห้าม โดยมาก มักจะกลายเป็นปอบ
(ผู้ชายเป็นปอบ มิใคร่จะได้ยินนัก แต่ก็เคยได้ยินบ้างเหมือนกัน ซึ่งหากผู้ชายเป็นปอบ ว่ากันว่า ปราบยากกว่าปอบผู้หญิง เพราะของมันแรง อาคมมันแรงกว่า)

อะไรคือปอบ กลายเป็นปอบ คืออะไร?

พอผิดข้อห้าม จิตของคนนั้นจะอ่อนแอลง ไม่กล้าแกร่ง ไม่เข้มแข็ง หรือเรียกว่าจิตเสื่อม เพราะตนเองรู้อยู่ว่าผิด เมื่อจิตอ่อนแอลง ก็ไม่สามารถจะควบคุมอาคมที่ตนเองมีอยู่ได้ ตนเองจึงถูกอาคมนั้นย้อนกลับเข้าตัว และอยู่ใต้อำนาจของอาคม

คนที่ถูกอาคมย้อนเข้าตัว นั่นแหละ เขาเรียกว่าคนเป็นปอบ เพราะเป็นที่อาศัยของปอบ

ตัว อาคม เขาเรียกว่า ผีปอบ

ผีปอบ ก็คือจิตที่เสื่อมอันมีอาคมหรือมนต์ดำครอบงำไว้


ผีปอบ จริงๆ แล้วก็คือจิต (หรือดวงวิญญาณ) นั่นแหละ คนที่เรียนวิชาอาคมแบบหมอผีอาจจะมองเห็นได้ คนที่มีตาทิพย์อาจจะมองเห็นได้ แต่คนธรรมดามองไม่เห็น คนธรรมดามองเห็นเพียงคนที่เป็นปอบ หรือคนที่ปอบอาศัยสิงร่างอยู่เท่านั้น

ขณะผีปอบ (จิต) ไปเข้าคนอื่น คนที่เป็นปอบ จะไม่รู้ตัวเลยว่าปอบตัวเอง (มนต์ดำของตัวเอง) ไปเข้าใคร

แต่ตัวปอบที่ไปเข้าคนอื่น เวลาถูกถามว่า เป็นใคร มาจากไหน ก็จะบอกว่า ตัวเองเป็นใคร อยู่บ้านไหน ซึ่งเป็นคำตอบอย่างท้าทาย เพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครปราบได้

จากนั้น ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ เป็นปอบ ก็จะกระจายไปจนเข้าถึงหูของคนที่เป็นปอบ... คนที่เป็นปอบ(ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย) ก็จะเกิดความอาย อายชาวบ้านคนอื่น อายเพื่อนบ้านด้วยกัน...

จากความอายนั้น ทำให้เมื่อตัวปอบ ไปเข้าคนอื่นๆ ต่อมา พอถูกถามว่า เป็นใครมาจากไหน ก็เลยไม่ตอบบ้าง ตอบว่ามาจากบ้านอื่นบ้าง ซึ่งก็คือการโกหก นั่นเอง จนมีคำพูดว่า “แลกหน้ากินปานปอบ” ... ซึ่งหมายถึง เอาชื่อคนอื่นไปแอบอ้าง ...ทว่า การโกหก เป็นสิ่งไม่ดี คนที่เรียนอาคม ทราบดีอยู่แล้ว มันฝังอยู่ในสันดาน อยู่ในจิต แม้จิตเป็นปอบ ก็ไม่กล้าโกหก ปอบแบบนี้ก็มี ปอบที่ไม่กล้าโกหก จึงมักจะไปหาเข้าคนบ้านอื่นที่อยู่ไกลๆ ซึ่งแม้จะบอกว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านแถวนั้น ก็ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครรู้จักตน จะได้ไม่ต้องอาย ...

