ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
ชื่อว่าสงสารซังกงเกวียนกำฮอบ เวรหากมาคอบแล้ววอนไหว้ก็บ่ฟัง แปลว่า ขึ้นชื่อว่าวัฏฏสงสาร ย่อมหมุนวนดังล้อเกวียน เมื่อถึงคราวกรรมมาให้ผล ไม่มีใครทัดทานได้ หมายถึง ผลของกรรม ไม่มีใครบังคับได้ ไม่มีใครทัดทานได้ ดังนั้น พึงทำแต่กรรมดี


  ค้นหากระทู้ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23  
  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เท่าที่ทราบ

นอกจากไข่มดแดงแล้ว ตอนไปออกค่าย (จำไม่ได้แล้วว่าจังหวัดไหน) ได้ยินว่าชาวบ้านกินไข่มดชนิดหนึ่งที่ทำรังบนดินด้วย ซึ่งมดชนิดนี้ ตัวโตประมาณเดียวกับมดแดง มักทำรังตามโพรงจอมปลวก หรือคันนาที่น้ำท่วมไม่ถึง ตัวสีแดงส้ม มีนิสัยกลัวคน ไม่ค่อยกัดคน และไข่ของมัน ก็ใหญ่พอสมควร โตกว่าเม็ดข้าวสารน่ะนะ

การหาไข่มดชนิดนี้ ไม่ต้องแหย่ แต่ใช้วิธีขุดไปจนถึงโพรงใหญ่ของมัน ในนั้น จะมีไข่มากมายเลยทีเดียว

มดชนิดนี้ ไม่ทราบชื่อ

(ไม่ทราบชื่อ ก็ต้องเป็น มดx น่ะจิ) ... ไม่ใช่มดเอ็กซ์หรอก เป็นมดจริงๆ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 354 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 354 ครั้ง
 
 
  30 มี.ค. 2550 เวลา 12:55:55  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่12)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ปีนี้แปลก ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีไข่มดแดง และผักหวาน เหมือนเช่นปีก่อนๆ... อยากกิน ก็ไม่ได้กิน ถามตามร้านอาหารอีสาน ก็ไม่รับมาทำขาย..

เอ???

หรือว่า กระบี่โลหิต แหย่ไปกักตุนไว้กินคนเดียว หว่า

 
 
สาธุการบทความนี้ : 278 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 278 ครั้ง
 
 
  31 มี.ค. 2550 เวลา 21:20:47  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   3) ผักแก่นส้ม-ผักแก่นขม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) ผักแก่นส้ม-ผักแก่นขม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
     ช่วงหน้าฝน หรือหน้านา หม่องได๋เป็นบวก หรือเป็นหลุบๆ ลงจักหน่อย น้ำกะสิขัง เด้เนาะ พอฮอดหน้าหนาว น้ำอยู่หม่องหนั่น กะสิแห้งขอด ปลาซิวน้อยปลาซิวใหญ่กะตาย เป็นอาหารของหมาและมด ซั่นแหล่ว...

     หม่องนั้น ย่อนเป็นหลุบ เป็นบวก เคยมีน้ำขังอยู่ กะมักสิมีหญ้า เกิดโป่งเขียวงาม พอเข้าหน้าฮ้อน ฝนตกโฮยฮำลงจักหน่อย หญ้าแฮ่งเขียวงามขึ้นกั่วเก่า... ฝูงงัวควาย กะมักสิมาและเล็มหญ้านำแถวนี้ล่ะ...

     อยู่หม่องนี่ กะดี หม่องเลาะๆ นี้กะดี นอกจากหญ้าแล้ว กะสิมีพืชชนิดหนึ่ง  โป่งขึ้นมา.. มีใบทรงเรียวๆ น้อยๆสีเขียว ก้านใบ หรือเครือ สีเขียวกะมี สีน้ำตาลแดง กะมี.... หม่องได๋เคยเกิด เคยมีเด้ล่ะ มันจั่งมี บ่แม่นเกิดอยู่ทุกบวก ทุกหม่องที่ดินชุ่มดอกเด้อ …เอิ้นพืชชนิดนี้ว่า.. “ผักแก่นส้ม-ผักแก่นขม”

     ผักแก่นส้ม มีเครือสีเขียว รสชาติ จืดๆ ออกส้มๆ จักหน่อย

     ผักแก่นขม มีเครือสีน้ำตาลแดง รสชาติ ขมๆ

     ผักแก่นส้ม กับผักแก่นขม เป็นพืชเลื้อยไปตามดินคือหญ้าแพทนั่นล่ะ



     การเก็บผักแก่นส้ม ผักแก่นขม โดยมากมักสิถอนต้น ถอนเหง้าเลย... มันสิขาดเคิ่งขาดกลาง หม่องได๋กะตามซาง เก็บได้แล้ว กะเอามาล้างน้ำเอาขี้ดินและสิ่งสกปรกออก แล้วกะเอาไปลวก กินกับป่นกุ้ง ป่นปลา กินกับก้อยแย้ ก้อยกะปอม กะได้

     ผักแก่นส้ม ย่อนมันบ่ขม ผู้เฒ่าลังคน กะเลยบ่มัก แต่ว่าเด็กน้อยกินได้

     ผักแก่นขม ย่อนมันขม เด็กน้อยเลยบ่คอยมัก แต่ผู้เฒ่าผัดมัก

     อยากกินผักแก่นส้ม หรือผักแก่นขม กะเลือกเก็บเอาเด้อ...    



ขอบคุณภาพจากจารย์ใหญ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 466 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 465 ครั้ง
 
 
  15 มี.ค. 2549 เวลา 11:46:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   5) ผักกุ่ม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) ผักกุ่ม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
     สมัยเป็นเด็กน้อย (ตอนนี้ กะบ่ทันเฒ่าดอกหวา) ช่วงสิเข้าหน้าฮ้อนแบบนี้ล่ะ ไปเลี้ยงควาย พอยามบ่ายๆ แลง ๆ จักหน่อย แดดบ่ฮ้อนปานได๋ เด็กน้อย กะพากันไปขึ้นเด็ดเอาดอกไม้ ยอดไม้ชนิดหนึ่ง ... บ่ได้เด็ดมาเพื่อไหว้พระ บ่ได้เด็ดมาเพื่อร้อยพวงมาลัย บ่ได้เด็ดมาเพื่อประดับประดา หรือบ่ได้เด็ดมาเพื่อแจกผู้สาวส่ำน้อยเด้...

     ดอกไม้นี้ กะบ่ได้งามคือดอกจาน บ่ได้หอมคือดอกคัดเค้า บ่ได้หอมคือดอกพะยอม... แต่ว่า พากันไปเก็บมาเฮ็ดอีหยังล่ะ... กะพากันไปเก็บมาเพื่อเฮ็ดเป็นผัก นั่นล่ะ เป็นดอกไม้ แต่ว่า เป็นผักกินกับป่นกับแจ่วได้....ดอกไม้อันนี้ กะคือ ดอกกุ่ม

     ต้นกุ่ม เป็นไม้ยืนต้น ถึงสิบ่มีขาสำหรับยืน แต่กะพากันเอิ้นว่า ไม้ยืนต้น เพราะต้นสูง บ่เป็นพุ่ม บ่แม่นไม้เลื้อยไม้เครือ ว่าซั่นเถาะ

    ต้นกุ่ม แถวบ้านผู้ข้าฯ มักสิเห็นอยู่ตามท่งนา ยืนโก่โด่อยู่ผู้เดียวอยู่กลางไฮ่นา กะมี ไปยืนรวมกับไม้ชนิดอื่น อยู่เทิงโพนกะมี จนเป็นที่ปรากฏไปทั่วบ้านว่า ต้นกุ่ม เป็นไม้ยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นที่น่าสงโตน อย่างคัก...(กะดีปาหยัง เจ้าของนา บ่ตัดถิ่ม เพราะไปหงำนาขาเจ้า... คันบ่เห็นว่า ดอกแซบ ตัดถิ่มไปแต่ดนแล้ว...)

