ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
โมโหโทโสนี้พาโตตกต่ำ ให้ค่อยคึดปากต้านคำค้อยให้ม่วนหู แปลว่า โมโหโทโส พาตนตกต่ำ ขอให้ค่อยพูดค่อยจา กล่าวคำที่ไพเราะ หมายถึง มีปัญหาขัดแย้ง ควรพูดจากันด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์รุนแรง


  ค้นหาสาธุการ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1 2  
  โพสต์โดย   23) น้ำตานกจิ๊บน้อย  
  ภาส    คห.ที่0) น้ำตานกจิ๊บน้อย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
   พี่น้องเอ้ย นิทานเรื่องนี้ ข่อยได้ฟังก่อนซูคืนๆ ตอนข่อยเป็นเด็กน้อย ย่าข่อยเว้าไห้ฟังซูคืน แต่ว่ากะบ่ฮู้ว่าซื่อเรื่องมันเป็นจั่งได๋ ข่อยขอเอิ้นว่า "น้ำตานกจิ๊บน้อย"กะเเล้วกัน...

   **** นกจอกน้อยผัวเมียทั้งคู่ อาศัยอยู่คางพระฤาษี มาหลายปีคักแล้ว กะเลยแผ้วย้อนผัวซั่นแล้ว..ว..ว.***

    นกจิ๊บน้อยผัวเมียทั้งคู่ อาศัยอยู่คางพระฤาษี มีลูกนำกัน 4-5 โต ผูเป็นแม่กะฮักซูคน ลางมื้อแม่กะไปหาหนอนมาซูลูกกิน ลางมื้อผัวกะไปหาหนอนซูลูกกิน สลับคับเค้ากันไป จากวันเป็นเดือน ทางผัวเผิ่นมื้อนี่กะไปหาแนวกินแนวอยากมาให่ แต่ว่าเผิ่นไปเห็นดอกบัวริมสระ เผิ่นเลยไปตอดกินเกสรบัว จนลืมเวลา จนว่าค่ำดอกบัวกะเลยหุบเอาเผิ่น เมือบ้านกะบ่ได้ ทางเมียกะเป๋จ่มเป้ด ว่าไปทางได๋น้อ เผิ่นคือบ่เคยเถลไถลจั่งซี่ เทิงเว้า เทิงจ่ม เทิงไห้ กระซิกๆๆๆ (ตาหลูโตนแท้นอ)


    เช้ามาดอกบัวกะบานออก นกจิ๊บผัวฟ้าวบินกลับเมือบ้าน ทางเมียเห็นกะเทิงไห้เทิงด่า เทิงจ่ม พร่ำรำพันต่างๆนาๆ ด่าบ่เซาจั๊กเทื่อ ว่าผัวไปหาหญิงอื่นแน่ๆ กลิ่นผูสาวหอมติดตัวขนาดนี้  ผัวจะแก้ตัวยังไงก้ไม่ฟังฤาษีรำคาญเลยไล่ให้ไปทำรังอยู่ที่อื่น สองผัวเมียเลยพาลูกพาเต้าบินไปสร้างรังอยู่ป่าแห่งหนึ่ง ตอนสร้างฮังเมียกะไห่บ่เซา เมียเลยออกปากว่าวันนี้จะไปหาอาหารมาเอง ผัวเลยกล่าวขอดทษและจะไปหาอาหารเองเป็นการแก้ตัว
   บินไปสักพักก้นึกได้ว่าเกสรบัวมันอร่อยจะเอาไปฝากลูกฝากเมีย เลยบินไปที่ดอกบัว อนิจจาพี่น้องเอย... ดอกบัวเสือกหุบเข้าอีกกลับบ่ได้ ทางเมียกะได้แต่ให้แต่ฮ้องให้โฮๆๆ ผัวคงหลงเมียน้อยไปเสียแล้ว


   รุ่งขึ้นนกตัวผัวก็บินกลับมา แต่อนิจจา น่าหลูโตน ไปไหม้ป่าไหม้รังหมดแล้ว นกตัวเมียนั่งร้องไห้บนตอไม้ ผัวบินไปถาม นกน้อยตัวเมียจึงพร่ำและอธิษฐานว่า "สาธุ เกิดมาซาตินี้จั่งแม่นลูกลำบากหลาย มีผัวผัวกะบ่ฮัก ผูซายมันเจ้าซู้ หากซาติหน้ามีจริงข่อยสิบ่เว้านำผูซายอีกเลย ฮือ ฮือๆๆๆ" น้ำตานกไหลริน ตาบวมตาโป เว้าจบ นางนกน้อยกะบินเข้ากองไฟไปตายนำลูก ทางผัวได้แต่อึ้ง และอธิษฐานว่า บ่เว้านำซายกะซ่างขอไห้เป็นคู่กันทุกชาติ แล้วกะบินเข้ากองไฟตายด้วยกัน...........

   ตั้งแต่นั้นมานิทานเรื่องนี้ก็ถูกเล่าต่อๆๆมา จนถึงยุคต่างๆ นกทั้งคู่ก็ได้เกิดเป็นคนนางนกน้อยก็ได้เกิดเป็นนางจันทจร นกตัวผัว ก็ได้เกิดเป็นท้าววรกิจ พ่อของนางจันทจร กลุ้มมากที่ลูกสาวไม่พูดกับผู้ชายเลย แม้กะทั่งพ่อของตัวเอง พูดแต่กับแม่ พอถึงยามมีคู่  พ่อก็ไห้หาชายจากเมืองต่างๆ มาพูดด้วย หากนางพูดกับใครคนนั้นจะได้นางจันทจรเป็นเมีย แต่จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี ก็ไม่มีชายใดทำให้นางพูดได้
     จนถึงท้าววรกิจ ท้าววรกิจก็เอ่ยเล่านิทานเรื่อง น้ำตานกจิ๊บน้อย ให้นางจันทจรฟัง ท้าววรกิจก็เล่าไปๆ จนกระทั่งถึงตอนจบ ท้าวฯกล่าวว่า นกโตผูบินเข้ากองไฟก่อนนกตัวเมีย นางจันทจร จึงพูดออกมาคัดค้านทันที ว่า "บ่แม่น"ผู้คนที่ฟังอยู่นอกห้องก็โห่ๆๆๆๆ ที่นางจันทจรพูดกับผู้ชายแล้ว ทั้งคู่อมยิ้มแล้วเดินออกมา สู่พิธีแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่....


นี่แหละเผิ่นว่า ซิ่นสองต่อน
- คนเฮาควรมีเหตุมีผล เข้าใจซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นในคู่ของตน

ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมอีสาน ภาส ศิษย์น้องเล็ก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 2134 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 2132 ครั้ง
 
 
  18 ม.ค. 2551 เวลา 09:23:13  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   22) หูดสามเปา  
  ภาส    คห.ที่0) หูดสามเปา      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
      
                              
   หูดสามเปา


          บักหูดสามเปาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง  มีแต่ตุ่มเต็มโต   ขี้คร้านหลาย กินแล้วกะมีแต่นอน  พ่อกับแม่เลยให้ไปอยู่วัดแห่งหนึ่งกับยาคู
  ยาคูกะเลยเอาเม็ดแตงโมให้บักหูดสามเปาไปปลูก   และบอกว่าให้ไปรดน้ำทุกวัน  ความขี้คร้านของมันบ่ตักน้ำหด แต่ไปเยี่ยว(ฉี่) รดทุกมื้อ ๆ
  
    จนบักโมเติบใหญ่  พอบักโมสุกก็เลยเอาไปถวายพระยา  พระยามีลูกสาวผู้หนึ่งงามขนาด ชื่อ นางลุน  ลูกสาวพระยากินบักโมแล้วเกิดมีลูก  พระยาถามลูกว่ามีลูก  
นำไผ  ลูกสาวกะบอกว่าไม่รู้  พระยาเลยตีฆ้องร้องป่าวว่าให้คนเอากล้วยมาคนละหนึ่งหน่วย  ถ้านางเอากล้วยนำผู้ได๋ผู้นั่นสิเป็นพ่อของลูกในท้อง  

      ส่วนลูกสาวพระยาไผ๋ยื่นให้ก็ไม่เอาจนว่ามาฮอดบักหูดสามเปาเด่กล้วยให้  นางลุนก็เอาปั๊บ  พระยาเห็นอย่างนั้นก็โกรธมากหลาย เลยไล่บักหูดสามเปา
กับนางลุนหนีเข้าไปอยู่ในป่า   พร้อมกับมีดดวงหนึ่ง  เสียมดวงหนึ่งบักจกดวงหนึ่ง   เอามีดตัดต้นไม้ทำที่อยู่ นางลุนก็ไม่พูดด้วยสักที ทำอย่างไรก็ไม่พูด นานๆไปก็พูดเอง (บ่ฮู้ว่าเป็นหยัง)????
    
       ต่อมาเมียก็เลยบอกให้ไปถางป่าจะปลูกผักปลูกหญ้า   ปรากฏว่าถางต้นไม้ไว้แล้วยามมื้อเช้าต้นไม้ก็หายหมด ฟันอีกหลายครั้งก็เป็นเหมือนเดิม บักหูดสามเปาก็เลยแอบดูจอบเบิ่ง   พอแต่ตะเว็นตกดินกะมีลิงโตหนึ่งถือฆ้องเดินมาพอแต่ตีฆ้องต้นไม้ลุกพึบขึ้นมา บักหูดสามเปาเห็น เลยแล่นออกไปจับลิง   ทำท่าสิฆ่าลิง   ลิงกะเลยฮ้องขอชีวิตไว้   บักหูดสามเปาก็เลยว่ามึงเป็นหยังจังเฮ็ดจังซี่  
กูสิปลูกบักแตงบักโมไว้ให้เมียกูกิน   ลิงกะเลยว่าฆ้องนี้มันเป็นฆ้องวิเศษ    บักหูดสามเปากะเลยว่ามันวิเศษจังได๋ลิงบอกว่าตีเป็นคนงามกะได้
ตีเป็นผู้เฒ่ากะได้  ตีเอาบ้านเอาเมืองกะได้  บักหูดสามเปาก็เลยลองตีดู  ตีให้หูดกูหายกะนา   พอแต่ตีฆ้องหูดที่มีอยู่ก็หาย

      เอาตีให้กูผู้เป็นผู้งาม ๆ  ได้บ่ได้ ว่าแล้วเลากะเลยตีฆ้องให้เป็นผู้บ่าวงาม ๆแล้วลิงกะเลยเอาฆ้องให้ พอแต่ได้ฆ้องแล้วบักหูดกะเลยกลับบ้านไปหาเมีย
เรียกเมีย   เมียก็เลยว่าอย่ามาเอิ้นข้อย ข้อยมีผัวแล้ว   ข้อยลุโตนผัวข้อย   บักหูดสามเปากะเลยว่าข้อยนี่แหละผัวเจ้า  ข้อยบ่เชื่อเอ้า...
.ข้อยสิตีฆ้องให้เป็นหูดคือเก่าเด้อ   พออธิฐานแล้วกะเลยตีฆ้องให้เป็นหูดเหมือนเก่า   เมียก็เลยเชื่อ  แล้วกะเลยตีให้กลับเป็นคนงามเหมือนเดิม
  ต่อจากนั้นแล้วก็เลยตีเอาบ้านเอาเมืองอื่นๆอย่างมีความสุข
          
       กล่าวถึงพระยา   สงสัยว่าหูดสามเปามันตายหรือยัง   เลยบอกเสนาอำมาตย์ไปเเอบดู    พอแต่เสนาไปดูเลยกลับมา
บอกพระยาว่าบักหูดสามเปารูปงานกว่าเก่า  รูปงามพระยาเลยไปดูให้เห็นกับตา    ก็เลยให้บักหูดสามเปาตีฆ้องให้ตัวเองเป็นหนุ่ม แล้วกลับบ้านกลับเมือง  พอแต่เมียเห็นพระยาก็ไม่เชื่อว่าเป็นผัวเจ้าของ   เลยบอกว่ามีฆ้องศักดิ์สิทธิ์อยู่กับ หูดสามเปา  
    
    เมียกะเลยว่าข้อยอยากเป็นสาวงามเหมือนกัน ฮิๆๆ   ว่าแล้วบักหูดสามเปาก็เลยตีฆ้อง   เมียพระยาก็เลยกลับเป็นคนงามคนสวยเริ่ดประเสริฐศรี  
ปรากฏว่าบ้านเมืองนั้นมีแต่คนงาม ๆ  มีแต่หนุ่ม  ๆ สาว ๆ สวยๆ เริดๆ หมดทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะหูดสามเปาตีฆ้อง ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างความสุขแฮบปี้แอนดิ้ง......จบจ้อย

นี่แหละเผิ่นว่า
เบิ่งคนอย่างเบิ่งแต่เพียงภายนอก เบิ่งจิตใจเขานำ

บ๋า.......... ฆ้องนั้นอยู่ไสหนอ ข่อยสิตีให้คนอีสานอยู่ดีกินดีตลอดเบิ้ดซาติ เรียนกะไห่ได้เกรด 4 เบิดซูวิชา


พวกเจ้าเด๋ ได้ฆ้องตีตีอธิษฐานอีหยัง มาเว้าสู่ฟังแหน่เด้อ...........    


ภาส ศิษย์พี่      
    
ติชมด้านล่าง หรือที่ http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1042 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 1041 ครั้ง
 
 
  20 ธ.ค. 2550 เวลา 10:14:06  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) นางสิบสอง  
  ภาส    คห.ที่0) นางสิบสอง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                                           นางสิบสอง
    นางสิบสอง หรือ พระรถเมรี เนื้อเรื่องมีว่า...

    เศรษฐีผัวเมียชื่อ นนท์และพราหมณี ไม่มีลูกไว้สืบสกุล จึงบนบานศาลกล่าว ขอลูกจากเทวดา เทวดาก็ใจปล้ำซะด้วยซิ ให้ลูกแก่ นางพราหมณี ถึง 12 คน คนสุดท้องชื่อ นางเภา เป็นหญิงล้วน พอหลายปีผ่านปี จากความรวยก็กลายเป็นความจน ครอบครัวเศรษฐีก็ไม่มีอันจะกิน จึงเอาลูกสาวทั้ง 12 คน ไปปล่อยป่า

    พอดีมียักษ์ใจดีชื่อ สราธตรา เอาไปเลี้ยง พอนางทั้ง 12 โตขึ้น รู้ว่านางสราธตราเป็นยักษ์ ก็หนีออกจากเมืองยักษ์ไป และโชคดีที่เจอเนื้อคู่ทั้ง12 ได้ผัวคนเดียวกัน คือท้าวรถสิทธิ์ แห่งเมืองขีดขิน นางยักษ์รู้เข้าก็ตามไปแปลงกายเป็นสาวสวย ขอเป็นเมียคนที่ 13 ด้วยคน นางเป่ามนต์ให้ท้าวรถสิทธิ์หลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น นางยักษ์ก็จับนางสิบสอง ไปขังไว้ในถ้ำหลังวัง แล้วควักตาออกมา โชคดีของนางเภาที่ความมืดพลางตาทำให้เหลือตาเดียว นางยักษ์ก็ส่งไปให้เมรีที่เมืองยักษ์ของตน นางทั้ง 12 มี ลูกก็ตายหมด ก็ยกเว้นนางเภาอีกนั่นแหละ (ก็เป็นนางเอกนี่) ที่ลูกไม่ตาย

      หลายปีต่อมา ลูกของนางเภาก็เติบโตขึ้น มีชื่อว่ารถเสน นางยักษ์รู้ก็ทำทีเป็นป่วยจะให้รถเสนไปเอายาที่เมืองของตนให้ ท้าวรถสิทธิ์ก็เห็นด้วย รถเสนจึงไปเมืองนางยักษ์โดยถือสาส์นที่นางยักษ์ที่เขียนให้เมรี ว่าให้กินรถเสนทันทีที่ไปถึง แต่ฤาษีไปแปลงเป็น ให้แต่งงานทันทีที่ไปถึง

    พอถึงเมืองยักษ์นางเมรีก้ได้แต่งงานทันที รถเสนได้มอมเหล้านางเมรีจนเมามายไร้สติ จึงแอบไปถ้ำหลังเมืองยักษ์ พบดวงตาของแม่แลพป้าๆจึงห่อมา และของวิเศาอีกมากมาย จึงขี่ม้าเหาะออกจากเมืองยักษ์ทันที นางเมรีตื่นขึ้นมาไม่เห็นผัวจึงออกตามหา จนไปขาดใจตายที่ทะเลน้ำกรดที่ รถเสนเนรมิตไว้ ก่อนตายนางอธิษฐานว่า "ชาตินี้น้องตามพี่มา พี่ไม่เหลียวแลน้อง หากชาติหน้ามีจริง ขอให้พี่ตามหาน้องบ้าง"

   รถเสนนำดวงตาไปใส่คืนให้แม่และป้าๆดังเดิม แล้วใช้ของวิเศษฆ่านางยักษ์สารธตราตาย มนต์ที่เป่าให้ท้าวรถสิทธิ์ลุ่มหลงก็หายไป แล้วนางสิบสองก็บอกให้รถเสนไปดูใจเมรี แต่สายไปเสียแล้ว รถเสนจึงขาดใจตายตาม เหล่านางสิบสองก็ตรอมใจตายปีละคนสองคน เฮ่อ...ฟังแล้วน่าเศร้านักชีวิตคนเราเป็นอย่างนี้ก็มีเหรอ มีแต่วิบากกรรม แล้วคุณล่ะ ทำดีแต่ประเทศชาติหรือยัง หยุดทะเลาะเบาะแว้งกันเสียเภอะ  หันหน้าคุยกันดีๆ อย่าทำร้ายกันเลย ขอให้ประเทศไทยเป็นรูปขวานอย่างนี้ตลอดไปเถิด  สาธุ....


ภาส ศิษย์พี่  ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นไทย    
ติชมด้านล่าง หรือที่ http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 887 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 884 ครั้ง
 
 
  06 ก.ย. 2550 เวลา 12:48:15  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   80) สีธน มโนราห์  
  ภาส    คห.ที่0) สีธน มโนราห์      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
สีธนมโนราห์ สีธามโนรน คำผู้เฒ่าเพิ่นว่า ^^

ภาคต่อของ "นางสิบสอง" ว่าด้วยเรื่องคำสบถของนางเมรีที่มีต่อพระรถเสน ตอนท้ายเรื่องว่า ชาตินี้น้องตามพี่มา ชาติหน้าของให้พี่ตามน้องบ้าง เรื่องราวต่างๆจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสองพระนางได้กลับชาติมาเกิดใหม่

ท้าวอาทิตย์ครองเมืองปัญจา มีมเหสีชื่อ จันทรา ราชกุมารชื่อ สีธน(พระสุธน)คนเก่งกล้าวิชา ราชฎรอยู่ดีกินดี พืชผลบริบูรณืมิได้คลาดแคลน

อยู่มาวันหนึ่งพรานบุญ ชาวเมืองปัญญาได้เข้าไปหาล่าสัตว์ในป่า แถบสระโนดาต ได้พบกินรีพี่น้อง 7 นางกำลังเล่นน้ำอยู่จึงใช้บ่วงคล้องจับมาได้หนึ่งนางเป็นน้องนุชสุดท้อง คือ นางมโนราห์ นั่นเอง ฝ่ายพี่ๆตกใจกลัวบินหนีกระเจิงให้วุ่น หน้าตาของนางสวยสดงดงามหาใดเทียบทานได้ พรานบุญจึงไปนำถวาย พระสุธน พรานบุญได้รางวัลตอบแทนอย่างงาม มากมายมหาศาล

นางมโนราห์ได้อภิเษกกับ พระสุธน ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของประชาราษฏร ทั้งสองครองรักกันอย่างมีความสุข ทว่าความสุขนั้น อยู่ได้ไม่นาน ครั้นเมื่อเกิดมีข้าศึกโจมตีเมืองพระสุธนจึงออกไปรบนอกเมืองกับข้าศึกเป็นเวลาหลายวัน เป็นโอกาสของปุโรหิตซึ่งหวังจะให้ลูกสาวของตนขึ้นเป็นมเหสี แต่ถูกนางมโนราห์ตัดหน้า ปุโรหิตคนคดจึงคิดจะกำจัดนางมโนราห์เสียให้พ้นๆทางลูกสาว

ปุโรหิตเท็จทูลต่อท้าวอาทิตย์ ว่านางมโนราห์เป็นกาลีบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองเกิดข้าศึก ควรทำพิธีบูชายัญเสียในเร็ววัน ท้าวอาทิตย์แม้ไม่เต็มพระทัยที่จำหักหาญน้ำใจลูกของตน แต่ก้ทนเห็นราษฎรเดือดร้อนไม่ได้จึงตัดสินใจบูชายัญนางมโนราห์อย่างเร่งด่วน

นางมโนราห์นั้นก็หาได้ปฏิเสธไม่ ยินยอมที่จะทำการบูชายัญด้วยจิตใจที่หมองหม่น หากแต่นางได้ขอสวมปีกและหางร่ายรำในพิธีรอบกองไฟ 3 รอบ แต่ครั้นพอรอบที่ 3 นางกลับตัดสินใจบินหนีมุ่งหน้าไปเมืองไกรลาสที่อยู่ของตน ท่ามกลางความตกตะลึของปุโรหิต ท้าวอาทิตย์และพระมเหสีอย่างยิ่ง

ระหว่างทางนั้น นางได้แวะมากราบพระฤๅษีกัสสปในป่า และฝากผ้ากัมพล และพระธำมรงค์ไว้ให้พระสุธน และได้ฝากความไปถึงพระสุธนว่า หากพระสุธนตามมา ขอให้มอบยาผงนี้ให้แก่พระสุธน และให้บอกวิธีการติดตาม
ไปอย่างปลอดภัยให้ไว้ดังนี้


1. ถ้าพระสุธนเดินทางไปถึงป่าไม้มีพิษให้จับลูกลิงไปตัวหนึ่ง เมื่อจะเสวยผลไม้ใดต้องปล่อยให้ลูกลิงกินก่อนแล้วจึงเสวย