จากความอายนั้น เมื่อคนที่เป็นปอบไปที่ไหน ก็จะไม่กล้าสบตาใคร โดยเฉพาะพระเณรผู้มีศีล คนที่เป็นปอบจะไม่กล้าสบตาเลย เพราะอาย แต่คนที่ถูกปอบเข้า จะไม่อายนะ เพราะตัวปอบสิงร่างตนอยู่ จึงไม่อาย จึงกล้าท้าพระ กล้าสบตาคนอื่นๆ อย่างท้าทาย

ปอบไปเข้าคนอื่น ก็เพราะมันหิว มันอยาก ซึ่งคนที่ปอบจะเข้าได้ง่าย โดยมากมักเป็นผู้หญิง เพราะมีจิตอ่อน มีจุดอ่อนแห่งจิตที่ปอบสามารถเข้าครอบงำได้ง่าย เมื่อเข้าแล้ว มักจะให้คนนั้นคนนี้ หาหมากหาพลูมาให้เคี้ยว ให้หาไก่มาต้มให้กิน เป็นต้น แล้วแต่ปอบจะอยากกินอะไร

ปอบธรรมดา น่ากลัวตรงที่เรามองไม่เห็น และเราไม่รู้ว่าคนที่ถูกปอบเข้า จะได้รับอันตรายอะไรอื่นๆ หรือไม่ หรือคนที่ถูกปอบเข้า จะไปทำร้ายคนอื่นรอบข้างหรือไม่

ปอบที่น่ากลัว คือปอบชนิดที่ดูดซับกินอวัยวะภายในคน มันกินอาหารที่เป็นมิติของมัน เหมือนกับไฟฉายดูดกินไฟจากถ่ายไฟฉาย ซากอวัยวะภายในอาจเหลืออยู่ แต่คนที่เป็นเจ้าของซากกลับตายไปแล้ว เพราะไอแห่งชีวะในร่างนั้น ถูกปอบดูดกินไปแล้ว จิต(หรือวิญญาณ)ของผู้ตาย จึงไม่สามารถอาศัยร่างนั้นได้อีกต่อไป

ปอบธรรมดาทั่วไป มักจะไม่ฆ่าคน แต่ปอบชนิดนี้ เป็นปอบที่หิวโหยมาก หิวจนทนไม่ไหว ความหิวโหยนี่แหละ ทำให้ปอบธรรมดา กลายเป็นปอบฆ่าคน หรือปอบกินคน

ปอบ ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้ยินว่ามีปอบไปเข้าคนนั้นคนนี้แล้ว อาจเนื่องจากว่า คนยุคปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เรียนอาคมกัน จึงไม่เป็นปอบ

คนยุคปัจจุบัน แม้จิตวิญญาณ ไม่เป็นปอบ แต่จิตวิญญาณ กลับเป็นผีอย่างอื่น ผีที่ซึมสิงครอบงำจิตเช่นเดียวกับปอบ แต่เวลาออกหากิน ไม่ต้องไปเข้าสิงคนอื่นเหมือนปอบ ใช้วิธีหากิน แบบหาเอามาเองเลย... ซึ่งผีนี้คือ ผีเปรต.... คนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนจากผีปอบ มาเป็นผีเปรต กันก็มาก....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 579 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  21 พ.ค. 2550 เวลา 12:36:04  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่12) ผีเป้า  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีเป้า เป็นผีที่ชอบกินของสด คาว มักแอบออกหากินตอนกลางคืน เที่ยวจับกบเขียดกิน หากหากบเขียดกินไม่ได้ อย่างน้อย สุดท้าย ก่อนกลับขึ้นบ้าน ก็จะกินขี้หมา รองท้องไปพลางๆ

ผีเป้า ความจริง ไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ ผีเป้า คือ คนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ กลายเป็นเป้า

คำว่า “เป้า” หมายถึง คน หรือสัตว์ซึ่งปกติกินพืชเป็นอาหาร กินของสุกเป็นอาหาร เปลี่ยนไปชอบกินของเป็นๆ กินแบบจับได้ กินเลย ไม่ผ่านกระบวนการปรุงเป็นอาหาร