     ต้นกุ่ม พอฮอดหน้าหนาว จนหนาวคักๆ กะพากันปล่อยใบถิ่ม จนเกือบเหมิดต้น จากนั้น พอเริ่มฮ้อนขึ้นจักหน่อย หรือที่เอิ้นว่าฤดูใบไม้ผลิ นั่นล่ะ (อยู่ขอนแก่นมีอยู่บ้อ ฤดูนี้??) มันกะสิเริ่มแตกดอกออกมา ปานดอกซากุระ พุ่นล่ะเว่ย... ป่งดอกออกมา พร้อมทั้งยอดอ่อนๆ ใบอ่อนๆ นำนั่นล่ะ

     ดอกกุ่ม ยอดกุ่ม ย่อนเอามากินเป็นผักได้ กะเลยเอิ้นว่า ผักกุ่ม

     ดอกผักกุ่ม มีลักษณะ... ดอกมันเป็นจั่งได๋ กะไปหาเบิ่งเอาเองโลดเด้อ อธิบายยากเว่ย...



        
(เหลียวเบิ่งไกลๆ  ปานดอกซากุระ เอาโลด)



     การไปเก็บดอกผักกุ่ม บ่จำเป็นต้องไปเก็บยามแลงๆ ดอกเด้อ... ไปเก็บยามมื้อเซ้ากะได้ สวยๆ แหน่จักหน่อยกะได้...ตามสะดวก

     การเก็บผักกุ่ม โดยมากมีสอง-สามแบบ คือ

     ๑. ขึ้นเทิงต้นไปเก็บเอาโลด ซึ่งวิธีนี้ เด็กน้อยนิยมเฮ็ด เพราะว่าโตน้อย ขึ้นไต่ไปได้หม่อๆ ... แต่ข้อควรระวังกะคือ ระวังตกต้นไม้ และระวังง่าไม้พาหัก กะแล้วกัน

     ๒. ขึ้นเทิงต้น แล้วกะเอามีดไปฮานง่าที่มีดอกลงมา แล้วกะเก็บเอาทางล่าง... ซึ่งวิธีนี้ ถ้าบ่แม่นเจ้าของต้นไม้ บ่ควรเฮ็ด เดี๋ยวเจ้าของเพิ่นสิด่า แล้วกะระวังตกต้นไม้เด้อ

     ๓. หาไม้มาหมิ่นเอา วิธีนี้ ปลอดภัยที่สุด แต่กะหมิ่นได้เฉพาะที่อยู่สูงบ่เกินความยาวของไม้ส่าว... ถ้าอยู่สูง กะหมิ่นบ่เถิง....

     หลังจาก ได้ดอกผักกุ่มมาหลายเพียงพอแล้ว ...เอาจักประมาณหนึ่งกะต่า กะพอแล้วมั้ง ...เหลือไว้ให้ผู้อื่นนำแหน่...กะพายกะต่ากลับบ้าน นั่นตั้ว เก็บได้แล้ว สิเอาถิ่มได้จั่งได๋....

     ผักกุ่ม กินสด ๆ บ่ได้เด้อ... หรือผู้ได๋สิกิน กะบ่ว่ากันดอก... แต่มันหั่งบ่แซบ มันขม เขาเลยบ่นิยมกินสดๆ ต้องเอาไปดองสาก่อน

    ผักกุ่มดอง เอิ้นว่า ส้มผักกุ่ม... คือว่า เอาไปคั้นส้ม นั่นล่ะ

     วิธีเฮ็ดส้มผักกุ่ม...เฮ็ดจั่งได๋บุ... บ่เคยเฮ็ดเองจักเทื่อ.. เห็นแต่ผู้อื่นเฮ็ด... ผู้ได๋เฮ็ดเป็น กะมาบอกวิธีการแหน่...

     เอาเป็นว่า ให้ผู้อื่นเฮ็ดส้มผักกุ่มไว้แล้วเด้อ...

     ผักกุ่มที่สดๆ หรือเหี่ยวแล้วกะตาม  มีรสขม

     ผักกุ่มที่เป็นส้มผักกุ่ม แล้ว มีรสส้มๆ มันๆ แซบดี... แต่ว่า ถ้ายังบ่ทันเป็น อาจสิมีรสขมปนอยู่เด้อ...

     ส้มผักกุ่ม... กินเป็นผัก... เอากินกับป่นปู ป่นปลา กะแซบ กินกับลาบแย้ ก้อยกะปอม กะแซบ กินกับปลาแดกบอง กะแซบ

     ตอนนี้ ได้ผักกุ่มมาเฮ็ดส้มแล้ว... ฟ้าวเฮ็ดแนวกิน นั่นปาหยัง... สิได้เอาส้มผักกุ่มไปกินกับนั่นหนา....
                                                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 837 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 835 ครั้ง
 
 
  20 มี.ค. 2549 เวลา 11:35:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) ก้อยกะปอม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่45)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
บู๋ยยยย... น้องสัญญา พะนะ 555

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  01 เม.ย. 2554 เวลา 10:48:49  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) ก้อยกะปอม  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่65)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
หนังสะติ๊ก รุ่นพิฆาตผีแม่หม้าย ตั้วหนิ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  08 เม.ย. 2554 เวลา 16:40:54  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   7) หมกเขียดน้อย  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ข้าวเหนียวฮ้อนๆ คุ่ยจักคำใส่ปาก คือสิลวกลิ้นเนาะ

(บ่ต้องเอาลวกลิ้น ไปกินกับปลาแดกบองเด้อล่ะ)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 530 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 530 ครั้ง
 
 
  28 ม.ค. 2551 เวลา 16:43:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   7) หมกเขียดน้อย  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
คุณจารย์ใหญ่:
คุณปิ่นลม:

บ้านผม  เอามาหมกใส่ไข่  ใส่ปลีกล้วย ครับ อ้ายหน่อ
เคยกิน บ่  หมกเขียดน้อยใส่ไข่  (หมกใส่ใบตอง )


มีการใส่เกราะปิดท้ายพร้อมเนาะ ย้านถืกยิงหลาย

หมกใส่หวด ใส่ซึง ซั้นหรอก ที่เหลือเอาใส่ปาก พะนะ    

บ่แม่นใบตองเด ที่เหลือนั้น


ว่าแต่ผู้อื่นย้านถืกยิง เพิ่นกะย้านคือกัน มีการใส่เกราะปิดดากพุ่นเด้
"บ่แม่นใบตองเด ที่เหลือนั้น" ว่าซ้าน

คันบ่แม่นใบตอง คือสิแม่น ขี้หลักเยื่อ เนาะ... ฮี้ววว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 240 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 240 ครั้ง
 
 
  12 ก.ค. 2553 เวลา 11:10:46  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) เห็ดยูคา      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
     เว้าเรื่องเห็ด มันกะมีหลายอย่างหลายแนว เห็ดบางชนิด มีให้เห็น มีให้กินอยู่ตลอดปี (ขาเจ้าทำการเกษตรแผนใหม่ตั้วนั่น) บางชนิด กะมีเฉพาะฤดูกาล ซึ่งโดยมาก เห็ดสิออกหลาย  ช่วงหน้าฝนพุ่นล่ะ.... ช่วงใกล้สิเหมิดหน้าฮ้อน หรือช่วงฝนลงใหม่ๆ นี้ กะสิมีเห็ดบางชนิด หลายชนิด เกิดให้คนเก็บไปกินคือกัน เห็ดบางชนิด กะเกิดมาให้เด็กน้อยเตะเล่น อย่างเช่นเห็ดขี้ควาย เป็นต้น

     สมัยก่อน หรือว่าแต่กี้น้อ... ช่วงฝนลงใหม่ๆ กะสิมีเห็ดต้อป้อ เห็ดตู้ปู้ เห็นแทด เห็ดทา เกิดตามนาขาวงามสะพรั่ง บ่ต้องซื้อให้เสียสะตังค์ เก็บเลาะทาง เก็บนำท่งนา.... หรือถ้าอยู่นำตอไม้ กะสิมีเห็ดขอนขาว เห็ดบด เห็ดกะด้าง เด้เนาะ....