2. เมื่อถึงป่าหวายใหญ่ ให้เอาผ้ากัมพลคลุมตัวให้แน่น นกหัสดีลิงค์จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อกวางก็จะโฉบลงมาคาบตัวไป พอถึงรังนกก็ให้ตบมือ นกตกใจบินหนีไป

3. ถ้าพระสุธนเดินทางต่อไป พบพญาช้างสองตัวต่อสู้กันขวางทางอยู่
ให้เอายาผงทาทั่วตัว แล้วเดินลอดไประหว่างขาช้าง


4. เมื่อเดินทางต่อไปจะพบภูเขาชนกัน ก็ให้ใช้ยาผงทาตัวแล้วเดินไประหว่างช่องเขา


5. เดินทางต่อไปจะพบยักษ์สูงเจ็ดชั่วลำตาลยืนขวางทางให้ใช้ยาผงโรยลูกศรแล้วยิงให้ถูกอกยักษ์ เมื่อยักษ์ล้มให้เดินไปทาหัวของยักษ์ ต่อไปจนถึงป่าทึบไม่มีทางออก ให้ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ในรังนกยักษ์ และเมื่อนกยักษ์บินออกหากินก็ให้ซ่อนตัวอยู่ในปีกของนก พอนกลงหากินก็รีบลงเพราะที่นั่นจะเป็นเขาไกรลาสจากนั้นนางก็ค่อยบินกลับเมือง แล้วทำพิธีชำระกลิ่นคาวของมนุษย์



พระสุธนเมื่อกลับพระนคร พอรู้ว่านางมโนห์ราบินหนีไปแล้วก็เสียพระทัยมาก รีบทูลลาพระราชบิดาและพระราชมารดาเพื่อติดตามนางมโนห์รา พระสุธนเดินทาง ไปพบพระฤๅษีกัสสปและได้ทราบความที่นางฝากไว้ไม่มีผิด


พระสุธนมิได้ย่อท้อ ออกเดินทางและปฎิบัติตามที่นางบอกไว้ทุกประการ พระสุธนเดินทางเช่นนี้เป็นเวลาถึงเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็มาถึงเขาไกรลาส พระสุธนจึงซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมสระน้ำ ไม่ช้าก็มีนางกินรีบริวารถือหม้อทองคำมาตักน้ำที่สระเพื่อจะนำไปอาบแก่นางมโนราห์ พอถึงคนสุดท้ายพระสุธนก็บันดาลให้นางยกหม้อทองคำไม่ขึ้น แล้วออกมาช่วยยกให้และได้แอบใส่พระธำรงค์ลงในหม้อน้ำนั้น
  


ครั้นเมื่อนางกินรีบริวารสรงน้ำให้นางมโนห์ราถึงนางกินรีคนสุดท้ายรดน้ำเหนือศีรษะนางมโนห์รา พระธำรงค์ก็หล่นลงมากับสายน้ำ นางมโนห์รายกมือขึ้นลูบหน้าแหวนธำรงค์ก็สวมเข้าที่นิ้วก้อยพอดี นางทราบทันทีว่าพระสุธนตามมาถึงแล้ว  นางมโนห์ราก็นำความทูลพระบิดาและพระมารดา ท้าวทุมราชจึงให้พระสุธนมาเข้าเฝ้าและทดสอบโดยให้พระธิดาทั้งเจ็ดพระองค์แต่งกายงดงามเหมือนกันและมานั่งสลับกันอยู่ ท้าวทุมราชให้พระสุธนชี้นางมโนห์ราให้ถูกต้อง ธิดาทั้งเจ็ดองค์เหมือนกันมากจนยากที่จะชี้ตัวได้ พระสุธนจึงตั้งสัจจาธิษฐานว่า ถ้าในชาติก่อนไม่เคยคบหากับภรรยาของผู้อื่นมีจิตใจมั่นคงที่นางคนเดียวแล้ว ขอให้จำนางได้ พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นแมลงวันทองบินรอบศีรษะนางมโนห์ราอยู่อย่างนั้น


พระสุธนก็ชี้นางมโนห์ราได้ถูก ท้าวทุมราชจึงยอมรับด้วยความยินดีพร้อมจัดงานอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์ราอย่างยิ่งใหญ่ ต่อมาไม่นาน พระสุธนก็ขอลาท้าวทุมราชพานางมโนห์รากลับไปเมืองปัญจา ท้าวอาทิตย และพระนางจันทราดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงจัดงานเฉลิมฉลองการกลับมาของทั้งสองท่ามกลางความปลื้มปิติยินดีของชาวเมือง ทั้งครองรักกันอย่างมีความสุข...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 884 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 883 ครั้ง
 
 
  23 มิ.ย. 2556 เวลา 23:03:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) อุทัยเทวี  
  ภาส    คห.ที่0) อุทัยเทวี      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                                      อุทัยเทวี     


         ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคหนีมาเที่ยวเมืองมนุษย์และพบรักกับรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไม้ริมสระน้ำ ธิดาพญานาคตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อไข่และพ่นพิษคุ้มครองไว้ก่อนแล้วลงกลับไปเมืองบาดาล  บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็นจึง กินไข่และตายด้วยพิษพญานาค พอดีกับไข่ฟักเป็นเด็กหญิงซึ่งคิดว่านางคางคกเป็นแม่ของตน  จึงอาศัยอยู่ในซากคางคกเน่าๆ



     ตายายสองผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้ว่าอุทัยเทวี และอุทัยเทวีได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ซึ่งก่อนแต่งตากับยาก็ได้มีข้อกำหนดว่า ต้องสร้างสะพานทองตั้งแต่วัง จนถึงบ้านตายยายแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อุทัยเทวีจึงเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวง มารดาของเจ้าชายไม่ค่อยชอบอุทัยเทวีนัก จึงหาทางให้ลูกของตนเป็นของคนอื่นไป ซึ่งนั่นคือ เจ้าชายต้องไปแต่งงานกับเจ้าหญิงฉันทนา ซึ่งอุทัยเทวีก็ตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาคิดกำจัดอุทัยเทวีโดยฆ่านางอุทัยเทวี แต่พ่อของอุทัยเทวี ช่วยไว้ จึงบอกว่าให้รอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง



     ต่อมาไม่นานนางฉันทนากลุ้มใจเรื่องผีนางอุทัยเทวีจะมาหลอก หัวจึงหงอก ผมที่เคนดำกลับขาวไปทุกเส้น จึงเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ต่อมานางอุทัยเทวีแปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมแก่ๆผ่านมา ซึ่งผมดำยาวสลวยผิดกับนางฉันทนา นางฉันทนาเห็นเข้าจึง คิดว่ายายแก่คนนี้ก็มีเคร็ดลับในการบำรุงรักษาผมอย่างแน่นอน จึงให้ยายแก่เข้าไปในวัง และให้รักษาผมของตนเองให้ แต่นางอุทัยเทวีก็จะรักษาให้ แต่ต้องยอมให้ทำทุกอย่างห้ามถามอะไรทั้งสิ้น นางฉันทนาตกลง จึงนอนลงแล้วนางอุทัยเทวี ก็เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนา ออกจนหมด แล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอาปลาร้าให้หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ และห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึงคืนนางฉันทนาทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจตาย


     เจ้าชายสิทธิราช รู้ดังนั้นจึงกลับไปเมืองของตน ซึ่งก็ยังเห็นอุทัยเทวีอยู่ที่เมืองอยู่ก็ทรงโล่งใจ อุทัยเทวี ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน


                        
   ข้อคิด คติเตือนใจ


** คนเราหมั่นทำความดีไว้เยอะๆ เป็นสมบัติไว้ใช้ในชาติต่อไป
** ความแค้นไม่เคยจบเคยสิ้น ฉะนั้นเราคนไทย อย่าไปมีอคติกับใคร
** ปลาร้า ยังคงความแซบอยู่ทุกยุคทุกสมัย
** คู่กันแล้วไม่คล้วกัน


ภาส ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์วัฒนะรรมความเป็นอีสาน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นอีสาน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 791 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 790 ครั้ง
 
 
  13 ก.ค. 2550 เวลา 10:53:05  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   54) ดาวไก่น้อย  
  ภาส    คห.ที่0) ดาวไก่น้อย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ดาวไก่น้อย

พระอาทิตย์ยามเย็นส่องแสงนวลสีเหลืองอ่อยใกล้ลับภูเขา  สองเฒ่าตายายกำลังกลับจากหาฝืนในป่าก็กลับกระต๊อบ  ยายก็มาหุงหาข้าวปลาอาหาร ตาก็ถือขันข้าวเปลือกไปให้อาหารแม่ไก่กับลูก 6 ตัว ที่พาลูกไปเที่ยวป่าไผ่หลังกระต๊อบทั้งวัน

ตกค่ำตายายก็จุดตะเกียงนั่งกินข้าวนอกชานซึ่งมีหลังคาคลุมอยู่  เสียงร่ำลือหนาหูว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกรดหลังหมู่บ้าน ตายายกินข้าวไปพลางปรึกษากันว่าจะฆ่าแม่ไก่ตัวนี้เสีย เพื่อไปจังหันพระ แม่ไก่ที่กำลังกกลูกนอนอยู่ได้ยินก็บอกกับลูกว่า “ลูกเอ้ย....มื้ออื่นแม่จะต้องตายแล้ว แม่จะต้องตอบแทนบุญคุณที่ตายายชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ” ลุกไก่ทั้ง 6 ได้ยินดังนั้นก็ร้องให้ซบอกแม่แน่นขึ้น แม่ไก่ก็กระซิก สะอื้นสั่งเสียลูกต่อไปว่า “ลูกๆทั้ง 6 คนต้องรักกัน สามัคคีกัน น้องต้องเชื่อฟังพี่ แม่ตายแล้วก็อย่าพากันไปเล่นไกลกระท่อม เดี๋ยวจะพลัดหลงทาง” นางแม่ไก่ กอดลูกน้อยนอนร้องไห้ทั้งคืน จนหลับไปกลางดึกด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่คราบน้ำตานั้นยังไม่จางหายไปจากเบ้าตาของแม่ลูก ลูกไก่บางตัวยังไม่หลับสนิทยังสะอื้นกระซิกๆ ยันสว่าง

เช้าวันนี้ เป็นวันนี้แปลกและเศร้าสลด แม่ไก่ไม่ได้พาลูกไปออกหากินเช่นเคย นางกอดลูกรอความตายหน้ากระท่อม ถึงแม้นางอยากตายเพื่อตอบแทนบุญคุณตายาย แต่ก็หาอยากจากลูกในอกไปไม่ นางกอดลูกอยู่อย่างนั้น รอความตายอย่างน่าสงสาร บางทีอยากอยากจะพาลูกหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่กลัวว่าลูกจะอยู่อย่างลำบากระหกระเหินเร่ร่อน ตากับยายเดินลงกระท่อมาแล้ว ตายายตรงรี่เข้าแม่ไก่ทันที ตามปกติการจับไก่ที่ไม่ค่อยเชื่องต้องใช้คนหลายคนวิ่งไล่กันพัลวัน พอจนมุมก็จับคอแล้วรวบขา เอาหัวไก่ห้อยต่องแต่งในกำมือคนจับ แต่แม่ไก่ตัวนี้ยอมให้ตาอุ้มไปโดยดี ลูกไก่ได้ออกจากอกแล้ว น้ำตาของทั้งสองฝ่ายต่างไหลออกจากเบ้าตาอีกครั้งและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหยุดซักที ลูกไก่วิ่งตามตามาอย่างสุดฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามตากับยายได้

แม่ไก่โดนยายถอนขนบริเวณต้นคอ นางแม่ไก่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ลูกไก่ได้แต่ร้อง เจี๊ยบๆๆๆ ยิ่งหลายตัว ยิ่งส่งเสียงหนวกหูคนฟัง แต่ความจริงแล้ว ลูกไก่เหล่านั้นกำลังร้องเรียกหาแม่ บ้างก็ร้องไห้ ร่ำรำพันถึงแม่ บางตัวอดไม่ได้ถึงกับต่อว่าด่าตากับยาย แม่ไก่ถูกถอนขนเกือบครึ่งคอ ตาก็หยิบมีดมา เพื่อจะปาดคอให้ตาย แม่ไก่หลับตาแน่นเบ้า ลูกไก่ยิ่งร้องเจี๊ยบๆๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ มีดได้ปาดเนื้อคอแม่ไก่แล้ว เลือดกำลังไหลออกมาอย่างช้าๆ ยายเอาถ้วยมารองเลือดไว้ ตาใช้ปาดไปมา สองสามครั้งเลือดก็ไหลออกมาดังเปิดก๊อกน้ำ บัดนี้แม่ไก่หมดแรง และเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือคณา ลูกตาของแม่ไก่เหลือกขึ้นบนฟ้าแล้วก็สะอึกสองทีแล้วนางแม่ไก่ก็ตายจริงๆแล้ว ลูกไก่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่ส่งเสียงเรียกแม่ด้วยความไร้เดียงสา เจี๊ยบๆๆๆ เสียงนี้ดังก้องกระท่อม...

แม่ไก่ตายแล้ว.....แม่ไก่ตายแล้วไม่รู้ว่าลูกจะอยู่อย่างไร ไม่รู้ว่าลูกทนทุกข์ทรมานเมื่อขาดแม่ ลูกไก่ร่ำไห้เรียกหาแม่ตลอดเวลา
น้ำร้อนเดือดแล้ว ยายน้ำร่างแม่ไก่ไปลวกแล้วถอนขน แม่ไก่ไม่รู้หรอกว่า ตอนแม่ถูกถอนขน มันเจ็บกระดองใจลูกผู้เห็นแม่ขนาดไหน ใจลูกอยากจะตายแทนแม่เหลือเกิน แม่จ๋า  แม่จ๋า แม่อยู่ไหน  ลูกจะตายกับแม่ แม่รอหนูนะจ๊ะ  ไม่ว่าแม่อยู่ไหน หนูจะตามไปทุกหนทุกแห่ง หนูจะไปเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติ แม้แม่จะเกิดเป็นไส้เดือนกิ้งกือ หนูก็จะไปเกิดในท้องแม่ แม้แม่จะเกิดเป็นพยาธิหนูก็จะไปเกิดในท้องแม่ ทำไม ทำไมแม่ต้องมาจากหนูไปด้วย แม่จ๋า แม่อยู่ไหน ทำไมไม่พาหนูไปอยู่ด้วย


พอถอนขนเกรียนแล้ว ยายก็จะเอาร่างนั้นไปจี่เพื่อเผาขนอ่อนที่เหลือ ทันใดนั้นเอง ลูกไก่ทั้งหมดตัดสินใจ วิ่งสุดฝีเท้ากระโดดเข้ากองไฟตายไปกับแม่......ด้วยอานิสงส์อันประเสริฐ  ทั้งหมดได้เกิดเป็นดาว............................

ภาส  ศิษย์พี่ ( ไม่รู้จะถูกใจรึเปล่า  ลองเล่าเรื่องสั้นๆให้เป็นเรื่องยาว แถมเล่าอืดอาดอีกต่างหาก )

 
 
สาธุการบทความนี้ : 787 ครั้ง
จากสมาชิก : 4 ครั้ง
จากขาจร : 783 ครั้ง
 
 
  27 ม.ค. 2552 เวลา 11:36:36  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   24) ผาแดงนางไอ่  
  ภาส    คห.ที่0) ผาแดงนางไอ่      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 


เขาว่า ผาแดงนางไอ่ เป็นตำนานบั้งไฟพญานาค แห่งเมืองหนองหาน

  ณ เมืองสุวรรณโคม มีพยาขอมครองเมืองคู่กับมเหสีชื่อนางจันทร์ มีลูกสาวหรือพระธิดานามว่า นางไอ่ หรือ นางไอ่คำ อันว่านางไอ่ของเราก็งดงามมาก สวยสุดหาใดจะเปรียบปานเชียวล่ะ ความงามของนางไอ่ลือเลื่องไปทั่ว จนไปถึงหู ท้าวผาแดง ผาแดงจึงแอบมาหา นางไอ่ที่วัง โดยผ่านทางคนใช้เป็นแม่สื่อ จนทั้งสองนั้น ได้สมัครรักใคร่กัน รักกัน และสัญญาว่าจะมาสู่ขอตามประเพณีในไม่ช้านี้

  ที่เมืองบาดาลมีพญานาคชื่อ สุทโธนา ครองเมือง มีลูกชายชื่อ ท้าวภังคี ชาติที่แล้วภังคีได้เป็นคู่กับนางไอ่ ซึ่งเป้นใบ้นางไอ่ชาติแล้วอธิษฐานว่า ชาติต่อไปไอ้ใบ้ต้องตายด้วยนางเอง...

  ด้านพยาขอม เดือนหกมาก็ได้จัดงานบุญประเพณีจุดบั้งไฟ แข่งขันว่าใครจะได้สูงกว่ากัน ตอนนั้นพยาขอมรู้แล้วว่าท้าวผาแดงจะมาสู่ขอนางไอ่ ภึงตรัสว่า หากบั้งไฟของเราสูงกว่าจะไม่ยกนางไอ่ให้ แต่ของผาแดงสูงกว่าก็จะยกนางไอ่ให้ แต่การประลองครั้งนี้ผาแดงแพ้เห็นๆ เพราะบั้งไฟแตกก่อนขึ้น ท้าวผาแดงหอบความซ้ำกลับบ้านเมือง ท้าวภังคีได้แปลงเป็นกระรอกด่อนขึ้นมาเที่ยวงานเหมือนกัน แต่นายพรานจับได้จึงนำไปให้นางไอ่ นางไอ่บอกให้เอาไปแกง ท้าวภังคีอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนอร่อยที่สุด สามารถเลี้ยงคนทั่วทั้งเมืองได้ ชาวบ้านชาวเมืองเห็นดั้งนั้นก็ยื้อแย่งกันไปกินแกงกระรอก บริวารของท้าวภังคีเห็นดังนั้นก็นำข่าวไปบอกท้าวสุทโธนา พ่อของท้าวภังคี ท้าวภังคีโกรธแค้นจึงพาบริวารของตนไปถล่มเมืองพยาขอม เมืองเริ่มถ่มถลายเรื่อยๆไล่หลังเข้ามา น้ำจะท่วมฟ้าปลาจะกินดาว อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย ท้าวผาแดงห่วงนางไอ่จึงพานางไอ่ขึ้นม้าควบหนี ฝ่าภัยอันตรายนานัปการ แต่ทว่าท้าวนาคาได้ใช้หางรัดนางไอ่ลงไปเมืองบาดาล

    ท้าวผาแดงปลอดภัยดกลับถึงบ้านของตน อธิษฐานว่าจะขอตายเพื่อไปต่อสู้เอานางไอ่กลับคืนมา ว่าแล้วผาแดงก็กลั้นใจตาย แล้วก็ไปสู้กับกองทัพนาคา ต่อสู้จนน้ำในบาดาลขุ่น พระอินทร์จึงได้ลงมาระงับศึก ให้ผีกลับเมืองผี ในนาคาลงเมืองนาคา ส่วนนางไอ่ให้รอเนื้อคู่ของตนในเมืองบาดาลต่อไป จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ นางไอ่จึงรอมาจนถึงทุกวันนี้ รอว่าใครจะเป็นคู่ครองของตน

ฮ่วย...คือจบจั่งซี่
- นี่แหละพี่น้องเอย ความรัก ดั่ง ไซอิ๋ว เขาเว้าว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ใจขื่นขม ทุกข์ระทมชั่วนิรันด์
- การอธิษฐาน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น อย่าไปอธิษฐาน ทั่วทีบทั่วแดน

ภาส ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสาน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นอีสาน...  
ติชมกระทู้ด้านล่าง หรือที่  http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 693 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 691 ครั้ง
 
 
  06 ก.พ. 2551 เวลา 09:37:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   55) ปาตาจาลา  
  ภาส    คห.ที่0) ปาตาจาลา      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ปาตาจาลา
เศรษฐีตระกูลหนึ่ง มีอยู่ 4 คน คือ พ่อ แม่ ลูกสาวชื่อ ปาตาจาลา ส่วนคนที่ 4 เป็นคนใช้ลูกสาว ชื่อจูละ และเหล่าไพร่พลบ่าว จูละนั้นเป็นคนใช้อยู่ที่นั่นตั้งแต่ปาตาจาลาเป็นเด็กแล้ว ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน พ่อกับแม่ปรึกษากันว่าจะให้ ปาตาจาลา แต่งงาน แต่ความเป็นจริงปาตาจาลานั้นได้มีความรักกับจูละมานานแล้ว (อ้าว! จูละเป็นผู้ชายหรอกเหรอ) นางไม่กล้าบอกพ่อแม่


นานวันเข้า พ่อกับแม่ก็ยิ่งรบเร้าให้นางมีครอบครัวบ่อยขึ้น นางปาตาจาจึงปรึกษากับจูละ จูละบอกให้ปาตาจาลาไปแต่งงานกับคนอื่นที่เหมาะสมกว่าเถอะ แต่นางปาตาจาลาก็ยังครองความสาวเรื่อยมา


ต่อมามีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง มาทาบทามนางปาตาจาลาเป็นเมีย พ่อแม่เลยมาบอกปาตาจาลา นางปาตาจาลาก็ไม่ยองปลงใจ พ่อแม่วิงวินอย่างไรก็ไม่ยอมท่าเดียว เลยเกิดการเฆี่ยนตีบังคับกันขึ้น นางถูกมัดมือมัดเท้าโบยให้ยอมแต่งงาน แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ยอมท่าเดียว

จูละรู้ความยิ่งต้องบอกให้นางไปแต่งกับคนที่เหมาะสมเถิด แต่นางก็ไม่ยอมท่าเดียว จูละเห็นนางปาตาจาลาเป็นหญิงที่ซื่อสัตย์ต่อความรัก จึงตกลงหนีตามกันไปในคืนนั้น...