แมวเป้า หมายถึงแมว ที่จับสัตว์เป็นๆ กินเป็นอาหาร โดยมากมันเป็นแมวไม่มีเจ้าของ หรือแมวป่า แต่ว่าแมวบ้านทั่วๆ ไป ก็อาจกลายเป็นเป้าได้ หากเจ้าของไม่ค่อยให้อาหาร แมวตัวนั้นอดอยาก ไปหาจับหนู จับตุ๊กแก กิ้งก่า กินเป็นอาหารแทน นานเข้า ติดใจในรสชาติของสด กลายเป็นแมวเป้าไป ก็มี

คนที่เปลี่ยนไปชอบกินสัตว์เป็นๆ โดยไม่นำมาปรุงเป็นอาหาร เหมือนแมวจับหนูได้ กินเลยนั้น คือคนนั้นกลายเป็นเป้า เราเรียก คนเป็นเป้าว่า “ผีเป้า”

ผีเป้า เกิดจาก คนที่ใช้ว่านชนิดหนึ่ง นำมาเป็นมวลสารกายสิทธิ์ ช่วยให้ตนอาคมแก่กล้า ว่านชนิดนี้ บ้านข้าพเจ้าเรียกว่า ว่านเลือด หรือว่านเป้า ว่านเลือด ยางว่านจะมีสีแดงสดเหมือนเลือดและมีกลิ่นคาวเหมือนเลือด

ว่านชนิดนี้ ผู้เรียนอาคม มักปลูกไว้ข้างรั้วบ้าน สมัยก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนอาคมกันอยู่แล้ว การปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และว่านนี้ ก็จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ หากนำมาเข้ายา ก็เป็นยา หากนำมาเข้าพิธี ก็เป็นมวลสารกายสิทธิ์

ว่านชนิดนี้ เมื่อเข้าพิธีแล้ว มีความเป็นกายสิทธิ์อะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนคนกลายเป็นเป้าได้ ก็เกิดจากรักษาข้อกำหนดไม่ได้ หรือภาษาอีสานเรียก ผิดข้อคะลำ ทำให้ตนควบคุมมวลสารกายสิทธิ์นั้นไม่ได้ สุดท้าย ตกอยู่ภายใต้อำนาจมวลสารกายสิทธิ์นั้น และกลายเป็น เป้า ไปในที่สุด

ผีเป้า ความจริงไม่ได้ออกหากินเฉพาะกลางคืนหรอก กลางวัน ก็หากิน เช่นกัน เช่นหากไปหาปลา จับปลาได้ มองซ้ายขวาไม่มีคนมองตน ก็กัดกินปลาเป็นๆ เลย แต่โดยส่วนใหญ่ มักได้ยินเรื่องเล่าว่า ผีเป้า มักออกหากินตอนกลางคืน คงเป็นเพราะว่า ปลอดคน กินได้ถนัด

คนที่เป็นเป้า ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่มีใครไปเห็นจะจะ ตอนที่กำลังกินสัตว์เป็นๆ   ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากมีคนบังเอิญไปเห็นและรู้เข้าว่าใครเป็นผีเป้า ผีเป้านั้น  ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้  กลัวจะอับอาย ก็อาจจะพูดต่อรอง ขอร้อง ให้ของแลกเปลี่ยน หรือไม่ ก็บอกว่า หากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เอ็งจะชิบหาย ซึ่งผีเป้ามีอาคมอยู่แล้ว การใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่เห็น จึงยากจะมีใครนำมาเปิดเผยต่อ

ผีเป้า เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

ในหนัง มักทำให้ปอบกินของสดๆ กินไก่สด เป็นต้น ความจริงแล้ว ผีที่กินแบบนั้น ไม่ใช่ผีปอบหรอก แต่เป็นผีเป้า  