     มาสมัยใหม่นี้... มีอยู่ช่วงหนึ่ง พากันฮิตปลูกต้นยูคาอย่างคัก เขาลือเขาซาว่า ต้นยูคาปลูกได้ใหญ่เร็ว ดินขาดความอุดมสมบูรณ์อย่างภาคอีสานกะปลูกได้ ปลูกแล้ว กะตัดขายได้เร็ว.. พะนะ พะน้า พะน้า พะนะ...ฮีเนี่ย... กะเลยพากันอาแบบเอาอย่างกัน หลายหมู่บ้านอยู่ตั้วล่ะ.... (แต่ว่าหลังๆ กะเริ่มปรากฏว่า ต้นยูคา มันกินหลายโพด ขนาดหญ้ายังเกิดใต้ต้นยูคาบ่ได้ พอมันกินหลายคัก ดินบริเวณที่ปลูกต้นยูคา กะเลยขาดความอุดมสมบูรณ์ไปกั่วเก่าก่อน กลายเป็นดินแข็งกระด้าง ปลูกหยังกะบ่งาม ซั่นแหล่ว)

     ถึงแม้ว่า หญ้าสิเกิดใต้ต้นยูคาบ่ได้ แต่ว่า กะยังมีพืชชนิดหนึ่ง ที่สามารถอยู่ร่วมกับต้นยูคาได้ เกิดได้ในดงยูคา... นั่นกะคือ เห็ด ชนิดหนึ่ง

     ใบยูคาที่ร่วงหล่นลงตามพื้นดิน สะสมหนาไปเรื่อย... พอฝนตกโฮยฮำ ขี้ดินฉ่ำชุ่ม อมน้ำอุ่นไอ... กะเป็นภาวะที่เหมาะสมให้สปอร์เห็ดเติบใหญ่ขึ้นมาสะล่ะละ

     เห็ด ชนิดนี้ มีสีออกคล้ำๆ ดำๆ คล้ายๆเห็ดหอม เป็นมื่นๆ คล้ายๆ เห็ดดังงัวดังควาย แต่ว่ารสชาติมันหั่งขม คักปานเห็ดเผิ่งขม

     ย่อนว่าเห็ดชนิดนี้ พบพ้อ ในป่าต้นยูคา กะเลยพากันเอิ้นว่า เห็ดยูคา... (บ่แม่นเห็ดยาคู อยู่วัดดอกเด้อ)

     เห็ดยูคา มีรสขมอย่างขนาด... ขนาดมีรสขมปานนั้น กะยังพากันไปเก็บมากินอยู่น้อ คนเฮากะดาย... จักว่าแม่นผู้ได๋บุหวา เป็นคนลองกินคนแรก จนฮู้ว่า มันบ่เบื่อ... ผู้ลองกิน จักแม่นกล้าอย่างคักน้อ

     วิธีเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินนั่น กะเห็นพากันเอามาแกงกินนั่นล่ะ เอิ้นว่า แกงเห็ดยูคา.. พะนะ

     แกงเห็ดยูคา เด็กน้อย กินบ่ค่อยได้ดอก เพราะเด็กน้อย บ่มักรสขม แต่กะเห็นเด็กน้อยผู้ลังคน ซดเอาซดเอา กะมีดอกหวา

     สูตรในการแกงเห็ดยูคาบ่ให้ขม หรือว่า ให้เหลือรสขมน้อยที่สุดนั่น กะน่าสิมีวิธีหลากหลายอยู่ล่ะ

     วิธีที่ง่ายที่สุด พื้นฐานที่สุด กะเลียนแบบมาจากแกงผักขี้เหล็ก... นั่นคือ ต้ม แล้วกะเทน้ำทิ้ง ต้มจักหลายๆ น้ำ จนเห็นว่า เหลือรสขมพอแซบพอดี กะเอาเห็ดไปแกงได้เลย

     อีกวิธีหนึ่ง กะคือแบบผสมผสาน โดยใช้วิธีแรกสาก่อน แต่ว่าอาจสิต้มแค่น้ำสองน้ำ จากนั้นกะเอามาแกงแบบต้มส้ม... เป็นแกงเห็ดใส่ใบบักขามอ่อน นั่นหนา โดยคาดหวังว่า สิให้รสส้มมันกลบรสขมนั่นล่ะ

     ส่วนวิธีการแกงเห็ดนั่น กะแกงแบบทั่วๆ ไป นั่นล่ะมั้ง... (บ่เคยเฮ็ดจักเทื่อ เคยแต่เป็นผู้หา เคยแต่เบิ่ง เคยแต่ซิม เคยแต่กิน)

     แกงแล้วแล้ว กะหาใส่พาเบียน พร้อมซ้อนสำหรับซด... กินกับข้าวฮ้อนๆ กะพอแล้วคาบข้าว อยู่ตั้วล่ะ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 503 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 503 ครั้ง
 
 
  17 ส.ค. 2549 เวลา 21:45:15  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ส่วนใหญ่ กะน่าสิเอิ้นเห็ดเผิ่งหว่า ล่ะมั้ง

ชื่อ เห็ดยูคา หัวต่ามีตอนมีต้นยูคา นี่ล่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 30 ครั้ง
 
 
  31 ก.ค. 2550 เวลา 15:30:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่12)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ป้าด.. เป็นตาแซบแท้

เอาไปต้มดีดี้  แล้วกะหยิ่นเอาแต่น้ำ เอาไปฝากพ่อใหญ่ดล ให้เลากินแทนเบียร์แหน่ปาหยัง.. ฮาเทื่อเลามัก ซั่นดอกหวา (เลามักน้ำแนวขมๆ ตั้ว)...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 328 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 328 ครั้ง
 
 
  20 พ.ค. 2551 เวลา 22:22:29  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่16)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
คุณกระบี่โลหิต:
     ส่วนข้าพเจ้ามักน้ำขมๆกะจริง แต่เป็นน้ำขมที่มีฟองนำดอกว้า    
    


แบบนี้ กะเทแชมพูหรือแฟ๊บใส่จักหน่อย ตีๆคนๆ จักคราว น้ำต้มเห็ดยูคา มันกะเป็นฟองแล้ว
คือสิถืกใจถืกลิ้นกระบี่โลหิตอยู่ดอกเนาะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 439 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 439 ครั้ง
 
 
  23 พ.ค. 2551 เวลา 21:22:19  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่21)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ป้าด... คือเป็นตาเอาซ้อนซดกินแซบ แท้

เห็นรูปแล้ว คิดอยากขนาด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 11 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 11 ครั้ง
 
 
  29 พ.ค. 2551 เวลา 08:41:25  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่26)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
อยู่บ้านอ้ายมีแต่ใบนางสีดาแมะ 555

 
 
สาธุการบทความนี้ : 19 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 19 ครั้ง
 
 
  24 มิ.ย. 2551 เวลา 21:45:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่28)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เอ๋า.. เว้าเรื่องนางสีดาอยู่ดีๆ สิให้เอาหน่วยมันมาฝาก พะนะ
อยู่บ้านอ้าย เขาบ่กินเด้อหน่วยมันน่ะ กินแต่หัวมัน กับหำมัน นั่นล่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 448 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 448 ครั้ง
 
 
  24 มิ.ย. 2551 เวลา 22:22:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   10) บักหวดข่า  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) บักหวดข่า      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
     ช่วงหน้าฮ้อน สมัยเป็นเด็กน้อย (อีกแล้ว) ไปเลี้ยงควาย หรือไปหายิงกะปอม กะตามล่ะ... พอไปเห็น บักหวดข่า หน่วยสีดำๆ กะสิขึ้นกิน จนปากแหล่ปากก่ำ ลิ้นดำปี้ๆ ... พอกินแล้ว กะหิวน้ำ เป็นตาหน่าย ฮาลังเทื่ออยู่ไกลบ้าน หิวน้ำหลาย ย่อนกินบักหวดข่า ไปดูดกินน้ำบวกควาย กะมี เด้เดียวหนิ.....

     บักหวดข่า หรือบางหม่อง เอิ้นสั้นๆ ว่าบักหวด หรือมะหวด เป็นไม้ยืนต้น เกิดอยู่ดิน (บ่แมนพืชน้ำ ว่าซั่นเถาะ) ถ้าอยู่ตามท่งนา มักสิอยู่เทิงโพน... (ขอเตือนต้นบักหวดว่า หากอยากรอดชีวิต ให้ไปเกิดอยู่เทิงโพน อย่าไปเกิดอยู่กลางนาขาเจ้าเด็ดขาด.. ตายแท้ๆ เด้อ)...

     นอกจากพบพ้ออยู่ตามท่งนาแล้ว กะมักสิพบพ้ออยู่หม่องที่เป็นโนน เป็นไฮ่ ถ้าอยู่นำโนน นำไฮ่ บ่ต้องเกิดเทิงโพน กะรอด .. เพิ่นบ่ถางถิ่มดอก...