ทั้งสองไปอยู่กระต๊อบน้อย อยู่อย่างง่ายๆตามประสายากหลังภูเขา นางปาตาจาลาไม่เคยทำอะไรก็ได้ทำ ตักน้ำ นึ่งข้าว เป่าไฟ ช่วยกันผลักกันดันให้ตัวเองและผัวอยู่รอด จนคลอดลูกออกมาคนหนึ่ง  นางจึงคิดจะพาจูละกลับบ้านเอาลูกไปให้พ่อแม่ดู แต่จูละห้ามไว้


พอลูกคนแรกโตนางก็ตั้งท้องคนที่ 2 พอใกล้กำหนดนางก็ชวนกลับไปคลอดที่บ้านพ่อกับแม่และไปอยู่ที่นั่น เพราะว่าทุกข์ยากลำบากแท้ จูละก็ไม่ยอมท่าเดียว หนีแล้วต้องหนีให้ถึงที่สุด นางจึงทำท่าจะกลับไปออกลูกอยู่บ้านคนเดียว แต่ว่าฝนตกกลางทาง จูละจึงเรียกกลับมา พอถึงกระต๊อบแล้วนางก็เจ็บท้องพอดี  ฝนตกแรงมากกระต๊อบน้อยไม่อาจต้านทานฝนได้ จูละจึงจะออกไปหาใบไม้มาซ่อมแซม จึงฝ่าฝนออกไปหา แต่ถูกงูพิษกัดตาย เพราะพิษงู



    นางปาตาจาลาเจ็บท้องจะคลอดลูก ฝนก็ตกกระหน่ำหนัก กระต๊อบเปียกฝนก็ใกล้จะพง หลังคารั่วน้ำไหลลงจ้ากๆ ผัวก็ไม่มาสักที นางจึงคลอดลูกออกมากลางดึก นางกอดลูกทั้งสองนอนตากฝนอยู่ในกระต๊อบจนฟ้าแจ้งจางปางวันใหม่ นางตัดสินใจอุ้มลูกตามหาผัว ตามป่าจนเห็นศพ นางร่ำไห้เสียใจอกแทบแตกสลาย รำพึงรำพันต่างๆนานา อกคนเป็นเมียแทบแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ นางเลยเอากิ่งไม้มาปิดบังไว้ดี จะได้ไม่เป็นเหยื่อนกกา แล้วนางก็เดินทางต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย แล้วคิดถึงชีวิตที่รันทดของนาง ที่หนีความสบายจากการเป็นลูกเศรษฐีมาตกตระกำลำบากกว่า 2 ปี ครั้นผัวตายก็ไม่มีโอกาสทำศพให้ ฮือๆๆๆ
นางเดินทางรอนแรมซัดเซพเนจร จนพบทางสว่าง นางได้บวชชีใต้เงาพระพุทธศาสนา โอ้ อนุโมทนาสาธุนำเด้อ


ชีวิตคนเราไม่เที่ยงแท้ กาลเวลาผ่านรวดเร็วนัก สิ่งไหนดีๆก็เร่งรีบทำเถิดพี่น้องเอ้ย....  
  


ภาส ศิษย์พี่
ติชมด้านล่าง หรือที่     http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 681 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 680 ครั้ง
 
 
  11 ก.พ. 2552 เวลา 09:18:03  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   14) สังข์ทอง  
  ภาส    คห.ที่0) สังข์ทอง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                                          สังข์ทอง
    ณ เมืองยศวิมล ท้าวยศวิมล ครองเมือง มีมเหสี 2 องค์ ชื่อ นางจันทร์เทวี เป็น มเหสีเอก และนางจันทราเทวี เป็นมเหสีรองมีจิตใจอิจฉาริษยานางจันทร์เทวีอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเมื่อนางจันทร์เทวีตั้งครรภ์ โหรได้ทำนายว่า ลูกจะมีบุญญาธิการมาก ทำให้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง แต่ครั้นเมื่อครบกำหนดคลอดแล้ว นางจันทร์เทวีก็ได้คลอดออกมาเป็นหอยสังข์แล้ว นางจันทราเทวี ก็ได้จ้างโหรไปทำนายให้ท้าวยศวิมลฟังว่า บุตรนั้นเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง ให้ขับไล่ออกจากวังไป ท้าวยศวิมลจึงทำตาม นางจันทร์เทวีได้ไปอาศัยอยู่กับตายายนอกวัง จู่ๆพระสังข์ซึ่งเป็นบุตรของจันทร์เทวี ซึ่งหลบแม่อยู่ในหอยสังข์ก็ออกมาดูแลบ้านตอนแม่ ตา ยาย ไม่อยู่บ้าน นางจันทร์เทวี จึงแอบไปทุบหอยสังข์แตก แม่ลูกก็ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา

    นางจันทราเทวี รู้ว่าลูกนางจันทร์เทวียังไม่ตาย จึงสั่งให้ทหารไปนำพระสังข์ไปถ่วงน้ำ พระสังข์จึงได้ไปอยู่กับเจ้าเมืองบาดาล อยู่ได้ไม่นาน เจ้าเมืองบาดาล ก็ส่งไปให้นางพันธุรัตน์ซึ่งเป็นยักษ์ ช่วยเลี้ยงดู จนเติบโตเป็นหนุ่ม พระสังข์ก็ได้แอบไปเที่ยวหลังวัง ได้พบโคลงกระดูกจึงรู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ จึงคิดหนี เลยสวมรูปเงาะและแอบชุบตัวในบ่อเงินบ่อทอง เหาะหนีมา นางพันธุรัตน์ ตามมาแต่ไม่ทันจึงอกแตกตาย ก่อนตายก็ได้เขียนมนต์เรียกเนื้อเรียกปลา(มหาจินดามนต์) ให้พระสังข์ร่ำเรียนแล้วพระสังข์ก็เหาะหนีมา

    จนถึงเมืองสามน ณ เมืองสามน ท้าวสามนได้ครองเมือง มีมเหสีชื่อ มนฑา มีลูกสาวล้วน ถึง 7 คน อันมีชื่อดังนี้ 1.มะลิวรรณ 2.จันสุดา 3.การะเกด(บางตำราก็ว่า ชื่อ สารพี) 4.ยี่สุนเทศ 5.เกศเมือง 6.เรืองยศ 7.รจนา ชึ่งรจนาสวยมที่สุด วันเลือกคู่ พี่ๆทั้ง 6 ของรจนา ได้เลือกคู่ครองกันหมด เว้นแต่นางรจนาเท่านั้น ท้างสามนจึงให้เจ้าเงาะมาลองเสี่ยงทายว่ารจนาจะเลือกหรือเปล่า แต่สุดท้ายนางรจนาก็เลือกจนได้ ท้าวสามนโกรธมากจึงขับไล่ทั้ง 2 ออกไปอยู่กระท่อมปลายนา

    ท้าวสามนคิดหาวิธีแกล้งเจ้าเงาะและรจนาอยู่ตลอดเวลา เนแกล้งให้หเนื้อหาปลา แต่เพราะมนต์ของแม่พันธุรัตน์ อื่นๆอีกหลายประการ แต่ก็ไม่เป็นผล วันหนึ่งเจ้าเงาะได้ถอดรูปเป็นพระสังข์ให้รจนาดู นางรจนาดีใจยิ่งนัก ยิ่งทวีความรักให้พระสังข์มากขึ้น จนวันหนึ่งพระอินทร์สงสารเจ้าเงาะและนางรจนา จึงได้แปลงตัวเป็นคนธรรมดา มาท้าตีคลีกับท้าวสามน หากแพ้จะยึดเมืองสามนทันที ท้าวสามนรับคำแล้วให้เขยทั้ง 6 ออกตีคลี ล้วนแล้วแต่แพ้ทั้งสิ้น ท้าวสามนจึงไปชวนเจ้าเงาะมาช่วยตี เจ้าเงาะใจอ่อนจึงยอมไปตีให้ และถอดรูปเป็นพระสังข์ ท้าวสามนจึงรู้ว่าที่แท้เจ้าเงาะก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เหมือนกัน จึงเริ่มชอบคอกับพระสังข์ และในที่สุดพระสังข์ก็ตีคลีชนะพระอินทร์

    พระอินทร์ช่วยพระสังข์เสร็จแล้ว จึงไปช่วยนางจันทร์เทวี โดยไปบอกให้ท้าวยศวิมน ไปรับนางจันทร์เทวีและพระสังข์ที่เมืองสามน พอท้าวยศวิมนและนางจันทร์เทวีมาถึงเมืองสามนก็ได้ปลอมเป็นคนธรรมดา ไปสมัครเป็นพ่อครัว แม่ครัวในวัง นางจันทร์เทวีก็ได้แกะสลักฟักเป็นรูปเรื่องราวของพระสังข์แต่เยาว์วัยลงไป แล้วทำเป็นแกงฟักให้พระสังข์เสวย (แกงฟักเป็นอาหารที่พระสังข์ชอบที่สุด) พระสังข์เห็นรูปสลักบนชิ้นฟักดังนั้น จึงรู้ว่าแม่มาตาม จึงไปหาแม่ แล้วทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี


ข้อคิด
- ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
- ความอิจฉาริษยา ไม่เคยทำให้ใครได้ดี
- คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน
- น้ำขึ้น ก็มีลง
- ไม่ควรดูคนจากรูปลักษณ์ภายนอก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 634 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 633 ครั้ง
 
 
  05 ก.ย. 2550 เวลา 14:43:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   21) ขูลูนางอั้ว  
  ภาส    คห.ที่0) ขูลูนางอั้ว      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
"ขูลูนางอั้ว"

   ว่ากันว่ามีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ชื่อว่า บ้านโคกกง และอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ บ้านทุ่งมน สองหมู่บ้านนี้ติดกัน รักใคร่สามัคคีกันดี ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน 2 ครอบครัวสัญญากันไว้ว่า ถ้าใครมีลูกชายจะให้เป็นเพื่อนกัน หากอีกฝ่ายเป็นหญิงจะให้แต่งงานกัน โดยไม่มีเงื่อนไข

    วันหนึ่งฝ่าย นางกาสี อยู่บ้านโคกกง ซึ่งมีสวนส้ม กำลังสุกเหลือง ส่วนฝ่ายบ้านทุ่งมน เกิดอยากกินผลส้มเลยชวนพวกมาขอผลส้มกินแต่ นางกาสีหวงไม่ยอมยกให้ จนเกิดผิดใจกันระหว่างเพื่อน ก็เลยเลิกคบค้ากัน ขนาดว่าจะไม่ให้ลูกหลานคบค้าสมาคมกัน และแค้นใจมาก
    
     18 ปีต่อมา ฝ่ายนางกาสี มีลูกชายชื่อ ขูลู ส่วนอีกฝ่าย มีลูกสาวชื่อ นางอั้ว ทั้งสองเกิดรักใครชอบกัน โดยที่ไม่ฟังคำคัดค้านจากฝ่ายพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พ่อของนางอั้ว กลัวลูกสาวไปปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินงามให้ ขูลู เลยออกอุบายให้นางอั้วแต่งงานกับ ขุนลาง หลานเจ้าสัว มหาเศรษฐีปล่อยเงินกู้ผู้กว้างขวางและเอารัดเอาเปรียบในหมู่บ้านทุ่งมน วันหนึ่ง ขุนลางกับน้าชาย ได้ทวงเรื่องหนี้สินที่พ่อนางอั้วเคยหยิบยืมไป แต่ก็ไม่มีให้ในที่สุด น้าชายของขุนลางบังคับให้นางอั้วแต่งงานเพื่อชดใช้หนี้ นางไม่ยินยอมเพราะมีใจให้ขูลูอยู่ จึงตัดสินใจ ในคืนก่อนเข้าพิธีแต่งงานหนึ่งวันกับขุนลาง มอบกายให้ขูลูจากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตาย พอขูลูรู้ข่าวการตาย จึงใช้มีดแทงตัวตายตามนางอั้วไป


ข้อคิด
- ที่ใดมีรัก ที่นั้นจะไม่มีทุกข์ถ้า เราเปิดใจฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 605 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 604 ครั้ง
 
 
  04 ธ.ค. 2550 เวลา 14:54:23  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   28) น้ำตาเมีย  
  ภาส    คห.ที่0) น้ำตาเมีย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                                น้ำตาเมีย
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง น้ำตาเมีย ของ แม่นกน้อย  อุไรพร

คุณครู เพิ่มศักดิ์ มีเมียชื่อ กาญจนา สอนอยู่กรุงเทพฯ มีลูกอยู่ 2 คน ชื่อ นัฐธิดา กับ นัฐจพร ซึ่งฝากไว้กับน้า อรอาภา ซึ่ง บ้านไม่ไกลกัน ห่างกัน ประมาณ 50 เมตร วันหนึ่งแม่ของครูเพิ่มศักดิ์ ได้ส่ง จดหมาย มาให้ลูกย้ายไปสอนแถวบ้านเราดีกว่า ครูเพิ่มศักดิ์ จึงทำเรื่องย้ายมาพร้อมกับ ฝ้ายศักดิ์ ซึ่งเป็นน้องของครูเพิ่มศักดิ์ แต่ก่อนไป กาญจนา รบเร้าสามีให้ไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เพราะลูกก็โตเป็นสาวแล้ว แต่ ฝ่ายครูนั้นก็บ่ายเบี่ยงไปพอเสร็จๆ แล้วตอบว่า ลูกก็โตแล้ว จะไปจดทำไม แล้วครูเพิ่มศักดิ์กับฝ้ายศักดิ์ก็ได้เดินทางกลับบ้านทางอุดรธานี ปล่อยให้กาญจนาเฝ้าร้าน กิจการของตนทางนี้ก่อน


          พอถึงบ้าน ครูเพิ่มศักดิ์ ก็มิได้บอกกับแม่ว่าตนแต่งงานแล้ว เพิ่มศักดิ์กับฝ้ายศักดิ์ช่วยกันปิดบัง แม่จึงรบเร้าให้เพิ่มศักดิ์แต่งงานกับ สุปรานี แม่หม้ายลูกติดเป็นชายหนึ่งคนชื่อ พิซซ่า เพิ่มศักดิ์ก็ยอมเพราะแม่ก็เอ็นดู เจ้าพิซซ่า เหลือเกิน ซึ่งฝ้ายศักดิ์ก็ได้แต่งงานกับ นังจื้นน้องสุปรานี เหมือนกัน พอแต่งงานกันแล้ว ครูเพิ่มศักดิ์ ฝ้ายศักดิ์ และนังจื้น ก็ได้เก็บข้าวของไปสอนที่ อ.พล บ้านวังหิน ปล่อยให้ 3 คนนั้นอยู่บ้านที่อุดรฯ


         พอไปถึง เพิ่มศักดิ์ก็ได้พบรักกับ คำหล่า น้องของ ผ.อ. โรงเรียนบ้านวังหิน ซึ่งคำหล่า ได้อกหักจาก ณัฐ ลูกของแม่ผู้ใหญ่ ซึ่งวันที่คำหล่าอกหักนั้น แม่ของณัฐได้ชี้หน้าด่าดูถูกต่างๆนาๆทั้งที่ คำหล่าได้รับคำสัญญาจากจาก ณัฐ ว่ารัก คำหล้าเหลือเกิน แต่เมื่อวันที่ขณะผ้าป่าจากรุงเทพฯ ซึ่งประธานผ้าป่าคือ ณัฐ นั่นเอง ณัฐ ได้แต่งงาน อรอาภา (น้องสาวของกาญจนา)ไปแล้ว  คำหล่าได้อกหักแล้วเพิ่มศักดิ์ได้เจอ จึงพบรักกับเพิ่มศักดิ์ นี่คือที่มา

    พอทอดผ้าป่าเสร็จ อรอาภาได้กลับกรุงเทพฯ และได้ไปบอกให้กาญจนาทราบว่า ผัวของพี่ได้มีเมียอยู่ที่ อ.พล บ้านวังหิน กาญจนาโกรธจัด พอรู้ข่าวจึงรีบบึ่งมาที่ อ.พล บ้านวังหิน ทันที ในใจคิดว่า มิน่า ไปตั้งหลายเดือนเงินก็ไม่ส่งมาสักบาท

ฝ่ายแม่ของเพิ่มศักดิ์และสุปรานี เกิดคิดถึงผัวขึ้นมาได้ชวนกันไปที่บ้านวังหิน ไปเยี่ยมเยียน ไปถึงก็ได้โอบกอดผัวที่รัก และประสบกับกาญจนาพอดี จึงเกิดการทะเลาะวิวาทตบตีกันเป็นการใหญ่ แต่ในที่สุดก็ยุติลงตรงที่ นางกาญจนาได้เอ่ยปากบอกให้ผัวทำเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเดียว เพิ่มศักดิ์ได้ถูกไล่ออกจากการเป็นครูเพราะ นอกจากจะมีเรื่องทางครอบครัวแล้ว เพิ่มศักดิ์ยังมีคดีที่ยักยอกเงินของโรงเรียนไปอีกหลายบาท

เพิ่มศักดิ์ อยู่กับ กาญจนาที่กรุงเทพฯไท่นานกิจการร้านของกาญจนา ก็ทรุดลงเพราะ ผัวได้แอบขโมยของในร้านไปกินจนแทบไม่เหลือ และเมาทุกวัน และได้ตบตี กาญจนาจนทนไม่ไหว ผัวได้ซัดเซพเนจรไปทั่วจนไปอยู่กับ คำหล่า กาญจนาแทบ อกแตกตาย คิดถึงวันที่รักกันแรกๆ กาญจนาเป็นเศรษฐี ได้ส่งเสีย เพิ่มศักดิ์จนเป็นครู นางพร่ำรำพันต่างๆนาๆ น้ำตาของเมียได้รินหลั่งอาบไหลของแก้ม สะอึกสะอื้นของหน้าร้านที่ใกล้จะเจ๊ง คิดไปแล้วก็เศร้าแทนเนาะ...

ข้อคิด- อันการเลือกคู่นั้น ควรเลือกให้ดี และให้นานที่สุด จะได้คู่ตนพึงพอใจ
- กรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น พึงทำแต่ความดีกันเถอะหมู่เฮา
ภาส   ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 586 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 585 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 12:43:28  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) นางสิบสอง  
  ภาส    คห.ที่7)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
เอ่อ...คุณ naipond ต้องผ่านประธานชมรมรึเปล่า อั่นนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ ยังไงลองส่งโพยไปถาม พี่มังกรเดียวดายดูนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 580 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 580 ครั้ง
 
 
  28 ต.ค. 2551 เวลา 16:05:37  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   24) ผาแดงนางไอ่  
  ภาส    คห.ที่21)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
คุณบ่าวภูไท  นครฯ:
คุณเจ้าหญิงน้อย:
เอ่อ น้องคะ คำว่าหนองหาร  ตามตำนานผาแดงนางไอ่ คำว่าหาร มาจากคำว่า หนองน้ำที่อุดมไปด้วยพืชพรรณ ธัญญาหาร ค่ะ
เพราะคำว่าหนองหาร ที่ถูกต้อง คือ สะกดด้วย รอ เรือค่ะ
พอดีมียายเป็นคนสกลนครค่ะ

พี่คณะอักษร


ที่จริงนัยของความหมายอาจจะเป็นเช่นนั้นครับ  แต่สมัยก่อนแผ่นดินถิ่นอีสานใช้ตัวอักษรไทน้อยหรืออักษรธรรมอีสานในการจารย์ลงบนใบลาน  ซึ่งไม่มีการใช้  "ร"  เป็นตัวสะกด  การสะกดในแม่กนมักจะใช้  "น" ดังนั้น  การใช้คำว่า  "หนองหาร"  กับ  "หนองหาน"  จึงมิได้ให้นัยที่แตกต่างกันครับ
สมัยนี้เรายึดเอาภาษาไทย(ภาคกลาง)มากำหนดคำหรือการใช้ภาษาของท้องถิ่น  โดยเฉพาะในภาษาอีสาน  ทำให้การใช้ภาษาอีสานอาจจะเพี้ยน  ลูกหลานซาวอีสานกะเลยค่อนข้างที่อยากอายในการใซ้ภาษาบ้านเจ้าของ
"อย่าสุไลลืมทิ้มพงศ์พันธุ์พี่น้องเก่า  อย่าสุละโคตรเหง้าไปหาญ้องผู้อื่นดี"



ผมกราบขอโทษที่ให้ข้อมูลผิด/พิมพ์ผิด/นะคับ ซื่งอาจส่งผลต่อผู้รับข้อมูลคับ ผมจะปรับปรุงในโอกาสต่อไปครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 579 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 579 ครั้ง
 
 
  29 พ.ค. 2554 เวลา 14:42:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   51) ท้าวหงษ์หิน  
  ภาส    คห.ที่0) ท้าวหงษ์หิน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
     ณ เมืองพาราณสี พระราชาทรงมีพระมเหสี 7 นาง แต นางวิมาลา เป็นมเหสีเอก ครั้นเมื่อนางตั้งครรภ์ โหรทำนายว่าเทวดาจะมาเกิดด้วย มเหสีที่เหลือก็เกิดอิจฉาริษยา ครั้นเมื่อทำคลอดให้นางก็ได้นำสุนัขมาเปลี่ยนโยนเด็กทิ้งไป พระอินทร์เลยนำขึ้นไปเลี้ยงบนสวรรค์ ส่วนพระราชาได้คิดว่านางลอบเป้นชู้กับหมาจึงไล่นางออกจากวัง

   นางจึงไปขออาศัยอยู่กับคนที่เฝ้าสวนของพระราชา จนเวลาเลยผ่านไป พระอินทร์ได้ทราบว่านางต้องการเห็นหน้าลูก เลยเสกก้อนหินให้เป็นหงส์ให้ลูกของนางขี่เหาะลงมาจากสวรรค์มาหานาง

    ส่วนลูกทั้งหกของมเหสีรองเมื่อโตขึ้นได้นำสะบ้าทองคำเล่นในสวนกับลูกของนางวิมาลา มีการแข่งขันสะบ้ากันระหว่างกุมารลูกของนางวิมาลาและกุมารทั้ง 6 ทำให้ลูกของนางชนะการแข่งขันได้ทองคำไปให้นางวิมาลาผู้เป็นแม่ทุกวัน