 
 
สาธุการบทความนี้ : 623 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  07 มิ.ย. 2550 เวลา 08:42:04  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่14) ผีโพง  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีโพง เป็นผีประเภทเดียวกับผีเป้า ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบเห็ดแสง

ว่านชนิดนี้ ผู้เรียนอาคม มักปลูกไว้ข้างรั้วบ้าน สมัยก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนอาคมกันอยู่แล้ว การปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และว่านนี้ ก็จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ หากนำมาเข้ายา ก็เป็นยา หากนำมาเข้าพิธี ก็เป็นมวลสารกายสิทธิ์

ว่านชนิดนี้ เมื่อเข้าพิธีแล้ว มีความเป็นกายสิทธิ์อะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนคนกลายเป็นผีโพงได้ ก็เกิดจากรักษาข้อกำหนดไม่ได้ หรือภาษาอีสานเรียก ผิดข้อคะลำ ทำให้ตนควบคุมมวลสารกายสิทธิ์นั้นไม่ได้ สุดท้าย ตกอยู่ภายใต้อำนาจมวลสารกายสิทธิ์นั้น และกลายเป็น ผีโพง ไปในที่สุด

ผีโพง ชอบกินของสดคาว แบบเดียวกับผีเป้า แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ผีโพง จะมีแสงเรืองๆ บริเวณปากหรือไม่ก็ปลายจมูก (เข้าใจว่า น่าจะเป็นแสงจากว่านซึ่งผีโพงอมติดปากมา) ผีโพง ชอบแอบออกหากินตอนกลางคืน จับกบจับเขียดกิน บางครั้ง ผีโพง ก็ดูดกินเพียงยางคาวของกบเขียด หรือมันกินแบบไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งหากไปทุ่งนาในวันต่อมา เห็น ตามคันนา มีซากกบเขียดนอนตายอยู่หลายตัว นั่นแสดงว่า ถูกผีโพงมาดูดเลียกินแล้ว

ผีโพง โดยมากเป็นชาย อาจเป็นเพราะว่า การเรียนคุณไสยชนิดนี้ เหมาะสำหรับผู้ชาย ก็เป็นได้

คนที่เป็นผีโพง ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่มีใครไปเห็นตอนที่กำลังกินสัตว์เป็นๆ ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากมีคนบังเอิญไปเห็นและรู้เข้าว่าใครเป็นผีโพงแล้ว    ผีโพงนั้น  ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้ เพราะเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ก็อาจจะเจรจาต่อรอง ขอร้อง ให้ของแลกเปลี่ยน หรือไม่ ก็บอกว่า หากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เอ็งจะชิบหาย ซึ่งผีโพงมีอาคมอยู่แล้ว การใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่เห็น จึงยากจะมีใครนำมาเปิดเผยต่อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 840 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  25 มิ.ย. 2550 เวลา 14:28:35  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่16) ผีเผด (ผีเปรต)  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
สมาชิกภาพ : สมาชิกชมรมฯ
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3,640
ให้สาธุการ : 8,145
รับสาธุการ : 5,668,280
รวม: 5,676,425 สาธุการ

 
ผีเผด คือผีคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดในภพภูมิแห่งเปรต หรือที่เรียกว่า เปรตวิสัย

ผีเผด เกิดจากผลของกรรมชั่ว ก็มี เกิดจากเศษผลของกรรมชั่วมาก ก็มี
ที่ว่าเกิดจากผลของกรรมชั่วนั้น หมายถึงทำกรรมนั้นแล้ว เกิดเป็นผีเผดโดยตรง... ซึ่งมีบาปกรรมหลายอย่าง หลายประเด็น จนแทบนับไม่ถ้วน สามารถทำให้ผู้ทำ กลายเป็นผีเผดได้ เช่น
ด่าพ่อแม่, ทุบตีพ่อแม่
ยักยอกทรัพย์
กินของวัด, กินของสงฆ์
ฯลฯ