     หน่วยบักหวดข่า หน่วยดิบ สีเขียว ๆ หน่วยเหิ่ม สีแดงๆ หน่วยสุก สีดำๆ

     เพิ่นเลยพากันทวยว่า “แต่น้อยๆ นุ่งผ้าสีเขียว ใหญ่ขึ้นมานุ่งผ้าสีแดง เฒ่าๆ มานุ่งผ้าสีดำ... แมนหยัง?"

     บักหวดข่า นั่นล่ะ

     ย่อนหน่วยมันมีหลายสีนั่นล่ะ ผู้ลังคน กะเลยเติมคำว่าสี  ไว้หลังคำว่าหวด....

     อั่นนี้ ผู้ข้าฯบ่เห็นดีนำเด้อ..... บ่ควรสิเติมคำว่าสีลงไป เอิ้นว่าบักหวด(ซื่อๆ) หรือเอิ้นว่า บักหวดข่า ดีกว่า...

     บักหวดข่า ออกหน่วยเป็นพวง เป็นปุ้ม ลักษณะตามรูปด้านล่าง

      
บักหวดข่าสุก



     หน่วยดิบ ...สีเขียวๆ บ่มีไผกิน รสชาติ เป็นจั่งได๋บุ... บ่เคยซิมจักเทื่อ..คิดว่า น่าสิฝาดๆ ล่ะมั้ง

     หน่วยเหิ่ม ... ถ้าอึดอยากหลาย กะกินอยู่... แต่ว่ามันบ่แซบเด้อ มันฝาด ยังบ่หวาน

     หน่วยสุก... นี่ล่ะ ของแซบนก และเด็กน้อยล่ะ.... รสชาติหวานดีพอสมควร.. แต่ฮาลังต้น กะหวานอมฝาดดอกหวา


     การกินบักหวดข่าสุกนั่น กินเฉพาะนวนเด้อ ส่วนนัยนั่น คายทิ้งซะดีกว่า... หรือสิบ่คาย สิหลืนเหมิด กะบ่ว่าดอก ย่านลำบากยามไปขี้ซั่นดอก...
  
     คำเตือน... ถ้าบ่มีน้ำกิน บ่ควรกินหลาย เดี๋ยวสิหิวน้ำทรมานเปล่าๆ ... หรือ ให้เด็ดพวง เอาเข้าไปกินในบ้าน หม่องที่มีน้ำกินสิดีกว่า (อย่าสะย่านแต่ผู้อื่นยาดกินหลายถ่อน)

     ใบบักหวดข่า นิยมเอาไปใช้สำหรับหมักข้าวเฮ็ดข้าวปุ้น.... อันนี้ ผู้ข้าฯ บ่ฮู้ดอกเด้อ ว่าใบหวดข่า มีคุณสมบัติพิเศษอีหยัง มีสารพิเศษอีหยัง ที่เป็นประโยชน์ในการหมักข้าวปุ้น.. ผู้ได๋ฮู้ บอกแหน่ปั๋ง....
                                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 332 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 331 ครั้ง
 
 
  18 ส.ค. 2549 เวลา 20:42:12  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
อยากกินคือกันนั่นล่ะ อ๋อฮวกกะดาย

แต่ว่าถ้วยทางเทิง คือว่า มันเค็มล่ะ??
สงสัย ย่อนเฮ็ดอยู่ใกล้บรบือ(วาปีฯ)บ้อน้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 505 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 505 ครั้ง
 
 
  31 ก.ค. 2550 เวลา 15:44:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เอ้อ อาจเป็นไปได้น้อ ขึ้นอยู่กับคนเฮ็ด บ่ล้างมือ ???

 
 
สาธุการบทความนี้ : 27 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 27 ครั้ง
 
 
  01 ส.ค. 2550 เวลา 21:44:41  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
บ่แม่น คุ่ยเอาคุ่ยเอา เด้อ... ซดเอาซดเอา ซั่นดอก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 19 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 19 ครั้ง
 
 
  12 ส.ค. 2550 เวลา 20:25:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) ลาบหมาน้อย  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่14) เรื่องน่ารู้ของเครือหมาน้อย กรุงเขมา : วุ้นธรรมชาติ ยาเย็น แก้ไข้ แก้ปวด      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เรื่องของเครือหมาน้อย...วุ้นธรรมชาติ อาหารสุขภาพของชาติพันธุ์ ไทย-ลาว



ในสมัยเด็กเวลาเดินตามคันนาจะเห็นไม้เถาเลื้อยพันชนิดหนึ่ง ใบเป็นรูปหัวใจแต่โคนใบเป็นแบบก้นปิด หน้าใบและหลังใบมีขนปกคลุมหนา ชอบเอามือลูบใบของมันเล่นเพราะขนมันนุ่มเหมือนขนหมาน้อย แม่บอกว่ามันชื่อ เครือหมาน้อย และทำเป็นขนมวุ้นใส่น้ำเชื่อมกินได้ ยายเคยทำให้แม่กิน (ต้นตระกูลของคนตำบลเขาพระ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก เป็นชาติพันธุ์ไทยลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ในสมัยรัชกาลที่ ๓) พอโตขึ้นก็ไม่เคยเห็นเจ้าเครือหมาน้อยอีกเลย ไปพบเครือหมาน้อยอีกครั้งตอนไปเวียงจันทน์เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนพาแม่ไปเที่ยว ได้เห็นขนมวุ้นเขียวๆ เหมือนเฉาก๊วยสีเขียว แม่บอกว่านี่แหละคือ วุ้นเครือหมาน้อย จึงได้กินเครือหมาน้อยเป็นครั้งแรก รู้สึกเย็นชื่นใจ และเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๑ ได้กลับไปเวียงจันทน์อีกครั้ง และไปกินอาหารที่ร้านอาหารของสนามบินซึ่งบริการแบบบุฟเฟต์ ที่นี่มีวุ้นเครือหมาน้อยเป็นของหวานให้ตักกินด้วยเช่นกัน

เป็นที่น่าดีใจว่าในเมืองไทย เครือหมาน้อยยังถูกใช้ทำเป็นอาหารอยู่ในหลายชุมชน หลังจากการกลับมาจากเวียงจันทน์ได้ไปเก็บข้อมูลการใช้สมุนไพรไทยพวนที่บ้านดงกระทงยาม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พบว่าในชุมชนไทยพวนยังมีการปลูกเครือหมาน้อยเพื่อทำวุ้นเครือหมาน้อย เพื่อนำไปทำเป็นอาหารหวานและอาหารคาว มีสรรพคุณเป็นยาเย็น แก้ร้อนใน ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ส่วนคนไทยเลยยังใช้น้ำคั้นจากรากและใบของเครือหมาน้อยใส่ในแกงหน่อไม้แทนใบย่านาง

ปัจจุบันกลุ่มอินแปง จังหวัดสกลนคร มีการเพาะกล้าเครือหมาน้อยจำหน่าย และยังพบว่าในตลาดมหาชัยเมืองใหม่ พระราม ๒ มีใบสดของเครือหมาน้อยวางขายอยู่ในตลาดด้วย เครือหมาน้อยทำเป็นวุ้นได้เพราะในใบมีสารเพคตินธรรมชาติถึงร้อยละ ๓๐ สารเพคตินนี้จะเป็นพวกเดียวกับวุ้นพุงทะลายหรือวุ้นในเม็ดแมงลัก เพคตินมีคุณสมบัติในการพองตัวอุ้มน้ำเป็นการเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้ ช่วยในการขับถ่าย ลดระยะเวลาของอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ ช่วยดูดซับสารพิษที่เกิดขึ้นจากการย่อยกากอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ หรือสารพิษตกค้างอื่นๆ เป็นการลดปัจจัยหรือความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทั้งยังลดการดูดซึมของน้ำตาลและไขมัน จึงเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารของผู้ป่วยเบาหวานและคอเลสเตอรอลในเลือดสูงได้ดี

เครือหมาน้อย...ยาเย็น แก้ปวดหลังปวดเอว แก้ไข้ แก้เจ็บคอ
หมอยาพื้นบ้านทุกภาคนิยมใช้รากเครือหมาน้อยเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามตัว แก้ปวดหลังปวดเอว แก้ไข้ แก้เจ็บคอ ไข้ออกตุ่ม โดยจะฝนกินหรือต้มกินก็ได้ จะใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นหรือใส่ในยาชุม (ยาตำรับที่มีสมุนไพรหลายชนิดผสมกัน) ที่รักษาโรคและอาการเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกับหมอยาพื้นบ้านชาวบราซิลที่ใช้เครือหมาน้อยในการแก้ไข้ แก้ปวด และหมอยาพื้นบ้านชาวอินเดียแดงก็ใช้การต้มใบและเถาของเครือหมาน้อยกินเพื่อแก้ปวด การศึกษาสมัยใหม่พบว่าเครือหมาน้อยมีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบได้ดี ซึ่งสนับสนุนการใช้ของหมอยาพื้นบ้านเหล่านั้น