       วันหนึ่งมียักษ์กินคนมาจับคนกินในเมืองนี้ ยักษ์นี้จะมาจับคนกินทุก 7 วัน ลูกน้อยของนางวิมาลาได้ฆ่ายักษ์ตาย กุมารทั้งหกได้รับสมคบกันอ้างว่าตนเป็นผู้ฆ่ายักษ์ กุมารทั้งหกได้จ้างกุมารน้อยให้ปิดบังความจริงไว้ ท้าวพาราณศรีจึงจัดงานสมโภชกุมารทั้งหกว่าเป็นผู้กล้าหาญ และมอบภาระให้กุมารทั้งหกไปตามหาย่าที่เคยถูกยักษ์ลักพาตัวออกไป กุมารทั้งหกจึงขอนำเอาลูกนางวิมาลาไปด้วย เมื่อขบวนทัพยกมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งหกกุมารขอรออยู่ริมฝั่งแม่น้ำไม่ยอมเดินทางไปปราบยักษ์ ให้แต่เพียงกุมารน้อยไปแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น


   ลูกนางวิมาลาขี่หงส์หินข้ามแม่น้ำไปถึงเมืองยักษ์แห่งหนึ่ง พระยายักษ์ชื่อวัสสวโร ยักษ์นั้นไม่ตอบโต้ซ้ำยังอ่อนน้อมและยกลูกสาวให้เป็นภรรยา ชื่อนางมุขวดี

   เมื่อไปถึงเมืองกุมภัณฑ์ พระยายักษ์กุมภัณฑ์ได้อ่อนน้อมยกลูกสาวให้เป็นภรรยาเช่นกัน ชื่อนางจุลคันธา เมื่อไปถึงเมืองอนุมา พระยายักษ์อนุมาได้อ่อนน้อมและยกลูกสาวให้ ชื่อ นางศรีจันทรา กุมารน้อยได้รบพุ่งกับยักษ์มากมายในที่สุดได้พาย่าออกจากเมืองยักษ์ได้ เมื่อพาย่ามาถึงริมฝั่งแม่น้ำลูกนางวิมาลา ได้ถูกหกกุมารฆ่าเสีย แล้วพาย่าไปเมืองพาราณสี อ้างว่าตนเป็นผู้ช่วยเหลือย่า ทางเมืองก็ได้มีการสมโภชรับขวัญเป็นงานใหญ่

    ฝ่ายธิดายักษ์ทั้งสามพบว่าสามีของตนถูกฆ่าตาย จึงโศกเศร้ารำพันถึงสามีที่รัก พระอินทร์จึงได้แปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามมาเกี้ยวพาราศรีให้นางปลงใจด้วย นางก็ไม่ยอมตกลง พระอินทร์จึงแปลงเป็นยักษ์จะกินศพผัวของตน นางทั้งสามก็ไม่ยอมให้กินและ ขอยอมตายแทน พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เอาน้ำทิพย์มาชุบชีวิตสามีของนางให้ฟื้นขึ้นมา ส่วนย่าได้เล่าให้เจ้าเมืองพาราณศรีผู้เป็นโอรสฟังว่าผู้ช่วยย่าออกมาได้ คือชายผู้ขี่หงส์หินเหาะได้ เจ้าเมืองพาราณศรีจึงสั่งให้ทำประตูเข้างานสมโภชมีเพียงประตูเดียวเพื่อดูว่าชายผู้ขี่หงส์หินเป็นใคร ย่ากับลูกนางวิมาลาได้พบกัน   และท้าวพาราณศรีได้สั่งให้ประหารชีวิตแม่ลูกทั้งสิบสองคนนั้นเสีย ที่อิจฉาริษยาและปองร้ายผู้อื่น และอภิเษกให้กุมารน้อยผู้ขี่หงส์หิน และธิดายักษ์ทั้งสามคน ครองบ้านครองเมืองสืบต่อราชบัลลังก์*****************************

ภาส ศิษย์พี่ อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอีสานบ้านเฮา

 
 
สาธุการบทความนี้ : 569 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 567 ครั้ง
 
 
  29 ต.ค. 2551 เวลา 12:01:45  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) นางสิบสอง  
  ภาส    คห.ที่9)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
คุณเสโด่ง:
คุณภาส ไบ่มีเรื่อง พระสุธน มโนราห์ ต่อหรือคับ อยากฟังย่อๆอ้ะ เคยอ่านเล่มหนาๆ บ่เข้าใจ


ขอเวลาเรียบเรียงแหน่เด้อคับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 568 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 568 ครั้ง
 
 
  29 พ.ค. 2554 เวลา 14:56:27  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   26) ปลาบู่ทอง  
  ภาส    คห.ที่0) ปลาบู่ทอง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
    ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเศรษฐีชื่อ ทารก มีเมีย 2 คน ชื่อ ขนิษฐา และ ขนิษฐี นางขนิษฐา เป็นเมียคนแรกมีลูกสาวชื่อ เอื้อย นางขนิษฐีนั้นเป็นเมียคนรอง ดีกรีร้ายยิ่งกว่าไหนๆ มีลูกสาว 2 คน ชื่อ อ้าย กับ อี่
    อ้าย กับ เอื้อย ถึงแม้จะเป็นลูกคนละแม่ แต่พ่อเดียวกันก็จริงแต่ว่า หน้านั้นไซร้ ละม้ายคล้ายคลึงกันมาก จนเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติในอนาคต


   วันหนึ่งนางขนิษฐา กับ นายทรก ได้ออกเรือหาปลาด้วยกัน บังเอิญวันั้นอากาศอบอ้าว กว่าจะได้ปลาแต่ละตัวแสนลำบาก จนกระทั่ง นายทารก หาได้ปลาบู่ตัวนึง นางขนิษฐา จึงแอบปล่อยลงน้ำไป นายทารก โกรธมาก คว้าไม้พายฟาดเมียตัวเองตกลงน้ำตาย นางขนิษฐีรู้ยิ่งดีใจที่ผัวจะรักตัวคนเดียว

   พอแม่ของเอื้อยตาย นางขนิษฐีก็ได้กลั่นแกล้งเอื้อยต่างๆนาๆ จนกระทั่งนางขนิษฐา กลับชาติมาเกิด เป็น ปลาบู่ทอง นางเอื้อยนั้นดีใจเป็นที่สุด จากที่เคยโศกเศร้ากลับยิ้มตลอดเวลา อารมณ์ เพราะคิดถึงแม่ และมาหาแม่ทุกวันที่ท่าน้ำหน้าบ้าน เป็นเวลาหลายอาทิตย์ ที่เอื้อย มาหา มาพูด มาคุย ไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบ อยู่เป็นประจำ จนอ้าย กะอี่จับได้จึงแอบจับปลาบู่ทองให้นางขนิษฐีฆ่า แกงให้ ผัวกิน เหลือไว้แต่เพียงเกล็ดสีทองที่ เป็ดตัวหนึ่งคาบมาให้

     นางเอื้อยเอาไปฝัง เกล็ดปลาบู่นั้นก็กลายเป็นต้นมะเขือ นางเอื้อยดีใจ และมาหาแม่ทุกวัน จนอ้ายกะอี่จับได้อีก ก็มาทำร้ายต้นมะเขือจนตาย นางเอื้อยเอาเมล็ดมะเขือไปฝังอีกและ เกิดเป็นต้นโพธิ์ทองที่สวยงาม ไม่มีใครทำร้ายแม่ของเอื้อยได้อีก


ท้าวพรหมทัต ได้เสด็จมาประภาสที่หมู่บ้านของนางเอื้อย ได้พบเอื้อยกับต้นโพธิ์ทองก็ทรงพอพระทัย เเละได้ขออนุญาตครอบครัวของเอื้อย นำเอื้อยเป็นมเหสีในวัง พร้อมกับต้นโพธิ์ทอง  สร้างความไม่พอใจให้กับอ้ายอี่และนางขนิษฐีเป็นอย่างมาก

เมื่อนาย ทารกไม่อยู่หลายเดือน นางขนิษฐี คิดแผนเด็ดกำจัดนางเอื้อยโดย ไปหลอกให้นางเอื้อย กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อที่ป่วยใกล้จะตายแล้ว เอื้อยหลงเชื่อก็ตามมาบ้าน นางอี่ได้เตรียมกับดักให้นางเอื้อยเดินขึ้นบ้านแล้วตกกระทะน้ำร้อนตาย ที่ใต้ถุนบ้าน นางเอื้อยมาถึงด้วยความรีบร้อนจึงตกกระทะน้ำร้อนตาย

  นางอ้ายที่หน้าตาคล้ายนางเอื้อยได้ปลอมตัวเข้าวังไปแทน ทำตัวในวังก้ไม่ถูก มาลัยก้ไม่เลยร้อยถวายท้าวพรหมทัตดังแต่ก่อน ผุ้คนในวังต่างสงสัยและแปลกใจ

  นางเอื้อยได้เกิดเป็นนกแขกเต้าบินไปหาท้าวพรหมทัต นางอ้ายจับได้ก็เอาไปให้แม่ครัวแกงให้กินแต่นกนั้นบินไปแอบในรูหนู แล้วบินไปพึ่งใบบุญพระฤาษี ท่านก็แปลงโฉมให้เป็นนางเอื้อยเหมือนเดิม และชุบลูกให้นางเอื้อยเลี้ยง

  ลูกของนางเอื้อยได้ซักถามเกี่ยวกับพ่อของตน เอื้อยจึงเล่าให้ฟังว่า อ้ายแปลงตัวเป้นตนแล้วสวมรอยแทน ลูกนางเอื้อยแค้นนัก จึงแอบไปหาท้าวพรหมทัตในวัง ไปทูลความจริงให้ท้าวพรหมทัตทราบ ท้าวพรหมทัตจึงไปรับตัวเอื้อยกลับเข้าวัง อ้ายรู้ว่าเอยกลับมาแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรจึงชิงฆ่าตัวตายไปก่อน แต่ที่จริงเอื้อยก็ทูลขอชีวิตอ้ายกับท้าวพรหมทัตแล้วล่ะ ต่อมาเมืองพราณสีจึงอยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา


ภาส ศิษย์น้องเล็ก




   ข้อความทั้งหมดถูกจดลิขสิทธิ์ โดย ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน การนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามกฎหมาย
ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 4 อาคารจุลจักรพงษ์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

 
 
สาธุการบทความนี้ : 563 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 561 ครั้ง
 
 
  26 ก.พ. 2551 เวลา 12:58:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   26) ปลาบู่ทอง  
  ภาส    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
แปลกเหรอ..........อืม..........แปลก...............อืม.แปลก..........แปลกเหรอ............อืม...อือ...เอ่อ......อ่า...........โอ๋..............อ๋า...................โอ้...........แปลก.ว้าว............โว้.แปลก จัง......................................................อือ....อืม.

 
 
สาธุการบทความนี้ : 560 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 560 ครั้ง
 
 
  29 ก.พ. 2551 เวลา 09:37:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) แก้วหน้าม้า  
  ภาส    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
งวดนี้ขอตอบแทนบุญคุณ เว็บอีสานจุฬาฯโดยมี สมาชิกขงเราตองการเป็นภาษาอังกฤาใช่มั้ย  อ้ะ จัดให้ แต่เป็นแบบย่อนะ  เชิญม่วน กับ แก้หน้าม้า เวอร์ชั่น ประเทศนอกกันเลยครับ.........

King Phuwadon and Queen Nntha were living at Mithila city.They had a very handsome prine.His name was Para Pithog.

Oneday,whl Pra Pintong was flying kite flew away dropped in front of a horse-face lady's house.Eventhogh the lady had her face like a horse'she was a very good lady. She was very smart and hd a prohetic vision.


She ket he prince's kite knew the lady's word'he was very angry. He told the hors-face  lady that he wuld allow her to marry his on if only she could move Par Suman mountain and put it in the middle of hs city.However,the hrse-face lady coul make it.Also,Got fet sorry for the horse-face lady.H took her horse-faceoff and made her a very beautiful woman.King Phuwadon had no choice.He had to let his son marry he horse-face lady aspromised.

She hd to use a bg knife for choppingand a flying boat for help her husbanf.Because she was in lovewith hm and cared deeply about her childen.She changed her appearnce so that the could be a soldier in order to kill giant nddevi.

แฮ่กๆๆ เหมื่อย พิมพ์

 
 
สาธุการบทความนี้ : 558 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 558 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2551 เวลา 17:03:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   32) มณีพิชัย / ยอพระกลิ่น  
  ภาส    คห.ที่0) มณีพิชัย / ยอพระกลิ่น      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
มณีพิชัย (นางยอพระกลิ่น)
ท้าววรกรรณ และ พระนางบุษบง ได้จัดงานเลือกคู่พระธิดา ชื่อ เกศนี มีราชา และเจ้าชายจากต่างเมือง มาเลือกคู่มากมาย และนางกลับเลือกชายที่สติไม่เต็ม ท้าววรกรรณจึงขับไล่ออกนอกวัง ชายบ้าใบ้จึงคืนร่างกลายเป็นพระอินทร์ดังเดิม และพานางเกศนีขึ้นไปอยู่บนสวรรค์จนมีลูก แต่ทวยเทพจะมีลูกไม่ได้ผิดธรรมเนียม จึงนำลูกที่ชื่อยอพระกลิ่นมาไว้ในปล้องไผ่ จึงเสกของอำนวยความสะดวกให้แก่ยอพระกลิ่นจนโตเป็นสาว ทำให้ปล้องไผ่นั้นหอมอบอวล

มณีพิชัย โอรสท้าวพิไชยนุราช และ นางจันทร แห่งกรุงอยุธยาได้ออกมาเที่ยว ได้กลื่อนจากปล้องไผ่ จึงใช้ดาบฟันปล้องไผ่ และปรากฏร่างหญิงสาว ชื่อ ยอพระกลิ่น จึงพยรักกัน และได้พานางเข้าวัง และบอกกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่า ยอพระกลิ่นเป็น ชายา(เมีย) ของตนท้าวพิไชยนุราชสุดแสนดีใจ แต่ฝ่ายแม่นั้นไซร้ เกลียดซังนางยอกพระกลิ่นอย่างยิ่ง เพราะ ลูกของตนได้หมั้นหมายกับองค์หญิงแห่งกรุงจีนไปแล้ว กลับพานางยอพระกลิ่นแล้วมาบอกว่าเป็นเมียเสียนี่

วันหนึ่งนางคิดแกล้งจึงบอกสาวใช้เอาเลือดแมวและศพแมวไปทิ้งไว้ในห้องยอพระกลิ่น รุ่งขึ้น นางจันทรจึงบอกกับท้าวพิไชยนุราชว่า นางยอพระกลิ่นเป็นกระสือ ให้ไล่ออกไป เพราะหลักฐานและพยานหนาแน่นนางยอพระกลิ่นจึงถูกขับไล่ออกจากวัง และพ่อของยอพระกลิ่น ได้ลงมาบอกให้ลูกสาวแปลงกายเป็นพราหมณ์  รอแก้แค้นอยู่ที่อาศรมริมสระน้ำนี่

วันหนึ่งนางจันทรมาอาบน้ำที่สระได้ถูกงูผิดที่แอบอยู่กับดอกบัวกัด นางเจ็บปวดแทบขาดใจกระเซอะกระเซิง เข้าวัง พราหมณ์ก็ได้ตามไปด้วยพร้อมกับบอกให้นางจันทรว่าจะรักษาพิษงูให้ หากนางยอมบอกความจริงว่ายอพระกลิ่นไม่ได้กินแมวนางรักษาให้ แต่หากไม่ยอมบอกจะปล่อยให้ตายนางจึงเล่าความจริงให้ฟัง และพอรักษาพิษงูได้ พราหมณ์ก็เอ่ยปากขอมณีพิชัยไปเป็นทาสสักระยะหนึ่งราชาก็ตกลง


มณีพิชัยอยู่รับใช้พราหมณ์ที่อาศรมเป็นเวลานานหลายเดือน ถึงแม้พราหมณ์ยอพระกลิ่นจะแปลงกายเป็นสาวสวยมาลวงล่อให้หลงรัก แต่มณีพิชัยก็ไม่ชายตาแล พราหมณ์ยอพระกลิ่นเห็นว่า ผัวของตนซื่อสัตย์กับตนเองจึงคืนมณีพิชัยให้แก่เมืองอยุธยาดังเดิม

ทางกรุงจีนเมืองปักกิ่งได้เร่งรัดให้ทางเมืองอยุธยามาแต่งงานองค์หญิงเล็กเร็วๆสักที เจ้าชายมณีพิชัยจึงต้องไปอภิเษกกลัวจะเกิดสงครามใหญ่ พราหมณ์ยอพระกลิ่นจึงขอตามไปด้วย พอไปถึงเจ้ากรุงจีนได้ทราบว่ามณีพิชัยได้มีชายาแล้วจึงแกล้งให้มณีพิชัยยกขันหมากมา 1,000 ชุด หากไม่ได้จะถูกประหาร ทั้งสองจึงหนีหลงเข้าไปในเมืองยักษ์ สลบไร้สติเพราะมนต์แห่งเมืองยักษ์ นางวาสันจึงจับมณีพิชัยไปให้นางผกาลูกสาวที่ตำหนัก จนพราหมณ์ฟื้นเห็นนางผกาอยู่กับผัวของตนที่ตำหนัก ก็พร่ำรำพันต่างๆนานา แล้วก็แปลงกายเป็นนางยอพระกลิ่นดังเดิมจนหมดสติไปอีก พระอินทร์จึงต้องมาแก้ไขเรื่องราวแล้วเหาะมาส่งที่เมืองอยุธยา ทั้งสองจึงจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ และครองรักกันอย่างมีความสุข ตราบฟ้าดินมลาย

ข้อคิด
- อุปสรรคใดก็ผ่านพ้นได้  หากเรามีความพยายาม

ภาส   ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด
   ติชมตามกระทู้ด้านล่าง หรือที่ http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 558 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 557 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 12:58:45  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   29) นางปากเป็น  
  ภาส    คห.ที่0) นางปากเป็น      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                        
      นางปากเป็น
  
      
ณ  เมือง พาราณสี มีท้าวพรหมฑัต ครองเมือง ท่านได้ออกเสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎร ประชากรได้เข้าแถวนั่งริมทั้งสองฝั่งทาง ต่างพนมถือ บ้างก้มกราบ แต่ต้องมาสะดุดอยู่นานกับยายผู้หนึ่งซึ่งกำลังปิดปากหลานบ้างล่ะ หยิกหลานบ้างล่ะ ตีแขนบ้างล่ะท้าวพรหมฑัต ถึงถามว่าตีลูกทำไม ยายอึกอักไม่กล้าพูด แต่ท้าวฯบอกว่าถ้าไม่พูดจะประหารเสีย ยายจึงบอกว่า “หลานอิฉัน ชื่อ เกลี้ยง เป็นคนพูดมากปากเป็น พอมันเห็นพระองค์เสด็จมา และพูดว่าพระองค์แก่ และเป็นเนื้อคู่มันเมื่อชาติที่แล้วน่ะเพคะ” ยายตอบอย่างซื่อๆทำเอาท้าวฯตะลึง


จนคล้อยค่ำหลังจากพบปะประชาชนเสร็จก็ไปบ้านนางเกลี้ยงแล้วให้ยายเล่าเรื่องนางเกลี้ยงให้ฟัง ยายจึงบอกว่า แม่มันหนีไปก็เพราะปากมันนี่แหละ มันพูดมาก ชอบพูดโกหก ปริ้นปร้อน กะล่อน ตอแหล มุสา ขี้ฉ้อ ขี้ฉน คนเลว (โห...ครบชุดเลย อย่าเอาอย่างนะคับ)  บางทีคำพูดของมัน  ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนทั้งหมู่บ้านก็มี แต่ละวันต้องมีเรื่องอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ๆ  



พระมเหสีจึงบอกว่าจะเอา นางเกลี้ยงไปกำราบในวังเอง จนกระทั้งมาอยู่ได้ 2 เดือน นางนั้นอยู่อย่างหวานอมขมกลืน เพราะราชาท่านสั่งห้ามพูดเรื่องต่างๆ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ห้ามพูด วันๆก่อนนอนถึงกับต้องพูดกับตัวเอง จนคนคิดว่าเป็นบ้า ครั้นจะพูดกับใครก็กลัวเผลอตนไปโกหกเขา และเกิดเรื่องต่างๆ นางอึดอัดมาก ผิดวิสัยคนปากเป็น


เรื่องมาเกิดเอาตอนที่ท้าวฯสั่งให้นางถอนหงอกให้ และสั่งว่าห้ามบอกใครว่าข้ามีผมหงอก แต่นางอดไม่ได้จริงๆถึงกับลอกออกจากวังมาเล่าให้ต้นไม้ต้นหนึ่งฟัง พอคลายทุเลาคันปากแล้ว นางเกลี้ยงจึงกลับเข้าวัง พอไม่นาน ต้นไม่ต้นนั้นได้ถูกตัดนำมาสร้างทำเป็นกลองในวัง พอท้าวฯสั่งให้นักดนตรีตีลองดูกลองก็มีเสียงดังออกมาว่า “ท้าวพรหมทัต มีผมหงอก” ตีกี่ครั้งก็พูดอย่างเดิม ท่านใช้ให้ทหารผ่าออกดูก็ไม่มีอะไร คิดว่าต้นไม้ผีนี่คงรู้เรื่องจากนางเกลี้ยงแน่จึงไล่นางออกจากกวัง


นางเกลี้ยงกลับบ้านไม่ถูก บังเอิญมีเหยี่ยว 2 ผัวเมีย ใจดีให้นางเกาะขาคนละข้างแล้วจะบินไปส่งบ้านระหว่างทาง นางเกลี้ยงอดไม่ได้ที่จะพูดอะไรสักอย่าง นางจึงพูดกับเหยี่ยวเมียว่า ผัวเจ้าบอกว่าแกเป็นอีนังเหยี่ยวหนังยาน แก่ก็แก่ เหยี่ยวอมยิ้ม แล้วหันมาทางเหยี่ยวผัว แล้วแต่งเรื่องหวังแต่งเรื่องให้ทั้งสองทะเลาะกัน เหยี่ยวทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน แล้วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ทั้งคู่สลัดขา นางเกลี้ยงจึงตกลงมา ริมฝั่งแม่น้ำกระแทกกับก้อนหินขนาดใหญ่ตาย เณรมาเห็นจึงเกนชาวบ้านเอาไปทำพิธีแล้วฝังกระดูกนางเกลี้ยงใต้ต้นตาล และนี่คือที่มาของคนที่กินลูกตาลถ้าเมาแล้ว จะพูดมากปากเปียก ปากแฉะ พูดมั่วซั่วไปเรื่อย เหมือนนางเกลี้ยงนี่แหละ