ที่ว่าเกิดจากผลของกรรมชั่วมากนั้น หมายถึงทำกรรมนั้นแล้ว ไปตกนรกก่อน แต่ผลกรรมนั้นยังไม่หมด ยังเหลือเศษอีก ก็มาเกิดเป็นผีเผด รับกรรมต่อ (หมดกรรมจากเปรต ก็อาจไปรับเศษกรรมเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไปรับเศษกรรมในมนุษย์ต่อ) ... ซึ่งมีบาปกรรมหลายอย่าง หลายประเด็น จนแทบนับไม่ถ้วน สามารถทำให้ผู้ทำ รับเศษกรรมกลายเป็นผีเผดได้ เช่น
ปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์
ฉ้อฉล โกงกิน
ทรมานสัตว์ เช่น ชนไก่ เป็นต้น
ด่าพ่อแม่, ทุบตีพ่อแม่
ยักยอกทรัพย์
กินของวัด, กินของสงฆ์
ฯลฯ

     หากจะว่าถึงมูลกิเลส ที่ทำให้เป็นเผด แล้ว ก็คือ กิเลสที่เรียกว่า โลภะ หรือ ความละโมบโลภมาก นั่นเอง เมื่อมีกิเลสตัวนี้เจือในบาปกรรมใดๆ ก็ตาม ความเป็นเปรต ก็จะเจืออยู่ในผลกรรมนั้นๆ

     โดยปกติแล้ว ผีเผดเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเปรตวิสัย หรือแดนเปรต ซึ่งอยู่คนละมิติกับแดนมนุษย์แต่ก็อยู่ในโลกใบเดียวกันนี้ ซึ่งอาจจะมีบางครั้ง ณ จุดเวลาหนึ่ง สถานที่หนึ่ง พอดีว่าความถี่มันกลืนกันพอดี หรืออาจเรียกมิติเปิดก็ได้ ก็อาจทำให้คนเรามองเห็นผีเผดได้

     แต่ในบางกรณี ผีเผดอาจใช้อำนาจจิตตน ปรากฏกายให้คนเห็น ก็ได้ ว่ากันว่า หากผีเผด ปรากฏกายให้เห็น แสดงว่า เขาต้องการมาขอส่วนบุญ ผู้พบเห็นควรทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเจาะจงเปรตตนนั้น

     ผีเผด เท่าที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราว โดยมากจะพบเห็นตามบริเวณวัด อาจเป็นเพราะว่าวัดเป็นสถานที่ที่ผีเผดจะหาอาหารได้ง่ายก็เป็นได้

    ความจริงแล้ว ผีเผด จะพยายายามไปในทุกๆ ที่ ที่หวังว่าจะได้อาหาร หวังว่าจะได้ส่วนบุญ หากพวกเขาทราบข่าวว่า มีทำบุญที่ไหน มีคนจะอุทิศส่วนบุญให้เปรตที่ไหน พวกเขาจะรีบวิ่งไปรอคอยยื้อแย่งอาหารหรือส่วนบุญ  พวกผีเผด จะหูไว ตาไวมาก หมายถึงว่า ได้ข่าวเร็วมาก พอได้ข่าวปุ๊บ ก็รีบไปเลย จะได้ไม่ได้ อีกเรื่องหนึ่ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 539 ครั้ง
ให้สาธุการบทความนี้
 
 
  12 ก.ค. 2550 เวลา 12:52:00  
    homepage    offline  ติดต่อหลังเวที  ติดต่อโดยเมล์ ตอบอ้างอิง  
 
  ปราร้านอกไห   ตอบเต็มรูปแบบ || Quick Reply  
  หน้า: 1 2

   

Creative Commons License
ผีแห่งอีสาน ตำนานแห่งความเร้นลับ --- วิถีชีวิตชาวอีสาน (ปลาร้านอกไห --- อีสานจุฬาฯ)