ส่วนพ่อหมอประกาศ ใจทัศน์ ที่บ้านน้อมเกล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ใช้รากเครือหมาน้อยฝนกับน้ำมะพร้าวให้กินแทนน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาประดงไฟ ซึ่งมีลักษณะอาการออกร้อนตามตัวซึ่งภาษาทางการแพทย์เรียกว่า burning sensation



เครือหมาน้อย...ยาของผู้หญิง ยาปรับประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือน แก้ไข้ทับระดู
หมอยาไทยพวนใช้หัวของเครือหมาน้อยฝนกินกับน้ำแก้ปวดประจำเดือน แก้ไข้ทับระดู ปรับสมดุลของประจำเดือนให้เป็นปกติทั้งอาการที่มีประจำเดือนมากหรือน้อย ซึ่งคล้ายกับการใช้ของหมอยาพื้นบ้านประเทศในแถบอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ โดยหมอยาเหล่านั้นใช้เถา ราก ใบ เปลือก ของเครือหมาน้อยระงับอาการปวดทั้งก่อนคลอดและหลังคลอดทั้งใช้รักษาอาการตกเลือดหลังคลอด โดยให้ฉายาเครือหมาน้อยว่า สมุนไพรของหมอตำแย (Midwives's herb) ทั้งยังใช้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับระบบประจำเดือนของผู้หญิง เช่น อาการปวดประจำเดือน มีประจำเดือนออกมามากเกินไป อาการไม่สบายก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome, PMS) รวมทั้งรักษาสิวที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน โดยมีความเชื่อร่วมกันว่า เครือหมาน้อยเป็นยาปรับสมดุลฮอร์โมนของผู้หญิง การใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณนี้มีการใช้อย่างต่อเนื่องกันมาเป็นพันๆ ปี จนถึงปัจจุบัน

การใช้เครือหมาน้อยเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงนั้น หมอยาไทยใหญ่ก็มีการใช้เหมือนกัน โดยหมอยาไทยใหญ่บางท่านเรียกเครือหมาน้อยว่า "ยาไม่มีลูก" โดยใช้รากของเครือหมาน้อยต้มกินไปเรื่อยๆ แทนยาคุมกำเนิด (แต่ไม่แนะนำให้ใช้เพราะมียาคุมกำเนิดที่ดีอยู่แล้ว)

เครือหมาน้อย...ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ปวดเกร็งในท้อง
หมอยาไทยเลยใช้เครือหมาน้อยเป็นยารักษาระบบทางเดินอาหารในหลายๆ อาการ เช่น ใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกท้อง แก้กินผิด (อาการวิงเวียนศีรษะ มืนหัวหลังกินอาหารบางชนิด) แก้ท้องบิด แก้ท้องเสีย แก้เจ็บท้อง (อาการปวดเกร็งที่ท้อง) แก้ถ่ายเป็นเลือด โดยใช้รากต้มกิน หมอยาพื้นบ้านในอเมริกาใต้ก็ใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณเดียวกัน คือใช้ต้านอาการปวดเกร็งทั่วไป และใช้รักษาโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome, IBS) โรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น การศึกษาสมัยใหม่พบว่า เครือหมาน้อยมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสีย

เครือหมาน้อย...ยาเย็น พอกสิว พอกหน้า บำรุงผิวพรรณ
ข้อมูลจากการสัมมนาหมอยาพื้นบ้านเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว หมอยาในจังหวัดปราจีนบุรีแนะนำให้ขยี้ใบเครือหมาน้อยให้เป็นวุ้นพอกรักษาฝี อาการปวดบวมตามข้อ หรืออาการอักเสบของผิวหนัง ผดผื่น คัน รวมทั้งจากแมลงสัตว์กัดต่อย นอกจากนั้นยังใช้พอกหน้าสำหรับผู้หญิงที่เป็นสิวผิวพรรณไม่ดีอีกด้วย

เครือหมาน้อย...ยาลดความดัน
เครือหมาน้อยยังใช้เป็นยาลดความดันในกลุ่มหมอยาไทยใหญ่ โดยใช้ทั้งต้นต้มน้ำกิน หมอยาพื้นบ้านบราซิลก็ใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณนี้เช่นกันโดยใช้ราก ต้น เปลือก ใบ ของเครือหมาน้อยต้มกิน เพื่อใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง นิ่ว ทางเดินปัสสาวะอักเสบ การศึกษาสมัยใหม่พบว่า สารสกัดจากเครือหมาน้อยสามารถลดความดันโลหิตในสัตว์ทดลองได้

เครือหมาน้อย...ยาอายุวัฒนะ
หมอยาไทยเลยจะใช้รากเครือหมาน้อยทำเป็นผงละลายกินกับน้ำผึ้ง หรือขยี้กับน้ำดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ รวมทั้งใช้รากเครือหมาน้อยไปเป็นส่วนประกอบในแป้งเหล้า โดยเชื่อว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งชนเผ่า Creoles ใน Guyana จะแช่ใบ เปลือก ราก ในเหล้ารัมเพื่อบำรุงสมรรถภาพทางเพศ



--------------------------------------------------------------------------------

ข้อควรระวัง! ไม่ควรใช้ในคนท้อง

--------------------------------------------------------------------------------

วิธีการทำอาหารจากเครือหมาน้อย
เลือกใบเครือหมาน้อยที่มีสีเขียวเข้มที่โตเต็มที่แล้วประมาณ ๑๐-๒๐ ใบ ล้างให้สะอาดแล้วนำมาขยี้กับน้ำสะอาด ๑ ถ้วย เวลาขยี้ใบจะรู้สึกเป็นเมือกลื่นๆ เมื่อขยี้จนได้น้ำสีเขียวเข้มให้กรองเอากากใบเครือหมาน้อยออก บางคนคั้นน้ำจากใบย่านางใส่ลงไปด้วยจะทำให้วุ้นแข็งตัวเร็ว จากนั้นนำน้ำวุ้นที่ได้ปรุงรสตามชอบ หากต้องการรับประทานเป็นของคาวก็เติมพริกป่น ปลาป่น เนื้อปลาต้มสุก หัวหอม น้ำปลา ข้าวคั่ว ใบหอม และผักชีหั่น ถ้าอยากแซบก็ใส่น้ำปลาร้าแทนน้ำปลาก็ได้ หรือถ้าต้องการรับประทานเป็นของหวาน อาจคั้นน้ำใบเตยใส่เพิ่มลงไป การใส่เกลือลงไปเล็กน้อยจะช่วยให้วุ้นแข็งตัวเร็วขึ้น แต่อย่าใส่มากจะออกรสเค็ม ตั้งทิ้งไว้อีกประมาณ ๔-๕ ชั่วโมง น้ำคั้นจะจับตัวเป็นก้อนเหมือนวุ้น มักเรียกว่า วุ้นหมาน้อย แล้วเติมน้ำหวานหรือน้ำตาลลงไป รับประทานเป็นอาหารว่างที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ทางยาอีกด้วย

หมายเหตุ
ชาวไทยพวนนิยมคั้นเครือหมาน้อยกับใบย่านาง จะทำให้วุ้นเครือหมาน้อยแข็งตัวได้ดีกว่า เพราะในใบย่านางจะมีเกลือแร่อยู่จำนวนหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นวุ้นได้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับการใส่น้ำปลา น้ำปลาร้า หรือเกลือ ช่วยทำให้เกิดวุ้นได้ดีเช่นกัน

---------------------

เครือหมาน้อยเป็นสมุนไพรที่มีการใช้กันมาอย่างต่อเนื่องในหมู่หมอยาพื้นบ้านในแถบอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือนานนับพันปีจนถึงปัจจุบันและเป็นที่น่าแปลกใจว่าแม้อยู่กันคนละทวีปกับบ้านเรา แต่ก็มีการใช้ในสรรพคุณที่เหมือนๆ กันเป็นส่วนใหญ่

---------------------------------------------------------------------------------------