ข้อคิด
- คนเราจะพูดจะอะไรก็ควรระมัดระวัง และควรเสี้ยมสอนลูกหลานให้พูดเพราะๆ
- คิดก่อนพูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด
-คนที่ไม่ถูกผู้อื่นนินทา ไม่มีในโลก


ภาส   ภิรักษ์ประพันธ์ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 525 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 524 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 12:50:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   26) ปลาบู่ทอง  
  ภาส    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
โถๆๆ อีแม่ เดี๋ยวนี้สังคมไทยมันเปลี่ยนไปแล้ว วัฒนธรรมถูกสื่อรุกราน มรดกไทย ถูกสิ่งใหม่ๆเข้าครอบงำ และยังถูกประเมินว่าเป็นของต่ำ มันจะสู้เรื่องที่ฮิตๆ ในสมัยนี้ไม่ได้หรอก คุณคำแพง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 518 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 518 ครั้ง
 
 
  09 มิ.ย. 2552 เวลา 16:49:45  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   40) ตำหนักนางสนม  
  ภาส    คห.ที่0) ตำหนักนางสนม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
  

  ณ เมืองศิลาราช ท้าวราชสิลาครองเมือง (ยังเป็นหนุ่มอยู่) มีพระมเหสี ชื่อ ผกากรด ซึ่งเป็นยักษ์แปลงกายมา ซึ่งขณะนี้นะครับ ท้าวราชศิลา ยังไม่ทราบว่านางเป็นยักษ์ จนกระทั่ง นางยักษืได้ให้กำเนิดธิดายักษ์ฝาแฝด 2 คน มีเขี้ยวโผล่ออกมา จึงตกใจและรู้ว่านางเป็นยักษ์ นางผกาจึงไปอ้อนวอนว่า ให้รักนางเหมือนเดิม อย่าหมดรักนางเลย ท้าวราชศิลาแสร้งรับ

  แต่ครั้นตกดึก ท้าวราชศิลา แอบหนีออกมาจากเมือง นางยักษ์รู้ได้แต่ทำใจ และปกครองบ้านเมืองต่อไป และหวังว่า สักวันเขาคงกลับมา

  ท้าวราชศิลา ได้หนีมาไกลแสนไกล จนถึงเมือง พินทุราช ท้าวพินทุราช ได้มีพระประสงค์จะได้ พระธิดา ชื่อ "โฉมนารี" เลือกคู่ นางเลือกได้ ท้าวราชศิลา ท้าวราชศิลาจึงอยู่ในเมืองพินทุราช ในฐานะ ราชบุตรเขย
  เวลาได้ล่วงเลยเร็วไป 2 ปี ท้าวราชศิลาได้มีนางสนมไว้นอนกกเล่น อีก 1 คน ชื่อ "ฐีรวร" (ถี-ระ-วอน) ทำให้ โฉมนารี แอบสะอื้น อยู่คืนเว้นคืน ท้าวพินทุราชผู้เป็นพ่อตา พอทราบข่าวก็ถึงกับล้มป่วย

  เวลาผ่านไปอีก 1 ปี ท้าวราชศิลาได้มีนางสนมเพิ่มอีก 2 คน คือ "ภรณ์ไพรี และ ศรีโสภา" โฉมนารีได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก จากวันเว้นวัน กลายเป็น ผ่าน 3 วันมาครั้งนึง

  ครานี้ท้าวพินทุราช ถึงกับตรอมใจตายเลยทีเดียว กาลเวลาผ่านไป นางสนมยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้านับเรียงลำดับ ก็จะได้ 7 นาง ดังนี้
"โฉมนารี  ฐีรวร ภรณ์ไพรี  ศรีโสภา นารีรัตน์ ปัฐมา สารพี" ทั้งอาทิตย์ เหล่า 6 นางที่มาใหม่ ได้แต่แก่งแย่งกันว่า วันนี้จะมีวิธีกาลยังไงในการที่จำให้ ท้าวราชศิลามาค้างคืนกับตัวเองให้ได้ จากขั้นเบาๆ จนถึงหนัก จนถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันตาย และมีปากเสียงกันบ่อยมากขึ้น


  วันหนึ่ง ฐีรวร ได้นำอาหารจะไปถวายท้าวราชศิลา โดยเดินนำนางนางรับใช้ผ่านตำหนัก ภรณ์ไพรี นางรับใช้ของภรณ์ไพรีได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้แอบโยนลูกมะพร้าวให้อาหารกระจุยกระจาย แต่นางรับใช้ของฐีรวรเห็น จึงบอกแก่ฐีรวรว่า เป็นแผนการของ ภรณืไพรีแน่ๆ

ครั้นค่ำคืน มืดสนิท นางฐีรวรกับนางรับใช้ได้แอบไปเผาตำหนักนางภรณ์ไพรี  ทำให้ท้าวราชศิลา บอกให้นางภรณ์ไพรี ไปอยู่ตำหนักนางฐีรวรสักพักก่อน แต่แทนที่จะเป็นผลดี นางฐีรวรกลับแค้นมากจึงแสร้งพานางภรณ์ไพรีไปเที่ยวป่า กะจะฆ่า แต่เสียดายที่นางภรณืไพรีถีบนางฐีรวรตกเหวตายไปซะก่อน ในใจนองภรณืไพรีคิดว่า "ฮิๆๆ เสร็จไปแล้วหนึ่ง เหลืออีกห้า"

นางภรณ์ไพรีได้แอบร่วมมือกับศรีโสภา ว่าจะให้นางรับใช้เอายาพิษไปใส่ให้นาง นารีรัตน์ กินในอาหาร แต่แผนนี้ได้ช้าไป เมื่อนางภรณืไพรีได้แสร้างเอาอาหารมาเลี้ยงศรีโสภาและนารีรัตน์วันที่นัดกันมาพบ งานนี้ภรณืไพรีดีใจใหญ่

นางรับใช้ของ ภรณืไพรี ได้เอือมระอาจึงแอบไปบอกความลับและความจริง กับปัฐมาในดึกคืนหนึ่ง นางปัฐมาได้ชวนสารพีได้ด้วยเพื่อจะจับนางภรณ์ไพรีไปให้ท้าวราชศิลาเอาหน้า เมื่อเข้าถึงตำหนักนางภรณืไพรี ได้มีการตบตีกันยกใหญ่ แต่สารพีเร็วกว่าจึงพลักทั้งคู่เข้าไปในตู้ใบใหญ่แล้วล็อกอย่างดี แล้วยิ้มสะใจออกมา พร้อมเผาตำหนักนางภรณืไพรี ในใจนางสารพีคิดว่า "ฮิๆๆ เสร็จไปอีกสอง เหลืออีกหนึ่ง"

  วันต่อมา นางสารพีได้ใช้แผนโบราณของนางภรณ์ไพรีที่ว่า จะนำอาหารไปถวายนาง โฉมนารี พร้อมใส่ยาพิษลงไป แต่นางใช้ให้นางรับใช้ยกไป แล้วตัวเองเดินนำหน้า พอดีมียักษ์นางผกากรดผ่านมาทางนี้เพื่อหาอาหารตามวิสัยยักษ์ เห็นนางสารพีและนางรับใช้จึงจับกินแล้วแปลงเป็นนางสารพี เดินเล่นในวังเห็น ท้าวราชสิลาก็จำได้จึงแปลงร่างเดิมเข้าไปหา ท้าวราชศิลาจึงใช้อาวุธจะฆ่านางให้ตาย นางยักษ์จึงอาละวาดพังเมืองเสียหาย ท้าวราชศิลาพานางโฉมนารีหนีขึ้นภูเขาสูง นางยักษ์ตามมา ด้วยแรงอธิษฐานของท้าวราชศิลาและนางโฉมนารี ว่าอย่าให้นางยักษ์ปีนตาขึ้นมาได้ นางยักษ์พยายามปีขึ้นตามด้วยน้ำตา ทั้งร่าไห้ และพร่ำรำพัน สามีดท่รักก็ไม่ลงมาหา ปีนตกลงมาก แล้วปีนขึ้นอีก นางจึงอกแตกตาย ทั้งคู่จึงลงมาคิดว่าปลอดภัยแล้ว แต่พลาดพลั้งสะดุดก้อนหินตกเหวตายทั้งคู่........    

   โอ้....ชีวิตผิดหรือที่มีรัก
ผูกสมัครรักเธอมิหน่ายหนี
ตราบดินฟ้า ตราบภูผา ตราบธาณี
เป็นธุลีก็มิคลายหายรัเธอ.......

ภาส ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์ศิลปวัฒนรรมไทยและอีสาน  
ติชมด้านล่าง หรือที่  http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 512 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 511 ครั้ง
 
 
  22 ส.ค. 2551 เวลา 13:13:40  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   30) เล่ห์ลูกเขย  
  ภาส    คห.ที่0) เล่ห์ลูกเขย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
เล่ห์ลูกเขย
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง นิทานไม่รู้จบ

มีท่านเศรษฐีเฒ่าผู้หนึ่งชอบฟังนิทานเป็นชีวิตจิตใจ หายใจเข้าก็ เฮ้อ นิทาน หายใจออกก็ เฮ้อ นิทาน แกมีลูกสาวแสนสวย วัยสาว 18 -19 ชื่อ บัวเรียน สวยมาก จึงมีชายมากมายหลายหน้ามาแวะมาเวียนหาอยู่เป็นประจำ  แต่ก็ถูกท่านเศรษฐีคะยั้นคะยอขอให้เล่านิทานให้ฟังเป็นการขัดจังหวะ บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายหวังที่จะเอาชนะว่าที่พ่อตา ก็เล่านิทานออกมาหลายเรื่องจนหมดไส้หมดพุงเพื่อหวังจะได้เป็นลูกเขย แต่พอฟังจบก็ไม่มีเรื่องเล่าแล้วท่านเศรษฐีก็อยากฟังนิทานจากชายอื่นต่อไป จึงยังมิได้ยกลูกสาวให้ใคร

ชายหนุ่มทั้งหลายต่างก็ขยาดไปตามๆกัน ไม่รู้จะสรรหาวิธีใด ครั้นหลายวันมานี่ไม่มีชายใดมาเล่านิทานให้ฟัง แกก็หงุดหงิดไม่สบอารมณ์ตามประสาวัยทอง แกจึงคิดอุบายขึ้นมาว่า ใครสามารถเล่า “นิทานไม่รู้จบ” จะยกลูกสาวให้ ชายหนุ่มทั้งหลายต่างก็มีหวังกันอีกครั้ง โดยไปสืบเสาะหานิทานจากต่างแดนไกลหลายๆเรื่องมาเล่าให้ฟัง แต่ว่าถึงจะเล่าหลายเรื่องและยาวอย่างไร ก็ต้องจบลงภายในวันเดียวไม่วันใดก็วันหนึ่ง จึงไม่มีใครได้แต่งงานกับลูกสาวสักที เศรษฐีเมื่อได้ฟังนิทานหลายเรื่อง ก็มีจิตใจแบ่งบานยิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม


อยู่มาวันหนึ่ง มีหนุ่มพเนจรจากแดนไกล ชื่อ ทับ ผ่านมาได้ยินเรื่องราว เกี่ยวกับนิทานไม่รู้จบ จึงอาสาจะลองดีกับท่านเศรษฐี จึงเล่า  “นิทานไม่รู้จบ” ให้ท่านเศรษฐีฟัง อันมีเนื้อความต่อไปนี้
“ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตากับยายสองคนมีอาชีพทำนาปลูกข้าวไว้หลายสิบไร่ ครั้งถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็นำข้าวเปลือกใส่ไว้ในยุ้งฉาง แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ แถวนั้นมีนกสองผัวเมียอาศัยอยู่ เห้นยุ้งฉางมีรอยโหว่จึงบินไปขโมยข้าวเปลือกของตากับยายกินทุกวัน โดยตัวหนึ่งจะเป็นยามอยู่คอยอยู่ข้างนอกรอ ผลัดกับตัวที่บินไปคาบข้าวเปลือก เป็นอยู่เช่นนี้หลายวัน จากวันเป็นเดือน อันว่าข้าวเปลือกนั้นไซร้ ก็หาหมดไม่ ดังนั้น “เมื่อตัวผู้คาบข้าวบินออก ตัวเมียก็บินเข้า พอตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า ครั้นพอตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก ตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า”  


ชายหนุ่มเล่าอย่างนี้วนไปวนมาใช้เวลาไป 1 วันเต็มๆ เศรษฐีเริ่มหงุดหงิด จึงเอ่ยปากถามว่า “มันเข้าบินออกอย่างนี้นิทานมันจะเดินหน้ายังไงว่ะ” เจ้าทับตอบว่า “แหม ก็ใจเย็นๆซีครับ....ก็มีข้าวเต็มยุ้งกว่ามันจะคาบไปหมด มันก็บินจนนับครั้งไม่ถ้วนนู่นแหละจ้ะ”
ท่านเศรษฐีจึงรู้ว่ามันเป็นเล่ห์ลูกเล่นของเขาที่ทำให้ตนไม่สามารถทนฟังได้ จึงแกล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเอ็งเล่าได้ ข้าก็ฟังได้  เอ็งมีปัญญาเล่าก็เล่าไป  ฝ่ายนางบัวเรียน เมื่อเห็นชายหนุ่มมีความพยามและเห้นในความเฉลียวฉลาดจึง ตักน้ำเย็นใส่ขันมาให้ดื่มแก้คอแห้ง เจ้าทับจึงเล่าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ



“เมื่อตัวผู้คาบข้าวบินออก ตัวเมียก็บินเข้า พอตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออกเมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก”


ชายหนุ่มเล่าอย่างนี้จนเวลาล่วงเข้าสู่วันที่ 3 ท่านเศรษฐีไม่อยากจะฟังแล้ว แต่ก็ไม่กล้ายอมแพ้ จนเวลาผ่านไป 7 วัน 7 คืนจนเศรษฐีแทบจะบ้าเป็นประสาทตาย เจ้าทับก็เล่าไปจนคอแหบคอแห้ง จนครบ 15 วัน เจ้าทับหมดเสียงที่จะเล่าจึงได้คลานไปกระซิบข้างหูของเศรษฐี “เมื่อตัวผู้คาบข้าวบินออก ตัวเมียก็บินเข้า พอตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออกเมื่อตัวผู้ก็บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก เมื่อตัวผู้บินออก ตัวเมียก็บินเข้า เมื่อตัวผู้บินเข้า ตัวเมียก็บินออก”
เศรษฐีสุดจะทน “พอแล้ว พอแล้วโว้ย ตูจะบ้าตายอยู่แล้ว
“แต่นิทานยังไม่จบนะครับ มาๆๆผมจะเล่าต่อ พอตัวผู้..........” เจ้าทับพูด
“กูบออกว่าไม่ต้อง เรื่องนี้ก็ไม่อยากฟังแล้ว” เศรษฐีตะโกน
“อย่างนั้นผมก็ชนะน่ะสิ ผมยังเล่าไม่ถึงครึ่งท่านก็เบื่อซะก่อน...เอ่อ อันที่จริงผมยังมีนิทานขนาดพอดีๆที่สนุกอีกนับไม่ถ้วน ไว้แต่งงานเสร็จแล้ว ผมจะเล่าให้ท่านฟังทุกวัน รับรองไม่ซ้ำแม้แต่เรื่องเดียว
“เออ แล้วเอ็งก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” ท่านเศรษฐีได้ฟังดังนั้นค่อยหายโกรธ และพอใจที่ได้เขยดีๆแบบนี้ แสดงว่าเขารักลูกสาวเราจริง........


ข้อคิด ความพยามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่นั้นนะจ๊ะ แต่ถ้าพยายามขนาดนี้............เอ่อ..........เอ่อ...


ภาส   ศิษย์พี่ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นอีสาน

ติชมกระทู้ด้านล่าง หรือที่  http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 505 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 503 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 12:54:56  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   26) ปลาบู่ทอง  
  ภาส    คห.ที่10)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
โว้ๆๆ อีสานจุฬาฯ งานนี้มีเฮ มีละคร เรื่อง ปลาบู่ทอง  งานนี้ ถ้าหากแฟนๆเค้าอยากทราบเนื้อเรื่องย่อ เว็บเราคงถูกพ่วง แน่ๆเลย จาก กูเกิ้ล น่ะนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 496 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 496 ครั้ง
 
 
  01 มิ.ย. 2552 เวลา 16:55:57  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   65) หูดสามเปา  
  ภาส    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
คุณมังกรเดียวดาย:
นิทานเรื่องหูดสามเปา สำนวนนี้ เป็นสำนวนของน้องภาส ซึ่งต้นฉบับ น้องภาสโพสต์ไว้ ที่นี่
http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/?transaction=post_view.php&cat_main=3&id_main=85&star=0#top

ตั้งแต่ ส.ค. 2550 แล้วเด้อ


อิๆ ก๊อปกันไปมาเนาะ เว็บเดียวกันยังเอามาฉายอีกยุ สงสัยลาวรีเมค

แต่ว่าเว็บที่อ้างอิงด้านล่างนะ เขาก็ก๊อปของเรามาอีกทีนะ ที่ว่าเกรด 4 น่ะ ผมพูดไว้ชัดๆเลยอ่า อิๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 466 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 466 ครั้ง
 
 
  29 พ.ค. 2554 เวลา 15:00:43  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   34) เซียงเมี่ยง  
  ภาส    คห.ที่0) เซียงเมี่ยง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
เซียงเมี่ยง
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง ศรีธนญชัย

อันว่าเรื่องของ เซียงเมี่ยง หรือ ศรีธนชัยนั้น มีตำนานกล่าวไว้อย่างหลากหลาย ทางผมจึงหยิบยกตอนต่างๆมาผูกปมใหม่  ให้ได้เป็นเรื่องเป็นราวที่สนุกและกะทัดรัด คงไม่ว่ากันเนาะ

เซียงเมี่ยง เป็น คนฉลาดเฉลียว เจ้าเล่ห์ เจ้าความคิด ช่างพูด ช่างเจรจา เป็น ลูกของนายชัย กับ นางศรี ซึ่งชื่อนั้นก็ได้เอาชื่อ พ่อ กับ แม่ผสมอยู่ด้วย และมีน้องอีกคน เซียงเมียงจึงมีหน้าที่ดูแลน้อง วันหนึ่งมีแม่ค้าขายขนมมาขายที่บ้าน พ่อแม่ก็ซื้อให้ และแบ่งให้ลูกๆเท่าๆกัน แต่เซียงเมียงกลับเอ่ยว่า น้องตัวเล็กต้องได้น้อยกว่าพี่จึงจะถูก แม่ค้านั้นเห็นน้องของเซียงเมียงน่ารัก น่าเอ็นดูจึงหยิบขนมแถมให้ ทำให้เซียงเมี่ยงไม่พอใจ วันนั้นทั้งวัน  เซียงเมี่ยงไม่ดูแลน้อง น้องจึงเล่นสกปรก เล่นดินเล่นทราย จนแม่มาเห็นจึงบอกให้เซียงเมี่ยงดูแลอาบน้ำล้างขี้ล้างเยี่ยวล้างตับไตไส้พุงน้องให้สะอาด เซียงเมี่ยงจึงจับน้องผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมาล้าง เอาขมิ้นดินสอพองทาอย่างดีแล้วเอาใส่เปลเห่กล่อม พ่อแม่รู้จึงเอาหวายมาไล่เฆี่ยนไล่ตีและขับไล่ให้ออกจากบ้าน ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งอยู่ได้ไม่นานก็ถูกขับไล่ออกมา เพราะไปยอกเย้าหลานสาวสมภาร

เซียงเมี่ยงจึงไปขออยู่กับแม่ค้าขายขนม (ซึ่งมีความแค้นกันอยู่)  วันหนึ่งแม่ค้าใช้ให้เอาขนมไปขาย และขอให้ขายดีเหมือนเทน้ำเทท่า เซียงเมี่ยงจึงเอาไปน้ำเทท่าจริงๆ กลับมาบ้านแม่ค้าถามหาเงิน เซียงเมี่ยงก็ได้โกหกว่าคนแถวบ้านเชื่อไว้วันหน้าจะเอาเงินมาให้ หลายวันเข้าแม่ค้าจับได้จึงเอาไปฝากไว้กับลูกชายซึ่งเป็นขุนนาง(หลวงนาย)ชุบเลี้ยงในเมืองหลวงให้ช่วยกำราบเจ้าศรี

ขอเรียกใหม่ว่า เจ้าศรีก็แล้วกันนะ เพราะเรียกเซียงเมี่ยง ผมขี้เกียจพิมพ์     เจ้าศรีนี่น่ะ พอมาอยู่ที่นั่นก็ได้มีหน้าที่ถือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชา วันหนึ่งเกิดทำพลูหล่นหาย หลวงนายจึงบอกว่าควรระมัดระวังเห็นอะไรก้เก็บให้หมด วันต่อมา เจ้าศรีเห็นขี้หมา ขี้แมวแห้งก็เก็บใส่ล่วมมาหมด จึงนำถวายหลวงนาย วันนี้เพื่อนของหลวงนายมาพอดี จึงจะเปิดล่วมให้เพื่อนด้วย พอเปิดขึ้นหลวงนายก็ไม่พอใจไล่เตะเจ้าศรีด้วยความโมโห(ด้วยความสูน ฮิๆๆๆ)

วันต่อๆมาเมื่อคนในบ้านเผลอจุดไฟไฟเผาบ้าน คุณนายสั่งให้เจ้าศรีไปรายงานต่อหลวงนาย เจ้าศรีแกล้งเดินเชื่องช้าคลานช้าๆเข้าไปกระชิบกระซาบหลวงนายกว่าจะรู้เรื่องไฟก็ไหม้หมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาฐานะของหลวงนายก็ยากจนลงถึงกับทำนาด้วยตัวเอง วันหนึ่งแม่ของหลวงนายป่วย จึงสั่งให้เจ้าศรีไปเฝ้าดูแล ด้วยความแค้นแต่หนหลัง เจ้าศรีจึงเอาสารหนูผสมกรอกกับยาให้กิน หลวงนายไม่รู้จะทำประการใดก็ได้แต่ทำพิธีเผาตามประเพณี เจ้าศรีจึงได้ไปอยู่ในเมืองตามเดิมและสร้างเรื่องสร้างราวไม่เว้นแต่ละวัน หลวงนายจึงส่งไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระเจ้าภูเบศ

เมื่ออยู่ในวัง เจ้าศรีได้ใช้ความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่จนราชาพอพระทัย จึงเลื่อนขั้นเป็น ขุนศรีธนชัย พอโตขึ้นนิสัย ขุนศรี ก็ฉลาดแกมโกง กำเริบ ไม่ค่อยได้มาเข้าเฝ้าดังแต่ก่อน ครั้นราชาทรงถามก็ตอบว่ามัวแต่สร้าง เรือนทอง อยู่จึงไม่ค่อยว่าง ราชาจึงเสด็จไปดูพร้อมนางกำนัล พอถึงปรากฏว่าเป็นเรือนไม้ทองหลางจึงรู้ว่า ขุนศรี นี้หลอกเอาแล้ว จึงสั่งคนในวังไปถ่ายรดเรือนจนเลอะเทอะ สมพระทัยแล้วจึงกลับวัง เจ้าศรีกลับทุบตีเหล่านางกำนัล และหาว่าพวกนางทำเกินคำสั่งเพราะตดด้วย

อยู่ต่อมาเจ้าศรีอยากมีที่ดินไว้สร้างฐานะของตน จึงขอที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย กับราชา ราชาตอบตกลง เจ้าศรีจึงไล่ตีแมว แมวเจ็บร้องเสียงหลงวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงที่นาใครเจ้าศรีก็เอาธงปักไว้ ชาวนาเข้าไปร้องเรียน พระราชาไม่รู้จะทำประการใดได้แต่นำทรัพย์มาทดแทนชาวนาไป เพราะตรัสแล้วมิอาจคืนคำได้

อยู่ต่อมาอีก เจ้าศรีตามเสด็จพระราชาไปประพาสสวนหลวง ราชาจึงตรัสท้าเจ้าศรีว่าหากหลอกให้ลงสระได้จะให้รางวัล เจ้าศรีทูลว่ามิอาจหลอกให้ลงสระได้ แต่ถ้าหากหลอกให้ขึ้นจากสระล่ะพอมีทางอยู่ เมื่อลงสระแล้วจึงรู้ว่าเสียทีแล้ว แต่ก็ประทานรางวัลให้อย่างงาม

เมื่อถึงหน้าหนาว คิดอยากจะหาสาวมากอดให้อุ่นอก คิดอยากจะมีครอบครัว จึงไปบอกกับคนรู้จักที่สนิทสนมว่า จะขอลูกสาวไปทำลูก จึงยกให้แต่กว่าจะรู้ว่าเสียที เจ้าศรีก็ได้ลูกสาวเป็นเมียเสียแล้ว อยู่ไม่นานภรรยาของ ขุนศรี(เจ้าศรี) บ่นว่าไม่มีเงินใช้ ขุนศรีจึงไปพนันกับเหล่าอำมาตย์ต่อหน้าพระที่ว่า เจ้าศรีจะทายใจว่าเหล่าท่านอำมาตย์คิดอะไรอยู่ ท่านอำมาตย์จึงว่าไม่มีทางแน่นอน จึงรับคำท้า ขุนศรีจึงทายว่า เหล่าอำมาตย์นี้ล้วนแต่จงรักภักดีต่อพระองค์และแผ่นดินยิ่งกว่าชีพตน เจอไม้นี้ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง มิเช่นนั้นมีหวังเจอข้อหากบฏต่างแพ้พนัน ขุนศรีจึงนำเงินที่มากมายไปให้ภรรยา

เวลาผ่านไปมีเจ้าเมืองสิงหลส่งปราชญ์มาท้าประลองปริศนาธรรมด้วย หากใครแพ้จะต้องยกเมืองให้เป็นเมืองขึ้น ขุนศรี ขันอาสา เมือถึงวันประลอง ปราชญ์นั้นก็แพ้ย่อยยับกลับไป จากนั้นก็มีเมืองจากประเทศต่างๆมาท้าประลองด้วยกล เล่ห์ต่างๆแต่ก็แพ้กลับไป พร้อมสาปส่งว่าจะไม่ขอกลับมาเจอหน้าขุนศรีอีก

เรื่องราวของ “ขุนศรี”นั้นสุดแสนจะยืดยาว ผมก็ค้นได้มากพอควรอยู่แต่ก็ยาวมาก แต่ผมก็รู้แต่ว่า ตอนจบนั้น ท่านพระยาให้นำยาพิษ ใส่ในอาหารมาให้ทหารนำมาให้ขุนศรีกิน ขุนศรีนั้นรู้ว่าในอาหารนี้มียาพิษแน่นอน เพราะเอาอาหารวางไว้ไม่นานแมลงวันได้บินมาตอนแล้วก็ตาย ขุนศรีเลยตั้งใจจะกิน และแก้แค้นคืน โดยบอกกับภรรยาว่า หากข้าตายแล้วให้นำศพของข้านั่งบนเก้าอี้หันให้ประตูบ้านแล้วจัดท่าทางข้า ทำเหมือนข้ากำลังอ่านหนังสือ ภรรยารับคำทั้งน้ำตา ว่าแล้ว จุดจบของขุนศรีคือ ยอมกินอาหารที่มียาพิษด้วยตนเอง แล้วก็จากโลกไป ท่านพระยาได้ให้ทหารมาสอดแนมว่าขุนศรีตายหรือยัง ทหารนั้นเห็นลางๆว่าขุนศรีกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ จึงแอบไปถามภรรยาขุนศรีว่า ขุนศรีนั้นกินอาหารหรือยัง ภรรยาตอบว่ากินจนหมดแล้ว ทหารจึงไปบอกท่านพระยาว่า ยาพิษที่ใส่ลงไปคงเป็นยาอย่างอื่น ไม่ใช่ยาพิษแน่ ขุนศรีถึงไม่ตาย ว่าแล้ว ท่านพระยาและเหล่าทหารนั้นก็ได้พิสูจน์ยาพิษนั้น โดยการกินทุกคน ไม่ถึงนาที ทุกคนก็ตายกันไปหมด ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆนะจะบอกให้ ( แต่ก็มิได้นำพา )

ภาส   ภิรักษ์ประพันธ์ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 454 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 453 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 13:02:27  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   33) หัวล้านหลื่นครู  
  ภาส    คห.ที่0) หัวล้านหลื่นครู      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 

หัวล้านหลื่นครู
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง หัวล้านนอกครู

ทิดทอง กับ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน เรียนหนังสือด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถึงฐานะจะต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กันเลย ทั้งสองบวชเรียนด้วยกันจนสึกออกมา ทั้งสองก็ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบการงานอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง

วันหนึ่งมีพ่อค้าเร่ขายน้ำมันใส่ผมมาขายในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมไม่รู้อะไร จึงซื้อมาใช้ละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองร่วงออกๆ จนกลายหัวล้านกบาลไปทั้งคู่ ทั้งสองรู้สึกอับอาย ไม่อยากออกไปไหน กินไม่ได้นอนก็ไม่หลับ


ชาวบ้านรู้ดังนั้นก็แกล้งอำๆ ว่าไอ้นั่น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะออกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่ง ขี้ไก่โป่(อ้วก...!!!!) มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน


จนไปพึ่งโยคีกลางป่า โยคีบอกว่าไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาเต็มหัวดังเดิม ทั้งสองจึงทำตาม ดำครั้งแรกโผล่หัวออกมาผมก็ขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ก็ออกมาพอประมาณ ครั้ง 3 ผมนั้นเต็มหัวยาวประมาณ 3-4 เซนฯ แต่ทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัวเนื้อตายผมจึงไม่ขึ้น แทนที่จะปรึกษาโยคี ทั้งสองปรึกษากันเองว่า หากดำครั้งที่ 4 ผมจะเกิดแน่ จึงดำน้ำลงไปอีก แต่ทว่าโผล่หัวขึ้นมา กลับกลายเป็นหัวล้านกบาลใสดังเดิม โยคีช่วยอะไรไม่ได้เมื่อทั้งสองร้องไห้โวยวาย ทั้งสองจึงเดินก้มหัวกลับบ้านด้วยความผิดหวัง

นี่แหละ ที่มาของคำว่าหัวล้านหลื่อครู
ข้อคิด
- อย่าหลื่นคำผู้ใหญ่บอก ผู้ใหญ่สอน บอกคำไหนต้องคำนั้น
- เราเกิดบนแผ่นดินเดียวกัน รักกันไว้แหละดี

ภาส   ภิรักษ์ประพันธ์ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 440 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 440 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 13:00:49  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   78) ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่  
  ภาส    คห.ที่0) ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่

ตำนานมาตุฆาตอันน่าเศร้าสะเทือนแห่งเมืองอีสาน


ฤดูปักกล้าดำนา ท้องฟ้ายามเที่ยงคล้อยบ่าย แดดแรงแสงจ้า เหล่าชาวนาที่ทำงานเกี่ยวกับไร่นาคงจะรู้ว่ามันลำบากและเหนื่อยมาก บ้างก็พักใต้ต้นไม้ข้างเถียงนา เอาหมวกมาพัดวี ไล่ความร้อนอบอ้าวให้หายเหนื่อย

   จะมีมีก็แต่นายทอง ก้ไถนามาตั้งแต่ยามสาย จนไม่ยอมหยุด เพราะอีกไม่กี่ไร่ จะได้แล้วเสร็จไปเสียที วันนี้เขาจึงอ่อนเพลีย และหิวโหยเป็นพิเศษ แต่ก็ไถนาไปเรื่อยๆต่างรอแม่มาส่งข้าว

    แดดสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความหิวกระหาย ทองทิ้งควายทิ้งไถ ไปนั่งใต้ต้นไม้อย่างโมโห รอแล้วรอเล่า ผู้เป้นมารดาก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา แม่ของทองนั้นหลังเสร็จจากการทำคลอดให้เพื่อนบ้านก้วิงอย่างกระเสือกกระสน คว้าเอาก่องข้าวน้อยและถุงใส่กับข้าวปรี่ไปที่นา

   ทันใดที่นายทองเห็นแม่เดินมาใกล้จะถึง ตาก็เหลือบมองเห็นก่องข้าวน้อยที่แม่คอนน้อยต่องแต่งใบเล็กนิดเดียว ก้ยิ่งโมโหหิวเป็นทวีคูณ

พอแม่มาถึงก็ตวาดแม่เสียงดังว่า "อีเฒ่า มึงไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก
ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ"


แม่นั้นก็ตอบไปทันใดว่า "ถึงก่องข้าวจะน้อยก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย เจ้าอย่าวาจาแข็งลองกินกินดูก่อน"
ด้วยความโมโหหิว เหนื่อย โมโห หูอื้อ  ตาลาย ไม่ฟังเสียงใดๆ เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า
คว้าได้ไม้แอกเข้าตีแม่ล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดก่อง
จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่ ร้องไห้โฮ...ด้วยความสำนึกผิด
อนิจจา แม่ก็ได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว..

   นายทองร้องไห้โฮ สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
จึงไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟัง
สมภารท่านได้สอนว่า "การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต
ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก
มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้
ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง"

เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้
จึงให้ชื่อว่า "ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่" จนตราบทุกวันนี้ ที่จังหวัดยโสธร



ภาส ศิษย์พี่ อนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานสืบไป ชั่วลูกชั่วหลาน  
ติชมกระทู้ด้านล่าง หรือที่  http://twitter.com/Pai_KKU

 
 
สาธุการบทความนี้ : 420 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 419 ครั้ง
 
 
  29 พ.ค. 2554 เวลา 12:13:47  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   20) ผัวมักกินเบียร์ เมียมักเล่นหวย  
  ภาส    คห.ที่0) ผัวมักกินเบียร์ เมียมักเล่นหวย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
               ผัวมักกินเบียร์ เมียมักเล่นหวย
โดนแล้วล่ะ....ประมาณ ปี 2534 (ผมเกิดพอดี) มีผัวเมียคู่หนึ่ง ผังชื่อ เขียว เมียชื่อศรี ยายศรีมีอาชีพขายตำบักหุ่งอยู่หน้าปากวอย ผัวมีอาชีพหาปลามาขายเหมือนกัน ไม่รวยไม่จน พออยู่พอกิน


   พูดถึงผัวไม่ว่าเหล้าว่าเบียร์ก็กินแทบทุกวัน ไม่มีวันใดเลยที่ไม่กิน ถึงเงินไม่มีก็ไปขโมยเมียมาซื้อ ไม่ว่าจะซ่อนไว้ไหน ผัวก็หาจนพบแล้วไปซื้อมาดื่ม ยิ่งงานเทศกาลต่างๆแกก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก


   แล้วมาพูดถึงเมีย ยายสรีแกก้ปากจัด เที่ยวด่าแต่ลูกค้า แถมยังชอบเล่นหวยอีกต่างหาก ไม่ว่างวดไหน ใครมีเลขเด้ดแกก้แทงตามไปทุกงวด แต่ทว่าไม่เคยถูกเลยสักที แต่ว่ามีครั้งหนึ่งได้เงินจากกานแทงหวย 1200 บาท แกอยากได้อีก จึงซื้อไม่ขาดระยะ ทั้งบนดิน ใต้ดิน ล็อตลี่ (ป้าด ....ข้าน้อยขอคารวะ)


   แล้วมางวดหนึ่ง นางศรีฝันว่า เทวดา เอาไหใบใหญ่มาไว้บนภูเขาหลังหมู่บ้าน แกจึงไปตามหาไห อีกอย่างคงคิดว่า น่าจะมีเลขเด็ดๆให้แทงสนุกๆอีกแน่ๆ อุปสรรคมากมาย ทั้งหมาเห่า หมาไล่ เข้าป่าเข้าคง คันคาย หญ้าบาดเท้าแกก็ไม่หวั่น ไปถึงก็ได้เธอคนหาหน่อไม้อยู่คนละฟากน้ำจึงร้องถามว่าเห็นไหไหม คยฟังโน้น ไม่ได้ยิน จึงได้แต่ร้องว่า หา  หา  หา (หมายความว่า พูดอะไรนะ) ฝ่ายนางศรี คิดว่าเทวดาแปลงกายมา อีกทั้งหุแว่วได้ยิน 555 คงจะเป็นเลขเด็ด จึงวิ่งแจ้นกลับบ้าน จะซื้อให้ถูกรางวัลที่ 1 มีเงินเท่าไหร่จะทุ่มหมดตัว แต่พอไปถึง เงินไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว เพราะผัวขโมยไปซื้อเหล้าเบียร์กินหมดแล้ว เฮ่อ...แล้วเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปเนี่ย ไม่มีใครรู้ สงสัยจะไปยืมตังค์คนข้างบ้าไปแทงมั้ง แต่คงไม่ใครให้ยืมหรอก เพราะแกปากจัด


นี่แหละหนา.....มัวเมา ลุ่มหลงในสิ่งที่ผิด จงใช้ชีวิตแบบพอเพียงและถูกต้องกันเถอะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 367 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 365 ครั้ง
 
 
  27 พ.ย. 2550 เวลา 14:03:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   31) ศึกกลางหมู่บ้าน  
  ภาส    คห.ที่0) ศึกกลางหมู่บ้าน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ศึกกลางหมู่บ้าน
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง น้ำผึ้งหยดเดียว

น้ำผึ้งหยดเดียว หรือ น้ำผึ้งเหตุ นี้ จะหาว่าเรื่องราวชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะน้ำผึ้งคงไม่ใช่ เอ ใครเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดกันนะ  ร่วมมาร่วมกันคิด ตริตรอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า ใครผิด ใครถูก เรื่องมันมีว่า

ช่วงปลายปีมีการเล่นว่าวที่ชายทุ่ง ลมพัดเย็นสบาย นางเย็นชื่น ได้พาลูกมานั่งดูว่าวใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ที่คนเขาเล่นปล่อยว่าวขึ้นสูงเสียดฟ้า ต่อมามีเด็กคนหนึ่งเดินถือขวดน้ำผึ้งเดินมาตามถนน แต่ว่าตานั้นได้แหงนมองดูว่าวเพลินเกินไป เท้าจึงสะดุดล้มลง น้ำผึ้งจึงหกลงมาถนน 1 หยด แล้วเด็กก็เดินต่อไป ทีนี้มีมด แมลง มากินน้ำผึ้งกันตามประสา ทีนี้คางคกจึงมาไล่จับกินแมลง มด แล้วมีแมวตัวหนึ่งมาไล่กินจิ้งจก ทีนี้หมาก็มาวิ่งกัดแมว เพื่อจะแย่งเยื่อ เด็กเจ้าของแมวเห็นเข้าจึงเอาไม้มาฟาดใส่หมาเต็มๆ


เด็กเจ้าของหมาเห็นหมาตัวเองขาหักจึงวิ่งถือไม้จะมาตีเด็กเจ้าของแมว เด็กเจ้าของแมวก็ร้องให้พ่อมาช่วย พ่อเจ้าของแมวจึงถือไม้ฟาดหัวเด็กเจ้าของหมาวิ่งหัวแตกกลับไป พ่อของเด็กเจ้าของหมาเห็นลูกหัวแตกกลับมา จึงฉวยได้ไม้พลองมาตีเอาพ่อของเด็กเจ้าของแมวล้มลง เด็กเจ้าของแมวเห็นแล้วก็รีบวิ่งไปหยิบดาบมาฟันแขนพ่อของเด็กเจ้าของหมาได้รับบาดเจ็บ ไม้พลองจึงหลุดจากมือ


พ่อเจ้าของหมาวิ่งโซซัดโซเซไปเพื่อไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง พอน้องชายและลูกคนโตรู้เข้าก็ถือดาบและไม้พลองวิ่งสวนกันมา หมายจะฟันคนที่ฟันพ่อของตน เมื่อบุตรคนโตของเจ้าของแมวเห็นเหตุการณ์บ้างก็ได้แต่เอาไม้พลองป้องกันน้องไว้ และได้ตีลูกชายตนโตเจ้าของหมา ดาบที่มือก็หล่นลง อาเห็นว่าหลานชายตัวเองเสียทีจึงเอาไม้พลองตีเด็กหนุ่มเจ้าของแมว ฝ่ายพ่อของเด็กเจ้าของแมวเมื่อหายมืดแปดด้านด้าน หน้ามืดตามัวแล้ว ก็จะฟันเอาพวกเจ้าของหมาทั้งหลาย ฝ่ายอาก็ได้ใช้พลองป้องกันไว้ ทีนี้ต่างคนต่างตีกันไปมา ชุลมุนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อลเวงกันจนบรรยายไม่ได้


จนกระทั่งคนที่เห็นเหตุการณ์ หรือเดินผ่านมา เห็นว่าใครน่าจะผิดจะถูกก็วิ่งเข้าไปแจม เป็นการทะเลาะเบาะแว้งที่ใหญ่กว่าเดิม  ทีนี้เพื่อนสนิทมิตรสหายของแต่ละฝ่ายเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปต่อสู้ช่วยเพื่อนตนเอง จาก1คน2คนหลายมาเป็นสิบกว่าคน ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บไม่แพ้กัน อลวนอลเวงเหลือคณานับ


จนกระทั่งกำนัน  ผู้ใหญ่บ้านมาห้ามปรามจึงได้หยุดลง และลบเลือนหายไปเป็นบางส่วน และได้สงบลงพักหนึ่ง แล้วช่วยกันชันสูตรบาดแผล  และสอบถามได้ความว่า ฝ่ายบาดเจ็บ 15 คน ( ฝ่ายหมาเหรอ ฟังทะแม่งๆจัง ) ฝ่ายแมวบาดเจ็บ 9 คน เพราะพวกมีน้อย ครั้นแล้วเหล่าผู้ใหญ่จึงไต่สวนถามว่า ต้นสายปลายเหตุเป็นยังไงมายังไง ต่างคนต่างบอกไม่ทราบ เอ๊ะ ดูมันประหลาดมาก ไม่รู้สาเหตุแต่มาปะเลาะกันจนเกือบล้มตาย

มีคนหนึ่งบอกว่าเห็นพี่ชายตนบาดเจ็บเลยได้ไม้พลองมาช่วยกันไปแต่ไม่รู้โดนใครบ้าง ผู้ใหญ่เลยถามพี่ชายคนนั้น ได้ความว่าเห็นบุตรหัวแตกมาเลยไปช่วย ผู้ใหญ่จึงถามบุตรคนนั้น ได้ความว่า เห็นหมาขาหักเลยไปช่วยหมา ผู้ใหญ่จึงถามหมา เอ้ย........ จะถามหมาได้ไงกันเนอะ ไม่ถามละกัน แล้วกำนันก็ไปถามอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ความว่าเขาเห็นพ่อล้มลง เลยเอาดาบไปช่วย กำนันเลยถามพ่อคนนั้น ได้ความว่า เสียงบุตรคนเล็กร้องไห้เลยถือไม้ลงไปช่วย เลยถามเด็กเลยบอกว่าหมาฝ่านโน้นมากัดแมวผม เลยสรุปว่าหมากัดแมว แต่ฝ่ายหมาค้านมาว่าหมาของตนกลัวแมวจะตาย (เอ๊ะ...ยังไง) จนนางเย็นชื่นมาเล่าให้ฟังว่า หมาแมวพวกนี้คงจะแย่งเยื่อกันกระมัง  แกเล่าตอไปว่า ก่อนกน้านี้มีเด็กคนหนึ่งมาทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นไว้พวกมด พวกแมลงเลยมากิน แล้วคางคกเลยมากินแมลงทีนี้หมาแมวคู่นี้เลยมาที่นั่นแล้วก็ชุลมุนจนอิฉันก็งงเหมือนกัน...............ต่างฝ่ายไม่รู้จะทำยังไงต่อไป........เรื่องนี้ก็เอวังเท่านี้กระมัง ผมก็ไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป จะรักหรือเกลียดกันเข้ากระดูกก็ไม่ทราบ