ที่มา : http://thrai.sci.ku.ac.th/node/879

 
 
สาธุการบทความนี้ : 344 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 344 ครั้ง
 
 
  07 ต.ค. 2552 เวลา 15:49:57  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   16) ซุบเห็ดตะไค  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ข้าวที่นึ่งไว้ เย็นจนเยือยเหมิดแล้ว.... สิได้ดังไฟ อุ่นข้าว ตั้วหนิแมะ

อีหลีแล้ว เห็ดยอดนิยม น่าสิเป็น เห็ดละโงก เนาะ

ส่วนเห็ดปลวก เช่นเห็ดปลวกจิก (ยกเว้นเห็ดปลวกไก่น้อย) น่าสิเป็นเห็ดขานิยมอีหลีแล้ว เห็ดยอดนิยม น่าสิเป็น เห็ดละโงก เนาะ



 
 
สาธุการบทความนี้ : 392 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 392 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2549 เวลา 21:20:49  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่0) สาโท      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักเรื่องแป้ง หรือลูกแป้งกันก่อน
ลูกแป้ง ที่ทำกันอยู่ จากอดีต – ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 แบบคือ

1. ลูกแป้งสำหรับย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลอย่างเดียว ซึ่งลูกแป้งชนิดนี้ จะมีเชื่อราเป็นตัวย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล (คงไม่ต้องรู้จักชื่อเชื้อราชนิดนี้หรอกนะ) .... เราใช้สำหรับทำข้าวหวาน หรือข้าวหมาก หรือข้าวแช่

2. ลูกแป้งสำหรับย่อยน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งลูกแป้งชนิดนี้ จะมียีสต์เป็นตัวย่อยน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์และคาบอนไดออกไซด์ .... เราใช้สำหรับหมักน้ำหวานให้เป็นเหล้า เช่นทางภาคกลาง ภาคใต้ที่มีต้นตาลเยอะๆ มักใช้ลูกแป้งชนิดนี้หมักน้ำตาลให้กลายเป็นน้ำตาลเมา หรือกระแช่

3. ลูกแป้งแบบ 2 in 1 ทำสองหน้าที่ในหนึ่งเดียว ซึ่งลูกแป้งชนิดนี้ จะมีทั้งราและยีสต์ผสมอยู่ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ.... ลูกแป้งชนิดนี้แหละ ที่เราเรียกว่าแป้งเหล้าโท.. ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันคร่าวๆ (ไม่ยาดกันทำงาน) คือ

เชื้อรา หน้าที่ย่อยแป้งจากข้าวให้เป็นน้ำตาล จากนั้น ยีสต์ ก็จะย่อยน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ และคาบอนไดออกไซด์... คุณภาพของแป้งเหล้า จะอยู่ที่อัตราส่วนระหว่างรากับยิสต์ ต้องพอเหมาะพอดี เพราะหากไม่พอเหมาะ เช่น หากยีสต์มากเกินไป ราจะย่อยแป้งเป็นน้ำตาลไม่ทัน ยีสต์กินเร็วกว่า เมื่อคายคาบอนไดออกไซด์ออกมามาก ออกซิเจนเหลือน้อย ราก็จะขาดใจตายก่อนถึงวัยอันควร น้ำตาลก็ได้ไม่มาก... สายพันธุ์ของยีสต์ก็สำคัญเช่นกัน เพราะบางสายพันธุ์เหมาะสำหรับทำน้ำส้มสายชู จึงอาจทำให้สาโท มีรสเปรี้ยวได้ง่าย


ดังนั้น ซื้อแป้งเหล้า ต้องศึกษาประวัติ และอาศัยประสบการณ์ แป้งเจ้าไหน ทำเหล้าอร่อย เป็นต้น

เนื่องจาก แป้งแบบ 2 in 1 ควบคุมอัตราส่วนของราและยีสต์ลำบาก การทำเหล้าโทสมัยใหม่แบบผู้เชี่ยวชาญ จึงนิยมใช้ แป้งสองตัว คือแป้งรา และแป้งยีสต์ โดย หมักข้าวให้เป็นน้ำตาลก่อน (เพื่อให้ได้ความหอมของข้าว) และต้มน้ำตาลผสมลงไป (เพื่อเพิ่มปริมาณ และประหยัดต้นทุน) จากนั้น จึงเติมเชื้อยีสต์ลงไป เพื่อหมักให้เป็นเหล้า...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 543 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 542 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 15:45:42  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1) ลูกแป้ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 


ก่อนจะหมักสาโท... เราลองมาศึกษาวิธีการทำลูกแป้งกันก่อนครับ..

เอาวิธีทำแบบชาวบ้าน ดีกว่าเนาะ... ลูกแป้ง ความจริงทำไม่ยาก หากเกิดในเรือนที่เขาทำ หรือเป็นลูกพ่อแม่ที่ทำแป้งขาย.... และก็ทำไม่ยาก หากเราทำเป็น (พูดอีกก็ถูกอีก) และก็ทำไม่ยากเท่าไหร่ หากเราได้สูตรรวมถึงกรรมวิธีในการทำมา (พูดอีกเดี๋ยวถูกแอก)…

พวกเราในที่นี้ รวมถึงตัวข้อยเอง ไม่ได้เกิดเป็นลูกคนทำแป้งขาย ก็เลยไม่เคยเห็นกรรมวิธี... แต่หลังจากศึกษาดูแล้ว หากจะทำจริงๆ ก็ไม่ยาก

ขั้นแรก ให้เราไปหาซื้อแป้งเหล้า (หรือแป้งข้าวหมาก หากต้องการทำแป้งข้าวหมาก).... ควรหาซื้อจากเจ้าที่มีชื่อเสียงหน่อยนะ (ไม่ต้องเป็นผู้แทนฯก็ได้เด้อ)... เพื่อนำมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์

หลังจากได้แป้งมาแล้ว ก็เตรียมวัตถุดิบอื่นๆ คือ

- สมุนไพรสำหรับผสมลงในแป้ง (สมุนไพรนี่แหละ คือสูตรลับของแต่ละคนล่ะ)
- แป้งข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็ได้ (สมัยก่อน เขาตำ-บดเอา)


สับบดสมุนไพรให้ละเอียด บดลูกแป้งที่เป็นพ่อพันธุ์ให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวกับสมุนไพรให้เข้ากัน นำลูกแห้งที่บดละเอียดแล้วผสมลงไปให้เข้ากัน ..ค่อยๆ เติมน้ำเข้าไป นวดแป้งไปเรื่อยๆ เติมน้ำพอให้ปั้นเป็นก้อนได้ จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นก้อนโตพอประมาณ เรียงลูกแป้งบนกระด้งหรือภาชนะก้นโปร่ง คลุมด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ชั้น บ่มประมาณ 48 ชั่วโมง หรือดูว่ามีปุยขาวๆ เหลืองๆ จับที่ผิวก้อนแป้งแล้ว นั่นแสดงว่าเชื้อราและยีสต์ขยายพันธุ์ มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองแล้ว จากนั้น เพื่อให้มันหยุดขยายพันธุ์ ก็นำไปตากแดดให้แห้ง

เสร็จแล้วเด้อ.. เห็นไหม.. ไม่น่ายากเลย ไปลองทำดูเอาเองเด้อ...
                            

 
 
สาธุการบทความนี้ : 752 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 752 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 15:52:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2) ทำลูกแป้ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ตัวอย่างสูตรที่พูดถึงข้างบนนั้น บอกเป็นมาตราส่วนที่ชัดเจน ก็จริง แต่ในการทำจริงๆ ของชาวบ้าน ไม่มีใครมานั่งชั่ง ตวง วัตถุดิบขนาดนั้นหรอกนะ กะเอา กะเอา (เหมือนกับสูตรอาหาร กับการทำอาหารของคนที่ทำเป็นแล้วนั่นแหละ คงไม่มีใครชั่งน้ำปลาร้า หรอกนะ)... ที่สำคัญ คือขั้นตอน กะดูว่า เชื้อเจริญเพียงพอหรือยังแก่ความต้องการหรือยัง นั่นแหละ ถ้าเชื้อยังไม่มากพอ นำไปตากแดดดก่อน ก็ไม่ดี หรือบ่มนานเกินไป จนราสร้างสปอร์สีดำ นั่นก็ไม่ดี เหมือนกัน...