ข้อคิด
อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
อย่าเป็นคนหุนหันพลันแล่นและมีทิฐิ จนไม่ยอมฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน

ภาส   ศิษย์พี่ ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอีสานด้วยจิตวิญญาณที่สำนึกรักบ้านเกิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 348 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 346 ครั้ง
 
 
  05 มิ.ย. 2551 เวลา 12:57:04  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   25) สองเครือน้ำตาหลั่ง  
  ภาส    คห.ที่0) สองเครือน้ำตาหลั่ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
     นานมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกอยู่ 7 คน จะว่า 7 คนก็ไม่ถูกเพราะ เพราะสามีนั้น มีเมียและมีลูกมาแล้ว 4 คน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบัน มีลูกให้อีก 3 คน เมียคนแรกตายไปแล้ว อันว่าลูกทั้ง 7 ก็เป็นหญิงล้วน เมื่อถึงคราต้องไปเรียนมหาลัย ต่างจังหวัด ทั้ง 7 ก็ได้ไล่เลี่ยกันไป ทองพันแม่ของ ลูกทั้ง7 ไปส่งลูกที่ สถานีรถไฟ แต่ทว่า บัวตองและหนึ่งฤทัย ได้แอบลงรถไฟ แอบไปหาแฟนที่กระท่อมปลายนาในหมู่บ้านใกล้ๆกับบ้านของตนที่อาศัยอยู่เดิม คู่ของหนึ่งฤทัยนั้นหนีไปไต้หวัน ส่วนคู่ของบัวตองได้ อยู่ที่นาร้าง จนกระทั่งมีลูก

     ผัวของบัวตองชื่อ คำไผ่ วันหนึ่งคำไผ่ได้ออกจากกระท่อมไปหาปลา ตอนนั้นบัวตองท้องแก่ เจ็บท้องอย่างรุนแรง ยายขมิ้น ได้ผ่านมาหาหน่อไม้ได้พบเข้า จึงช่วยทำคลอดให้ พอทำคลอดเสร็จ ยายขมิ้นก็นึกอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ จึงนึกออกว่าเป็น บัวตอง ลูกนางทองพันนี่เอง จึงนำข่าวไปบอกนางทองพัน ส่วน ผัวนางทองพันได้ยินก็โกรธและรีบวิ่งแจ้นไปหาไอ้คำไผ่ พอเจอก็เกิดต่อยตี จนเป็นเหตุใหญ่ นางทองพันก้พร่ำด่าลูก ว่าส่งให้ไปร่ำไปเรียนดันมาทำอัปรีย์ พูดไปด่าไปจากโมโห กลายเป็นร้องไห้ และไปหาพ่อกับแม่คำไผ่ ซึ่งมีฐานะเป็นถึง ขุนนางเก่า ให้มาสู่ขอนางบัวตองโดยดี แต่เศรษฐีหาได้สนใจไม่ พร้อมทั้งบอกว่า ลูกตัวเองไม่มีทางได้ทำอย่างนั้นเด็ดขาด


     ทองพันไม่รู้จะทำอย่างไร ที่สามีก็ถูกจับ ข้อหาทำร้ายผู้ผิด ตำรวจก็มีแต่จับอย่างเดียวเพื่อเอาผลงาน นางทองพันเลย จับนางบัวตองบวชชี ส่วนหลานนั้น นางจะเป็นคนดูแลเอง เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ บัวตองได้แอบหนีออกจากวัด ไปหาคำไผ่อีก นางทองพันรู้ก็ได้แต่ด่าและจับล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน ส่วนคำไผ่นั้นก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะหาบัวตองหนี จนสำเร็จ ปล่อยให้ทองพันกับหลานเลี้ยงลูกอย่างเดียวดาย ทองพันได้แต่กล่อมหลานไกวเปลเห่ร้องอย่างเดียวหาย ส่วนสามีนั้นพอออกจากคุกมาก็ได้มาดูแลอย่างเดิม แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะลูก ทั้ง 5 ยังเหลืออยู่ เอ๊ะ หรือว่า ลูกทั้ง 5 นั้น จะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย


- บุญคุณพ่อแม่นี้หนักเกิ่ง ธรณี ผู้ได้ยอเยินยก สิรุ่งเรื่องไปหน้า ผู้ได้ววจาต้านสองเครือน้ำตาหลั่ง บาปท่อฟ้าเวรกรรมท่อแผ่นดิน

ภาส ศิษย์น้องเล็ก




ข้อความทั้งหมดถูกจดลิขสิทธิ์ โดย ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน การนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามกฎหมาย
ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 4 อาคารจุลจักรพงษ์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

 
 
สาธุการบทความนี้ : 345 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 344 ครั้ง
 
 
  20 ก.พ. 2551 เวลา 10:28:22  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   39) ทศชาติชาดก ชาติที่ ๒ ชนกชาดก  
  ภาส    คห.ที่0) ทศชาติชาดก ชาติที่ ๒ ชนกชาดก      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ชาดก คือ ตำนานซึ่งเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้าง แต่ก็ได้พยายามทำความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย......

ชาติที่ ๒ ชนกชาดก


จะกล่าวถึงเมืองมิถิลา ผู้ครองเมือง ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหาชนก ทรงมีพระโอรสสององค์ คือ เจ้าอริฏฐชนก และ เจ้าโปลชนก

    เจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราช ส่วนเจ้าโปลชนกทรง เป็นเสนาบดี เมื่อพระราชบิดาสวรรคต เจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราช ก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมา เจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช ทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระเชษฐาอย่างดียิ่ง

    มีอำมาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนก จึงหาอุบายให้ พระราชาอริฏฐชนกระแวงพระอนุชา โดยทูลพระราชาว่า เจ้าโปลชนกคิดกบฏ จะปลงพระชนม์พระราชา พระราชาทรงเชื่อคำ อำมาตย์ จึงให้จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้ เจ้าโปลชนกเสด็จหนี ไปจากที่คุมขังได้หลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลา เจ้าโปลชนก ทรงคิดว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราชนั้น มิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชา ผู้เป็นพี่เลย แต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนีมา ถ้าพระราชาทรงรู้ว่า อยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้ บัดนี้ผู้คนมากมาย ที่ชายแดนที่เห็นใจ และพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วย ควรที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า


   คิดดังนั้นแล้ว เจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็น กองทัพไปล้อมเมืองมิถิลา บรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจำนวนมาก เพราะเห็นว่าเจ้าโปลชนก เป็นผู้ซื่อสัตย ์และมีความสามารถ แต่กลับถูกพระราชาระแวง และจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรม ครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจำนวน มากมายเช่นนี้ พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่า ไม่มีทางจะเอาชนะ ได้ จึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบหนี เอาตัวรอด ส่วนพระองค์เองทรงออกทำสงคราม และสิ้นพระชนม์ ในสนามรบ


เจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก เสด็จหนีออกจาก เมืองมา ตั้งพระทัยจะเสด็จไปอยู่เมือง กาลจัมปากะ แต่กำลังทรงครรภ์แก่ เดินทางไม่ไหว ด้วยเดชานุภาพ แห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ พระอินทร์จึงเสด็จมาช่วย ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่ พระนางพักอยู่ และถามขึ้นว่า
   "มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง" พระนางดีพระทัยรีบตอบว่า "ลุงจ๋า ฉันจะไปจ๊ะ" พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน พาเดินทางไป เมืองกาลจัมปากะ ด้วยอานุภาพเทวดา แม้ระยะทาง ไกลถึง 60 โยชน์ เกวียนนั้นก็เดินทางไปถึงเมืองในชั่ววันเดียว พระมเหสีเสด็จไปนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น

   และบังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่งเดินผ่าน มาเห็น พระนางเข้า ก็เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงเข้าไปไต่ถาม พระนางก็ตอบว่าหนีมาจากเมืองมิถิลา และไม่มีญาติพี่น้องอยู่ ที่เมืองนี้เลย พราหมาณ์ทิศาปาโมกข์จึงรับพระนางไปอยู่ด้วย ที่บ้านของตน อุปการะเลี้ยงดูพระนางเหมือนเป็นน้องสาว ไม่นานนัก พระนางก็ประสูติพระโอรส ทรงตั้งพระนามว่า มหาชนกกุมาร ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา ของพระกุมาร มหาชนกกุมารทรงเติบโตขึ้นในเมืองกาลจัมปากะ มีเพื่อนเล่นเด็กๆ วัยเดียวกันเป็นจำนวนมาก วันหนึ่ง มหาชนกกุมารโกรธกับเพื่อนเล่น จึงลากเด็กคนนั้นไปด้วย กำลังมหาศาล เด็กก็ร้องไห้บอกกับคนอื่นๆ ว่า ลูกหญิงม่าย รังแกเอา มหาชนกกุมารได้ยินก็แปลกพระทัยจึงไปถาม พระมารดาว่า "ทำไมเพื่อนๆ พูด ว่า ลูกเป็นลูกแม่ม่าย พ่อของลูกไปไหน" พระมารดาตอบว่า "ก็ท่านพราหมณ์ทิศา ปาโมกข์นั่นแหล่ะเป็น พ่อของลูก"


เมื่อมหาชนกกุมารไป บอกเพื่อนเล่นทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นก็หัวเราะเยาะ บอกว่า "ไม่จริง ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่พ่อของเจ้า" มหาชนกก็กลับมาทูลพระมารดา อ้อนวอนให้บอกความจริง พระมารดาขัดไม่ได้ จึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสทรงทราบ

   เมื่อพระกุมารทราบว่าพระองค์ทรงมี ความเป็นมาอย่างไร ก็ทรงตั้งพระทัยว่าจะร่ำเรียนวิชาการเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ จะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา ครั้นมหาชนกกุมารร่ำเรียนวิชาในสำนักพราหมณ์จนเติบใหญ่ พระชนม์ได้ 16 พรรษาจึงทูลพระมารดาว่า "หม่อมฉันจะเดินทาง ไปค้าขาย เมื่อมีทรัพย์สินมากพอแล้ว จะได้คิดอ่าน เอาบ้านเมืองคืนมา" พระมารดาทรงนำเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา 3 สิ่ง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร อันมี ราคามหาศาล จึงประทานแก้วนั้นให้พระมหาชนกเพื่อนำไปซื้อสินค้า พระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุกลงเรือร่วมไปกับ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ ในระหว่างทาง เกิดพายุใหญ่ โหมกระหน่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก บรรดาพ่อค้าและลูกเรือพากัน ตระหนกตกใจ บวงสรวง อ้อน วอนเทพยดาขอให้รอดชีวิต


    ฝ่ายมหาชนกกุมาร เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจน อิ่มหนำ ทรงนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา ครั้นเมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้ากลาสี เรือทั้งปวงก็จมน้ำ กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำไปหมด แต่พระมหาชนกทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย มีผ้าชุบน้ำมัน ช่วยไล่สัตว์น้ำ และช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี จึงทรงแหวกว่าย อยู่ในทะเลได้นานถึง 7 วัน ฝ่ายนางมณีเมขลา เทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนก ว่ายน้ำอยู่เช่นนั้น จึงลองพระทัย พระมหาชนก "ใครหนอ ว่ายน้ำอยู่ได้ถึง 7 วัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง จะทนว่ายไปทำไมกัน" พระมหาชนกทรงตอบว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" นางมณีเมขลากล่าวว่า "มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง ท่านคงจะ ตายเสียก่อนเป็นแน่" พระมหาชนกตรัสตอบว่า "คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำ ความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว " นางมณีเมขลาถามต่อว่า "การทำความพยายามโดยมองไม่เห็น ทางบรรลุเป้าหมายนั้น มีแต่ความยากลำบาก อาจถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทำไมกัน" พระมหาชนกตรัสตอบว่า "แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรา กำลังกระทำนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือ ย่อมได้รับ ผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวัน บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกำลัง เ พื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้" นางมณีเมขลาได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยสรรเสริญความเพียร ของมหาชนกกุมาร และช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา วางพระองค์ไว้ที่ศาลาในสวนแห่งหนึ่ง

   ในเมืองมิถิลา พระราชาโปลชนกไม่มีพระโอรส ทรงมีแต่ พระธิดาผู้ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง พระนามว่า เจ้าหญิงสิวลี ครั้นเมื่อพระองค์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคต บรรดาเสนา ทั้งปวงจึงทูลถามขึ้นว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วราชสมบัติ ควรจะตกเป็นของผู้ใด ในเมื่อไม่ทรงมีพระโอรส พระเจ้าโปลชนก ตรัสสั่งเสนาว่า "ท่านทั้งหลายจงมอบ ราชสมบัติให้แก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้ ประการแรก เป็นผู้ที่ทำให้พระราชธิดาของเราพอพระทัยได้ ประการที่สอง สามารถรู้ว่าด้านไหนเป็นด้านหัวนอนของ บัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม ประการที่สาม สามารถยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงคนธรรมดา ถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้ ประการที่สี่ สามารถชี้บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง 13 แห่งได้" แล้วจึงตรัสบอกปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่ง แก่เหล่าอำมาตย์ เช่น ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายใน ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่ภายในและภายนอก ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้ ขุมทรัพย์ที่ปลายงา ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง เป็นต้น เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ บรรดาเสนาบดี ทหาร พลเรือน และประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างพยายามที่จะ เป็นผู้สืบราชสมบัติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เจ้าหญิงสีวลีพอพระทัยได้ เพราะล้วนแต่พยายามเอาพระทัยเจ้าหญิงมากเกินไป จนเสียลักษณะของผู้ที่จะปกครองบ้านเมือง ไม่มีผู้ใดสามารถยก มหาธนูใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดรู้ทิศหัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม และไม่มีผู้ใดไขปริศนาขุมทรัพย์ได้

   ในที่สุดบรรดาเสนาข้าราชบริพารจึงควรตั้งพิธีเสี่ยงราชรถ เพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง บุษยราชรถเสี่ยงทายนั้นก็แล่นออกจากพระราชวัง ตรงไปที่สวน แล้วหยุดอยู่หน้าศาลาที่ พระมหาชนกทรงนอนอยู่ ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้น พระมหาชนกได้ยินเสียงประโคม จึงลืมพระเนตรขึ้น เห็นราชรถ ก็ทรงดำริว่า คงเป็นราชรถเสี่ยงทาย พระราชาผู้มีบุญเป็นแน่ แต่ก็มิได้แสดงอาการอย่างใดกลับบรรทมต่อไป ปุโรหิตเห็นดังนั้น ก็คิดว่า บุรุษผู้นี้เป็นผู้มีสติปัญญา ไม่ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใดโดยง่าย จึงเข้าไปตรวจดูพระบาทพระมหาชนก เห็นลักษณะต้องตาม คำโบราณว่าเป็นผู้มีบุญ จึงให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้ง แล้วเข้าไปทูลอัญเชิญ พระมหาชนกให้ทรงเป็นพระราชาเมืองมิถิลา พระมหาชนกตรัสถามว่า พระราชาไปไหนเสีย ปุโรหิตก็กราบทูลว่า พระราชาสวรรคต ไม่มีพระโอรสมี แต่พระธิดาคือเจ้าหญิงสิวลี แต่องค์เดียว พระมหาชนกจึงทรงรับเป็นกษัตริย์ครองมิถิลา ฝ่ายเจ้าหญิงสิวลีได้ทรงทราบว่า พระมหาชนกได้ราชสมบัติ ก็ประสงค์จะทดลองว่า พระมหาชนก สมควรเป็นกษัตริย์หรือไม่ จึงให้ราชบุรุษไปทูลเชิญเสด็จมาที่ปราสาทของพระองค์ พระมหาชนกก็เฉยเสีย มิได้ไปตามคำทูล เจ้าหญิงให้คนไปทูล ถึง 3 ครั้ง พระมหาชนกก็ไม่สนพระทัย จนถึงเวลาหนึ่งก็ เสด็จไปที่ปราสาทของเจ้าหญิงเอง โดยไม่ทรงบอกล่วงหน้า เจ้าหญิงตกพระทัยรีบเสด็จมาต้อนรับเชิญ ไปประทับบนบัลลังก์

   พระมหาชนกจึงตรัสถามอำมาตย์ว่าพระราชาที่สิ้นพระชนม์ ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง อำมาตย์ก็ทูลตอบ พระมหาชนกจึงตรัสสั่งว่า ข้อที่ 1 "ที่ว่าทำให้เจ้าหญิงพอพระทัย เจ้าหญิงได้ แสดงแล้วว่าพอพระทัยเราจึงได้เสด็จมาต้อนรับเรา" ข้อที่ 2 เรื่องปริศนาทิศหัวนอนบัลลังก์นั้น พระมหาชนกทรง คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดเข็มทองคำที่กลัดผ้าโพกพระเศียรออก ส่งให้เจ้าหญิงให้วางเข็มทองคำไว้ เจ้าหญิงทรงรับเข็มไปวางไว้ บนบัลลังก์สี่เหลี่ยม พระมหาชนกจึงทรงชี้บอกว่าตรงที่เข็มวาง อยู่นั้นแหละคือทิศหัวนอนของบัลลังก์ โดยสังเกต จากการที่ เจ้าหญิงทรงวางเข็มทองคำ จากพระเศียรไว้ ข้อที่ 3 นั้นก็ตรัสสั่งให้นำมหาธนูมา ทรงยกขึ้นและน้าวอย่าง ง่ายดาย ข้อที่ 4 เมื่ออำมาตย์กราบทูลถึงปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่ง พระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ ตรัสบอกคำแก้ปริศนา ขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่งได้หมด เมื่อสั่งให้คนไปขุดดู ก็พบขุมทรัพย์ ตามที่ตรัสบอกไว้ทุกแห่ง ผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของ พระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหน พระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดาและพราหมณ์ ทิศาปาโมกข์จากเมืองกาลจัมปากะ ทรงอุปถัมภ์ บำรุงให้สุขสบาย ตลอดมา จากนั้นทรงสร้างโรงทานใหญ่ 6 ทิศในเมืองมิถิลา ทรงบริจาคมหาทานเป็นประจำ เมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุก สมบูรณ์ เพราะพระราชาทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรส ทรงนามว่า ทีฆาวุกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้น พระบิดาโปรดให้ดำรง ตำแหน่งอุปราช อยู่มาวันหนึ่ง พระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตร เห็นมะม่วงต้นหนึ่งกิ่งหัก ใบไม้ร่วง อีกต้นมีใบแน่นหนา ร่มเย็นเขียวชอุ่ม จึงตรัสถาม อำมาตย์กราบทูลว่าต้นมะม่วง ที่มีกิ่งหักนั้น เป็นเพราะรสมีผลอร่อย ผู้คนจึงพากันสอยบ้าง เด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้าง จนมีสภาพเช่นนั้น ส่วนอีกต้น ไม่มีผล จึงไม่มีคนสนใจ ใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดี พระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่า ราชสมบัติ เปรียบเหมือน ต้นไม้มีผลอาจถูกทำลาย แม้ไม่ถูกทำลายก็ต้องคอย ระแวดระวังรักษา เกิดความกังวล เราจะทำตนเป็นผู้ ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผล เราจะออกบรรพชา สละราชสมบัติเสีย มิให้เกิดกังวล

   พระราชาเสด็จกลับมาปราสาท ปลงพระเกศาพระมัสสุ ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ครองอัฏฐบริขารครบถ้วน แล้วเสด็จออกจากมหาปราสาทไป ครั้นพระนางสิวลีทรงทราบ ก็รีบติดตามมา ทรงอ้อนวอนให้ พระราชาเสด็จกลับ พระองค์ก็ไม่ยินยอม พระนางสิวลีจึงทำอุบายให้อำมาตย์ เผาโรงเรือนเก่าๆ และ กองหญ้า กองใบไม้ เพื่อให้พระราชา เข้าพระทัยว่าไฟไหม้พระคลังจะได้เสด็จกลับ พระราชาตรัสว่า พระองค์เป็นผู้ไม่มีสมบัติแล้ว สมบัติที่แม้จริงของพระองค์ คือความสุขสงบจากการบรรพชานั้นยังคงอยู่กับพระองค์ ไม่มีผู้ใดทำลายได้ พระนางสิวลีทรงทำอุบายสักเท่าไร พระราชาก็มิได้สนพระทัย และตรัสให้ประชาชนอภิเษก พระทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อปกครองมิถิลาต่อไป พระนางสิวลีไม่ทรงละความเพียร พยายามติดตาม พระมหาชนกต่อไปอีก วันรุ่งขึ้นมีสุนัขคาบเนื้อที่เจ้าของเผลอ วิ่งหนีมาพบผู้คนเข้าก็ตกใจทิ้งชิ้นเนื้อไว้ พระมหาชนกคิดว่า ก้อนเนื้อนี้เป็นของไม่มีเจ้าของ สมควรที่จะเป็นอาหารของเราได้ จึงเสวยก้อนเนื้อนั้น พระนางสิวลีทรงเห็นดังนั้น ก็เสียพระทัย อย่างยิ่ง ที่พระสวามีเสวยเนื้อที่สุนัขทิ้งแล้ว แต่พระมหาชนกว่า นี่แหล่ะเป็นอาหารพิเศษ ต่อมาทั้งสองพระองค์ทรงพบเด็กหญิงสวมกำไลข้อมือ ข้างหนึ่งมีกำไลสองอัน อีกข้างมีอันเดียว พระราชาตรัสถามว่า "ทำไมกำไลข้างที่มีสองอันจึงมีเสียงดัง" เด็กหญิงตอบว่า "เพราะกำไลสองอันนั้น กระทบกันจึงเกิดเสียงดัง ส่วนที่มี ข้างเดียวนั้นไม่ได้กระทบกับอะไรจึงไม่มีเสียง" พระราชาจึง ตรัสแนะให้ พระนางคิดพิจารณาถ้อยคำของเด็กหญิง กำไลนั้นเปรียบเหมือนคนที่อยู่สองคน ย่อมกระทบกระทั่งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็จะสงบสุข แต่พระนางสิวลียังคงติดตาม พระราชาไปอีก จนมาพบนายช่างทำลูกศร นายช่างทูลตอบ คำถามพระราชาว่า "การที่ต้องหลับตาข้างหนึ่งเวลาดัด ลูกศรนั้น ก็เพราะถ้าลืมตาสอง ข้างจะไม่เห็นว่าข้างไหนคด ข้างไหนตรง เหมือนคนอยู่สองคนก็จะขัดแย้งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ขัดแย้ง กับใคร" พระราชาตรัสเตือนพระนางสิวลีอีกครั้งหนึ่งว่า พระองค์ประสงค์จะเดินทางไปตามลำพัง เพื่อแสวงหา ความสงบไม่ประสงค์จะมีเรื่องขัดแย้งกระทบกระทั่ง หรือความไม่สงบอันเกิดจากการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น อีกต่อไป