พูดถึงการทำลูกแป้งแบบพื้นบ้านที่ใช้ลูกแป้งเก่าแล้ว ต่อไปเรามาดูวิธีการทำลูกแป้งที่ใช้เชื้อบริสุทธิ์ เป็นตัวขยายพันธุ์บ้าง....

การทำลูกแป้งโดยใช้เชื้อบริสุทธิ์


วัตถุดิบในการผลิตลูกแป้ง และเครื่องเทศ (สูตรใหญ่ แบบสมุนไพรเยอะ)

1. เครื่องเทศ 30 กรัม

2. ข่า 300 กรัม

3. กระเทียม 100 กรัม

4. แป้งข้าวเหนียว 850 กรัม

5. ยีสต์ 100 มิลลิลิตร

6. รา 100 มิลลิลิตร

7. น้ำสะอาดปลอดเชื้อ 250 มิลลิลิตร


การเตรียมเครื่องเทศ

1. ดอกจันทร์ 15 กรัม

2. เปราะหอม 15 กรัม

3. กานพลู 15 กรัม

4. โกฐพุงปลา 15 กรัม

5. พริกไทยขาว 50 กรัม

6. พริกไทยดำ 75 กรัม

7. ขิงแห้ง 25 กรัม

8. ดีปลี 50 กรัม

9. ลูกจันทร์เปลือก 40 กรัม

10. แปดกลีบ 15 กรัม

11. ชะเอมไทย 130 กรัม

12. อบเชย 100 กรัม

13. จะค่าน 100 กรัม

14. รากไคร้เครือ 100 กรัม

15. เจตมูลเพลิงแดง 30 กรัม

16. โกฐสอ 50 กรัม

17. โกฐจุฬาลัมพา 25 กรัม

18. มะตูมแห้ง 75 กรัม


นำส่วนผสมของเครื่องเทศทั้งหมดบดให้ละเอียดผสมให้เข้ากัน

วิธีทำ

บดข่า กระเทียม และขิงให้ละเอียด นำเครื่องเทศที่เตรียมไว้ทั้งหมดมาบดให้ละเอียดผสมให้เข้ากัน ตักเครื่องเทศมาใช้ 30 กรัม นำส่วนผสมทุกอย่างมาผสมให้เข้ากัน เทเชื้อราและยีสต์บริสุทธิ์ที่เตรียมไว้ลงไปผสมให้เข้ากัน เติมน้ำสะอาดลงไปทีละน้อย จนสามารถปั้นลูกแป้งเป็นก้อนได้ ปั้นลูกแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ พอประมาณ วางเรียงไว้บนผ้าขาวบางคลุมทับ 2 ชั้น เสร็จแล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมทับ 2 ชั้น นำไปบ่มไว้ที่อุณหภูมิห้อง จนเชื้อเจริญ สังเกตจากลูกแป้งจะมีเชื้อราขึ้นฟูเส้นใยสีขาวแล้วจึงนำมาตากแดดให้แห้ง เก็บลูกแป้งไว้ในภาชนะปิดให้มิดชิด

--------------------------------
สูตรนี้ ได้มาจาก เว็บไซต์สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 648 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 647 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 15:59:06  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 

ตัวอย่างลูกแป้ง..



การทำลูกแป้ง ก็ไม่ยากอย่างที่คิดเนอะ...

บ่าวหน่อ อ่านแล้ว ก็ลองไปทำดูนะ ทำลูกแป้งเอง หมักเหล้าเอง แล้วก็กินเองเลย (ไม่ต้องเผื่อพี่เด้อ..)
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 806 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 806 ครั้ง
 
 
  25 ส.ค. 2549 เวลา 16:06:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่5) การหมักสาโท      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
พูดเรื่องลูกแป้งมานานแล้ว ต่อไป มาลองดูการหมักเหล้าโทบ้าง (โดยเฉพาะ แบบที่ชมรมเราเคยหมัก งานพาแลง)

เนื่องจากแป้งแต่ละแห่ง ก้อนโตไม่เท่ากันเอย ปริมาณเชื้อภายในไม่เท่ากันเอย... โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย... ดังนั้น เวลาซื้อแป้ง ควรถามคนขาย หรือผู้ผลิต ถึงอัตราการใช้ด้วย เช่น หนึ่งก้อน ต่อข้าว กี่หวด หนึ่งก้อน ต่อข้าวกี่กิโล? เป็นต้น

เมื่อเราได้แป้งเหล้าโทมาแล้ว ให้บดให้เป็นแป้งละเอียดยิบเลย โดยใส่ในครก และใช้สากบดเหมือนกับหมอยาเขาบดยานั่นแหละ (แม่นบ่บุ๊ล่ะ??) การบด ก็ต้องใจเย็น ๆ อย่าใจร้อน ใส่ครกลงไปทีเดียว หลายก้อนเกินไป มันจะบดยาก...

อีกฝ่ายหนึ่ง ให้ไปนึ่งข้าวเตรียมไว้ นึ่งเสร็จแต่ละหวด แล้วต้องนำมาผึ่ง ให้เย็น ข้าวที่จะหมักสาโท ร้อนไม่ดี เพราะคนซาว จะร้อนมือ และเชื้ออาจเสียชีวิตก่อนได้

วันนี้ นึ่งข้าว เตียมไว้ก่อนก็แล้วกัน

คนอื่นๆ ล้างภาชนะให้สะอาด ไว้เด้อ... ไปหาซื้อแผ่นพลาสติก (ผ้ายาง) แบบหนาๆ หน่อย และซื้อหนังยางมาเตรียมไว้ด้วยนา...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 496 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 495 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2549 เวลา 10:10:56  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
อ้าว... มาฟังกันต่อ...

นำข้าวเหนียวที่เย็นแล้วมาใส่กาละมัง เทน้ำดื่มสะอาดใส่ (ถ้าให้ดี ควรเป็นน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว) จากนั้น ขยี้ข้าวเหนียวเพื่อให้เม็ดแต่ละเม็ดละลายออกจากกัน (เฮ็ดให้มันเยือยออก นั่นหนา) แล้วนำข้าวเหนียวที่ละลายออกจากกันแล้วนั้น ไปใส่ในกาละมังใบอื่น (ขั้นตอนนี้สำคัญนา เพราะถ้าข้าวยังเป็นก้อนอยู่ อาจทำให้ภายในก้อนข้าวนั้น ไม่ได้รับเชื้อ)

เมื่อได้พอประมาณแล้ว ก็นำแป้งสาโทมาโรยใส่ตามอัตราส่วนที่พอเหมาะกับปริมาณข้าวเหนียว แล้วก็ผสมให้เข้ากัน ถ้ารู้สึกว่าเหนียวเกินไป ก็เติมน้ำสะอาดลงไป เพื่อให้ผสมได้ง่าย แต่ไม่ควรเติมน้ำจนเหลว (ขั้นตอนนี้ ก็สำคัญ ต้องผสมละเลงคลุกเคล้าให้แป้งเข้ากันกับข้าวเหนียวทั่วๆ)

เสร็จแล้ว ก็นำข้าวเหนียวที่ผสมแป้งแล้ว บรรจุลงไห หรือภาชนะอื่นๆ พอประมาณ (หากทำแบบไม่ใส่น้ำตาลต้มก็บรรจุประมาณ ½ ของภาชนะ... หากทำแบบใส่น้ำตาลต้ม ก็บรรจุประมาณ ¼ ของภาชนะ)

เมื่อได้ปริมาณพอสมควรแล้ว ให้บีบอัดข้าวเหนียวให้แน่นๆ จากนั้น ให้ทำเป็นรูบุ๋มลงไปตรงกลาง เพื่อให้น้ำต้อย (หรือน้ำหยั่น) ไหลมานองอยู่ตรงนั้น เอาไว้ใช้แก้ว(จอก)ตักสาโทมาชิม... ที่สำคัญคือ ทำรูนี้เพื่อให้เป็นที่ระบายอากาศ นั่นเอง

เสร็จแล้ว นำแผ่นพลาสติกมาปิดปาก ใช้หนังยางมัดให้แน่น แบบที่อากาศข้างนอกจะเข้าไปไม่ได้ แล้วนำไปเก็บในที่ร่มมิดชิด