   พระนางสิวลีได้ฟังพระวาจาดังนั้นก็น้อยพระทัยจึงตรัสว่า "ต่อไปนี้หม่อมฉันหมดวาสนาจะได้อยู่ร่วมกับ พระองค์อีกแล้ว" พระราชาจึงเสด็จไปสู่ป่าใหญ่แต่ลำพังเพื่อบำเพ็ญสมาบัติ มิได้กลับมาสู่พระนครอีก ส่วนพระนางสิวลี เสด็จกลับเข้าสู่ พระราชวัง อภิเษกพระทีฆาวุกุมารขึ้นเป็นพระราชา แล้วพระนางโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นในที่ต่างๆ เพื่อรำลึกถึง พระราชามหาชนก ผู้ทรงมีพระสติปัญญา และที่ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือ ทรงมีความ เพียรพยายามเป็นเลิศ มิได้เคยเสื่อมถอย จากความเพียร ทรงตั้งพระทัยที่จะกระทำการโดยเต็มกำลัง ความสามารถ เพราะทรงยึดมั่นว่า บุคคลควรตั้งความเพียรพยายามไม่ว่ากิจการนั้น จะยากสักเพียงใด ก็ตาม คนมีปัญญาแม้ได้รับทุกข์ ก็จะไม่สิ้นหวัง ไม่สิ้นความเพียรที่จะพาตนให้พ้นจากความทุกข์นั้นให้ ได้ในที่สุด

อ้างอิง http://www.dhammathai.org/chadok/legend02.php


โปรดติดตาม ชาติที่ ๓ ในโอกาสต่อไป

 
 
สาธุการบทความนี้ : 327 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 327 ครั้ง
 
 
  22 ส.ค. 2551 เวลา 12:18:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   16) ซิ่นสองต่อน  
  ภาส    คห.ที่0) ซิ่นสองต่อน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ซิ่นสองต่อน หมายถึง เนื้อคู่

ซิ่น หมายถึง  เนื้อ      
ต่อน  หมายถึง ชิ้น
รวมคือ เนื้อสองชิ้น เนื้อสองชิ้น ก็คือ เนื้อคู่


      ว่ากันว่า นานมาแล้ว เมื่อปี 2514 จำปา รักกันกับบุญหลายม๊ากมาก แก่พ่อแม่กีดกัน เพราะพ่อแม่เป็นศัตรูกันเมื่อ 20 ปีก่อน ทั้งสองถึงแอบคบกันลับๆ ตลอดมา จนวันหนึ่ง จำปี พี่ของ จำปาซึ่งแอบรักบุญหลาย เห็นจำปากับบุญหลายคุยกัน ทั้จึงไม่พอใจ จึงนำความไปบอกพ่อแม่ พอแม่แค้นใจมาก จึงจับจำปาบวชชี เวลาผ่านไปหลายเดือน จำปาก้แอบหนีจากการเป็นชี หนีไปอีกหมู่บ้านหนึ่งกับบุญหลาย เมื่อจำปีทราบว่า จำปาหนีไปกับบุญหลาย จำปีก้ไปบอกพ่อแม่ของบุยหลาย ฝ่ายแม่ของบุญหลายก้ตรอมใจตาย ส่วนพ่อบุญหลายไม่เชื่อเลยจับจำปีขังไว้ที่บ้านของตน แล้วไปของพ่อแม่ของจำปา ว่าให้หาบุญหลายมาคืนแล้วจะเอาจำปีคืนให้ ทั้งสองจึงแสร้งมาเล่าความจริงว่าไม่ได้เอาไป มาพร้อมกับข้าวห่อหนึ่งใส่ยาพิษมาให้พ่บุณหลายกิน พ่อบุญหลายก็กินแล้วตายไป พ่อแม่จำปีก็พาจำปีกลับบ้าน แต่ยังไม่ถึง โจรก้มาปล้นกลางทางแล้วฆ่าทั้ง 3 ทิ้งเสีย ส่วนจำปากับบุญหลาย ครองรักกันไม่นานก้มีลูกแล้วแท้ง จำปาเลยเป็นบ้าบอสติไม่เต็ม วันหนึ่งเห็นมีดในครัว จึงถือมาฟันหัวบุญหลายตาย



ภาส ศิษย์น้องเล็ก ร่วมอนุรักษ์ความเป็นอีสาน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 323 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 322 ครั้ง
 
 
  03 ต.ค. 2550 เวลา 13:08:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   38) ทศชาติชาดก ชาติที่ ๑ เตมีย์ชาดก  
  ภาส    คห.ที่0) ทศชาติชาดก ชาติที่ ๑ เตมีย์ชาดก      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ชาดก คือ ตำนานซึ่งเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้าง แต่ก็ได้พยายามทำความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย......

ชาติที่ ๑ เตมีย์ชาดก

     พระเจ้ากาสิกราช ครองเมือง พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทรเทวี พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทำพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า
   "ข้าแต่องค์เทพเจ้า อันเป็นที่เคารพของหมู่มวลมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รักษาศีล บริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด" ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทรเทวีทรงตั้งครรภ์ และประสูติพระโอรสที่มีรูปโฉม งดงามยิ่งนัก ทั้งพระราชาพระมเหสี และประชาชนทั้งหลาย มีความยินดีเป็นที่สุด พระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย



     บรรดาพราหมณ์ได้ทำนายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐ เมื่อถึงกาลเติบโตขึ้น จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่ พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตำรา จำนวน 64 คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์     วันหนึ่ง พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่กำลัง พิพากษาโทษผู้ร้าย 4 คน พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่ง แล้วส่งไปขังคุก ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สาม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย

   พระเตมีย์ได้ยินคำพิพากษาดังนั้น ก็บังเกิดความตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า
"ถ้าเราโต ขึ้นได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทำบาป เช่นเดียวกันนี้ เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน" เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญ จึงรำลึกชาติได้และทรงทราบว่า ในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษ ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรก อยู่ถึง 7,000 ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงรำพึงว่า
   "ทำอย่างไร หนอ เราจึงจะไม่ต้องทำบาป และไม่ต้องตกนรกอีก"

      ขณะนั้นเทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคำรำพึงของพระเตมีย์ จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนำต่อพระเตมีย์ว่า "หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทำบาป ทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรก ก็จงทำเป็น หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย อย่าให้ชนทั้งหลาย รู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์ จะต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัย ตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้"

   พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้น ก็ดีพระทัยอย่างยิ่ง จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ต่อไปนี้ เราจะทำตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลี้ย ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เราก็จะ ไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด"

   นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทำพระองค์เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเลย พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลอง ด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหย ครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรงมีความหวังว่า พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลี้ยจริง จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่างๆ เป็นลำดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 4 ขวบ เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 5 ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความ ตกใจกลัว อายุ 6 ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ 7 ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆ พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมา จนพระเตมีย์ อายุได้ 16 พรรษา ก็ไม่ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงทำเป็นหูหนวก ทำเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา 16 ปี

   ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายมาและตรัสถามว่า
"พวกเจ้าเคยทำนายว่า ลูกเราจะเป็น ผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคน หูหนวก เป็นใบ้ และเป็น ง่อยเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดี"
พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า

   "เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้ เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลายเป็นกาลกิณีจะ ทำให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สั่งให้นำพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สิ้นอันตราย"

   พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็น ห่วงบ้านเมืองและ ประชาชน จึงต้องทรงทำตามคำกราบของพราหมณ์และ ที่ปรึกษาทั้งหลาย พระนางจันทเทวีทรงทราบว่า พระราชาให้นำ พระโอรสไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร่ำครวญว่า
   "พ่อเตมีย์ลูกรัก ของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย แม่เศร้าโศกมา ตลอดเวลา 16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนำไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"

   พระเตมีย์ได้ยินดังนั้นก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงสำนึกในพระคุณของพระมารดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงรำลึกว่า พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่า จะไม่ทำการใดที่จะทำให้ต้องไปสู่นรกอีก จะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทำเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด

   พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นำพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุม  เอาดินกลบเสียให้ตาย นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียม ขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์ พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงรำพึงว่า
   "บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทำบาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา 16 ปี ไม่เคยเคลื่อน ไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกำลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่"

   รำพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกำลังร่างกาย สมบูรณ์เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมีกำลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่ง ได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา นายสุนันทะที่กำลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถาม นายสุนันทะว่า
   "ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทำไม"
นายสุนันทะตอบ คำถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า
   "เราขุดหลุมจะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสั่งให้ฝัง เสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง"
พระเตมีย์จึงตรัสว่า
   "เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อยเปลี้ย จงเงยขึ้นดูเราเถิด ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม"

   นายสารถีเงยขึ้นดู เห็นพระเตมีย์ก็จำไม่ได้ จึงถามว่า
   "ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่าง งามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็นมนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ทำอย่างไร เราจึงจะรู้จักท่าน"

   พระเตมีย์ตอบว่า
   "เราคือเตมีย์กุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็ได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามา พระเตมีย์ทรง ประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบาย ให้เห็นว่าหาก นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทำร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า "ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะไปที่ได ก็มีคนคบหามาก จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจรจะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร เมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชน จะพากันชื่นชมยกย่อง ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ เพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับการเคารพตอบ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดังเทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจำตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะทำการใดก็สำเร็จผล โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีราก ติดต่อพัวพัน ลมแรงก็ไม่อาจทำร้ายได้ "

   นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยิ่งเกิดความสงสัย จึงเดินมาดูที่ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามา ครั้นเดิน กลับมาพินิจพิจารณาพระเตมีย์อีกครั้งก็จำได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวัง ขอเชิญเสด็จกลับไป ครองพระนครเถิด"


    พระเตมีย์ตรัสตอบว่า
" เราไม่กลับไปวัง อีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความ ยินดีในสมบัติทั้งหลาย เราได้ตั้งความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16 ปี อันราชสมบัติ ทั้ง พระนครและความสุข ความรื่นเริงต่างๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน แต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ไม่ปรารถนาจะกระทำบาปอีก เราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้ว บัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้ว เพราะพระบิดาพระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความหลงใหล ในกิเลสทั้งหลาย เราจะขอบวชอยู่ในป่านี้แต่ลำพัง เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว"


   เมื่อตรัสดังนั้น พระเตมีย์กุมารมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง รำพึงกับพระองค์เองว่า
"ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี"


   นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์ เห็นว่า หากนายสารถีไม่กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่าพระองค์ หายไปไหน ทั้งนายสารถี ราชรถ เครื่องประดับทั้งปวงก็สูญหายไป ควรที่นายสารถีจะนำสิ่งของทั้งหลายกับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา บวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่า พระเตมีย์กุมาร มิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งทำเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อ เวรทำบาปอีกต่อไป

   เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบ ก็ทรงปลื้มปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับจากป่า ขณะนั้น พระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ในบรรณศาลาซึ่งเทวดา เนรมิตไว้ให้ เมื่อพระบิดา พระมารดาเสด็จไปถึง พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับ ทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดี พระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวก เป็นอาหาร และประทับอยู่ลำพังในป่า จึงตรัสถามว่าเหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแข็งแรง พระเตมีย์ตรัส ตอบพระบิดาว่า "อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนั้นย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีต เพราะมัวรอคอยอนาคต"


   พระราชาตรัสตอบว่า
"ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรง จะมามัวอยู่ทำอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิดกลับ ไปครองราชสมบัติ มีโอรสธิดา เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช"

   พระเตมีย์ตรัสตอบว่า "การบวชของคนหนุ่มย่อมเป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ไกลจากความตาย อายุคนนั้นสั้นนัก เหมือนอายุของปลาในเวลาที่น้ำน้อย"

    พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าวชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ พระเตมีย์จึงตรัสตอบว่า "วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมีแต่ จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปทำอะไร ทรัพย์สมบัติและ ความสุขทั้งหลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจาก ความผูกพันทั้งหลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว"

   เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้นแล้ว  จึงเห็นประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ในการออกบวช ทรงประสงค์ที่จะละทิ้งราชสมบัติออกบวช พระมเหสี และเสนาข้าราชบริพารทั้งปวง รวมทั้งบรรดา ประชาชนทั้งหลายในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจกันออกบวช บำเพ็ญเพียรโดยทั่วหน้ากัน เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพัน ในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร ทรงมีความอดทนมีความตั้งใจ อันมั่นคงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวร ทำบาป ทรงมุ่งมั่นอดทน จนประสบผลสำเร็จดังที่หวัง เหมือนดังที่ทรงรำพึงไว้ว่า

  
" ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี "


โปรดติดตาม ทศชาติชาดก ชาติที่  ๒ ในโอกาสต่อไป

ภาส ศิษย์พี่ ร่วมสืบสานอนุรักษืความเป็นอีสาน และสืบทอดพุทธศาสนา
และ http://www.dhammathai.org/chadok/legend01.php

 
 
สาธุการบทความนี้ : 318 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 317 ครั้ง
 
 
  10 ก.ค. 2551 เวลา 08:54:15  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   13) หมอลำจัมโบ้  
  ภาส    คห.ที่0) หมอลำจัมโบ้      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
                

           เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ วัดป่าถ้ำสามพระเณร และ หมู่บ้านโคกอีเต่า ซึ่งมีวันหนึ่ง เจ้าอาวาสได้รับโทรศัพท์จากญาติโยมทางกรุงเทพว่า เดือนหน้าจะได้ทำผ้าป่ามาถวายวัด  ซึ่งเจ้าอาวาสก็ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนานทีปีหน จะมีผ้าป่ามาทอดวัดสักที หลังจากนั้น ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าอาวาส ก็ได้ประชุมกับทางผู้ใหญ่บ้าน ว่าให้เตรียมตัวรับขณะผ้าป่าจากกรุงเทพไว้เป็นอย่างดี จึงได้จัดเตรียมจัดการเตรียมการจ้างหมอลำ และหนัง หนังก็หนัง 2 จอ ทางชาวบ้านก็ไม่พอใจบอกจะจะเอาคณะใหญ่ๆ แพงๆ ให้สมกับการการรอคอยการผ้าป่าที่ไม่เคนเกิดขึ้นเลยในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ เณรก็เลยบอกว่า น่าจะมีลำกลอน ลำเดิน ลำเพลิน ลำซิ่ง ให้ครบครันไปเลย ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดที่จะหาที่ใดในภาคอีสานเทียบกับงานนี้ได้เลย
          และแล้วก็ถึงวันงาน ผู้คนดูแน่นหนา หมอลำคณะต่างๆ ก็พากันเล่นจบก่อนคณะผ้าป่า 2 วัน วันที่ 3 คณะผ้าป่าก็มา ผ้าป่าก็ได้ทอดสมใจตามผู้มีจิตศรัทธา พอทางเณรได้ฉีกซองผ้าป่า นับเงินดูแล้วปรากฎว่า............ ยอดเงินที่คณะผ้าป่านำมาทอด รวมทั้งหมดเบ็ดเสร็จ 40,512 บาท เจ้าอาวาทตกใจจนเป็นลม ลืมตาอีกทีก็ไปฟื้นที่อนามัย ทว่าในใจคิดว่า คงได้ขายวัดชดใช้ค่าหมอลำเป็นแน่........เฮ่อ
"หมอลำจัมโบ้" จริงๆ





        ******คติเตือนใจ*******

- อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม
- ทำอะไรควรทำแต่พอประมาณ อยู่อย่างพอเพียงตามพ่อหลวงของเรา

 
 
สาธุการบทความนี้ : 307 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 307 ครั้ง
 
 
  20 ก.ค. 2550 เวลา 11:40:45  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) ซิ่นสองต่อน ภาค 2  
  ภาส    คห.ที่0) ซิ่นสองต่อน ภาค 2      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ต่อจากตอนที่แล้ว

    มีผีโพงสาวตนหนึ่งนำบุญหลายไปรักาด้วยยาวิเศษ บุยหลายจึงไม่ตาย ( บ้านเฮาเอิ้นว่าตายคืน ) บุญหลายจึงอยู่กับผีโพงสาวในฉันผัวเมียภรรยา ต่อมาไม่นาน บุญหลายรู้ว่าเมียตนเป็นผีจึงหนีออกตามหาจำปา  

     ส่วนจำปาก้วัดเวพเนจรเข้าไปในวัดๆหนึ่ง หลวงพ่อจึงรดน้ำมนต์ให้ จำปาจึงหายจากการเป้นบ้า แล้วกลับบ้านของตน พอถึงบ้านก็ปากฏว่า บ้านของตนเอง กลายเป็นบ้านร้างไปแล้ว  แต่ก็อยู่ และทำความความสะอาดบ้านของตน และรอผัวตัวเองกลับมา บุญหลายออกตามหาจนพบกับจำปาที่บ้านจำปา จึงอยู่ด้วยกัน ปรับความเข้าใจกัน และอยู่ด้วยกันจนมีลูกชายด้วยกัน คนนึง ชื่ออะไร ทายดิ๊ๆๆ

จ้างก็ทายไม่ถูกหรอกอิๆๆ

**จบริบูรณ์**



ภาส ศิษย์น้องเล็ก ร่วมอนุรักษ์วัฒนรรมความเป็นอีสาน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 221 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 220 ครั้ง
 
 
  09 ต.ค. 2550 เวลา 10:08:47  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   23) น้ำตานกจิ๊บน้อย  
  ภาส    คห.ที่15)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ข่อยกะปึกเนาะ บ่ฮู้แล่ว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 41 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 40 ครั้ง
 
 
  12 ก.พ. 2551 เวลา 14:13:33  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   23) น้ำตานกจิ๊บน้อย  
  ภาส    คห.ที่12)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ประสาเปลือกกล้วย สือๆแม่นบ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 37 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 36 ครั้ง
 
 
  11 ก.พ. 2551 เวลา 11:23:15  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) แก้วหน้าม้า  
  ภาส    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ขอคุณมากๆนะครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 36 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 36 ครั้ง
 
 
  25 พ.ค. 2550 เวลา 10:18:30  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   14) สังข์ทอง  
  ภาส    คห.ที่14)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
แม่นๆ เล่นกะเล่นเถื่อละคืบ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 36 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 36 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2551 เวลา 11:38:05  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) หัวอีเจิม  
  ภาส    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ข่อยบ่เคยฮู้จักมาก่อนเลย ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 33 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 33 ครั้ง
 
 
  19 ธ.ค. 2550 เวลา 09:37:37  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   23) น้ำตานกจิ๊บน้อย  
  ภาส    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
หมายความว่ายังไง ไม่เข้าจึย..ย..ย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 33 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 33 ครั้ง
 
 
  06 ก.พ. 2551 เวลา 08:56:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   30) เล่ห์ลูกเขย  
  ภาส    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ผู้เฒ่า  อย่ามายุหลาย  ขี้คร้านเอา

แต่อยู่ดาย  กะเขอออกบ่ทันแล้ว


แปลให้ข่อยฟังแหน่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 33 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 33 ครั้ง
 
 
  08 ก.ค. 2551 เวลา 12:56:13  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   33) หัวล้านหลื่นครู  
  ภาส    คห.ที่12)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
666666666666

 
 
สาธุการบทความนี้ : 33 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 33 ครั้ง
 
 
  08 ก.ค. 2551 เวลา 12:49:25  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   3) นางเต่าคำ  
  ภาส    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ขอบคุณครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 32 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 32 ครั้ง
 
 
  19 ก.ย. 2551 เวลา 16:34:22  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   28) น้ำตาเมีย  
  ภาส    คห.ที่12)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ดีใจอีหยังยาย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 32 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 32 ครั้ง
 
 
  18 ส.ค. 2551 เวลา 15:42:24  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   13) หมอลำจัมโบ้  
  ภาส    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ม่วนอีหลี....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 31 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 31 ครั้ง
 
 
  07 ส.ค. 2550 เวลา 08:39:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) แก้วหน้าม้า  
  ภาส    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
นี่เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของผม ซึ่งได้นำเรื่องต่างๆ มาเสนอครับ....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 30 ครั้ง
 
 
  13 ก.พ. 2551 เวลา 09:48:01  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   14) สังข์ทอง  
  ภาส    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
เห็นนำครับโผม.........

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 30 ครั้ง
 
 
  27 พ.ย. 2550 เวลา 13:47:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   23) น้ำตานกจิ๊บน้อย  
  ภาส    คห.ที่8)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์พี่

ภูมิลำเนา : บึงกาฬ
เข้าร่วม : 18 พ.ค. 2550
รวมโพสต์ : 97
ให้สาธุการ : 70
รับสาธุการ : 228900
รวม: 228970 สาธุการ

 
ข่อยกะแฮงปึกหนา ปัญญาน้อย บ่ฮู้จักดอก ไผ๋ฮู้กะบอกข่อยแหน่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 30 ครั้ง
 
 
  07 ก.พ. 2551 เวลา 08:44:47  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1 2

   

Creative Commons License
น้ำตานกจิ๊บน้อย --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