เสร็จไปแล้ว หนึ่งไห

ปล. ช่วงที่หมักอยู่ ระวังคนชอบเลี้ยงต้อย..โอ๊ะ... คนชอบกินน้ำต้อย อย่างบ่าวหน่อให้ดี เพราะคนพวกนี้ จะมาแอบหล็อยกินน้ำต้อย... ซึ่งไม่เป็นผลดี เพราะหากเปิด ปิดบ่อยๆ อากาศเข้าไปข้างในได้ เชื้อตัวอื่นอาจเข้าไปด้วย เป็นเหตุให้ เน่าเสีย หรือ มีรสเปรี้ยวได้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 447 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 446 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2549 เวลา 16:18:35  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
หลังจากหมักไว้ประมาณ5-10 วัน ก็สามารถทำน้ำต้อยให้เป็นน้ำเหล้าได้ โดยวิธีที่เรียกว่า ผ่าน้ำ นั่นเอง

วิธีแบบชาวบ้าน การผ่าน้ำ ใช้น้ำดื่มสะอาด หรือน้ำต้มสุก มาเทใส่ จนเกือบเต็มภาชนะ ปิดปากเช่นเดิม ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน ก็ กินเป็นเหล้าโทได้ เลย… เนื่องจาก ชาวบ้าน ปลูกข้าวเอง มีข้าวมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำตาลมาต้มน้ำหวานเพื่อผ่าน้ำ จึงใช้ข้าวปริมาณมาก ในอัตรา ½ ของภาชนะบรรจุ ข้าวมาก ก็ได้น้ำตาลมาก ดังนั้น เติมแค่น้ำเปล่าเฉยๆ ก็ยังหวานอยู่ (ถ้าไม่ผิดพลาด ก็ไม่เปรี้ยวหรอก)

วิธีแบบทำขาย หากเราใช้ข้าวมาก ต้นทุนก็สูง จึงใช้ข้าวในปริมาณ1/4 ของภาชนะบรรจุ แต่น้ำที่ใช้ผ่าน้ำ ต้องเป็นน้ำหวานนิดๆ คือนำน้ำตาลมาต้มให้ละลาย และเติมน้ำเปล่าปรุงรสน้ำตาลให้หวานพอประมาณ ทิ้งให้เย็น แล้วก็นำไปเทใส่ จนเกือบเต็ม เช่นกัน (ระวัง อย่าเทแรง เดี๋ยวขี้จะแตก.. ข้าวเหนียว ที่จับกันเป็นแพ จะแตกออก ซึ่งไม่ดี) ... จากนั้น ปิดปากภาชนะให้สนิทดีดังเดิม แล้วนำไปเก็บไว้....
( เก็บไว้ดีๆ อย่าให้กระบี่โลหิตรู้ที่ซ่อนเป็นอันขาด)

ประมาณ 3-5 วัน ก็นำมากินได้... ยิ่งหมักนาน ความหวานจะค่อยๆ หายไป ความขมจะเข้ามาแทน แอลกอฮอล์ จะมากขึ้นเรื่อยๆ... จะทิ้งไว้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่คนชอบ เช่น ถ้าหมักให้นางรำฝ่ายหญิง ก็ ต้องให้หวานๆ หน่อย แอลกอฮอลน้อยหน่อย... เมื่อรู้วันจะเปิดกิน ก็คำนวณกลับ เป็นวันที่ต้องผ่าน้ำ.... นั่นคือ เพื่อให้ได้รสชาติ หลากหลาย วันผ่าน้ำ อาจทำ หลายครั้ง ....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 539 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 538 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2549 เวลา 16:27:31  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่10) ภาชนะสำหรับหมักสาโท      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ภาชนะสำหรับสาโทนั้น ความจริงจะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เก็บน้ำได้ น้ำไม่รั่วซึม และสามารถปิดผนึกกันอากาศและเชื้อโรคเข้าได้ เช่น กระติกน้ำ ถังน้ำ โอ่ง ไห เป็นต้น.

ภาชนะสำหรับหมักสาโท(แบบพื้นบ้าน) ที่ดี ให้รสชาติสาโทอร่อย (ความเห็นส่วนตัวนะครับ) ก็คือภาชนะดินเผาแบบกันซึม เช่นโอ่ง หรือไหซอง (แอ่งดินเผาที่น้ำซึมออกก้นน่ะ ใช้ไม่ได้นะ เพราะน้ำต้อยจะแห้งหมด) และที่ดีที่สุด ก็คือไหซอง นั่นเอง นั่นอาจเป็นเพราะ ลักษณะทรวดทรง รวมถึงการเก็บรักษาอุณภูมิ เหมาะสม ก็เป็นได้

ดังนั้น งานพาแลง จึงมักขโมยไหซองของนางไห มาหมักสาโท เป็นประจำ เป็นเหตุให้นางไห เมากลิ่นสาโทตอนดีดไหบนเวที พุ่นแหล่ว... ที่สำคัญ สาโทที่หมักในไห สงวนไว้สำหรับเลี้ยงนักดนตรี เท่านั้น (ซั่นเด้) ดังนั้น นักดนตรี ทำเอง เพื่อกินเอง จึงทำอย่างพิถีพิถัน ใส่ข้าวครึ่งไห ไม่ต้องใส่น้ำตาลต้ม ทำตามสูตรโบราณ เป๊ะ... หอม แซบ เป็นตาหน่าย กินหลายก็ฮาก...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 559 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 559 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:45:26  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ภาพตัวอย่างน้ำต้อย หรือน้ำหยั่น



ภาพตัวอย่างสาโทที่ผ่าน้ำแล้ว... เอาจอกมาตักดื่มโลด
            

 
 
สาธุการบทความนี้ : 583 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 583 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:48:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่12) เรามาลองแต่งรสแต่งกลิ่นให้สาโท ดูนะ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
อันนี้ เป็นสูตรเด็ดแบบลับเฉพาะเลยนะเนี่ย....

1. ทำให้เป็นรสเย็นซ่า ชุ่มคอ ถูกใจคนคอเหล้า

สูตรนี้ ได้มาจาก ดลคนบ้านแคน เด้อ.... การทำก็ไม่ยาก ให้เรียกเด็กน้อยมาหนึ่งคน เอาตังค์ให้มันสัก 5 บาท และบอกให้มันไปซื้อฮอล รสเย็นซ่าส์มา หลังจากได้ฮอลมาแล้ว ก็แบ่งให้เด็กไปอม สักเม็ดสองเม็ดก็ได้ ที่เหลือ เอามาตำบดให้ละเอียด แล้วผสมใส่ลงในข้าวเหนียวพร้อมแป้งเหล้า... หมัก ตามวิธีการทั่วไป ก็จะได้สาโทรสเย็นซ่าส์ ชุ่มคอ... (เย็นคอจริงๆ นะ เคยลองด้วยตัวเองแล้ว)


2. ทำให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

สูตรนี้ สมัยเป็นเด็ก เคยเห็นพ่อท่านทำ เลยจำเอาไว้ แต่ตัวเองยังไม่เคยลองทำดู และสมัยเป็นเด็ก ก็ไม่เคยลองชิมด้วย จึงไม่รู้ว่า มันจะหอมแตกต่างจากทั่วไปอย่างไรบ้าง...

วิธีทำ อาจยุ่งยากหน่อย.. ให้ไปหาตัดไม้ตะโกนามาสักท่อน ถากเอาเปลือกออกให้เหลือเฉพาะแก่นโก และตัดซอยแก่นโกออกเป็นแผ่นๆ จากนั้น นำไปปิ้งบนถ่านไฟ เหมือนปิ้งปลา ให้แก่นโกสุกเหลืองเกือบไหม้นู่นแหละ แก่นโกก็จะมีกลิ่นหอม... นำแก่นโกที่ปิ้งสุกแล้ว ไปใส่ในภาชนะบรรจุ หลังผ่าน้ำแล้ว... น้ำสาโทจะดูดซับกลิ่นหอมของแก่นโกปิ้งเข้าไป ให้หอมหวนชวนรับประทาน ยิ่งขึ้น

วิธีเดียวกันนี้ ตอนงานพาแลง พี่เคยทำการทดลองเหมือนกัน เนื่องจากในกรุงเทพฯ หาแก่นโกไม่ได้ จึงลองซื้อรากไม้สมุนไพรหอมๆ มา และใส่ลงไปหลังผ่าน้ำ... ผลปรากฏว่า เหล้าโทถังนั้น มีกลิ่นหอมเป็นกลิ่นรากไม้สมุนไพรนั้นจริงๆ และเนื่องจากรากไม้แช่อยู่ในน้ำเหล้า จึงมีรสชาติของรากไม้ปนมาด้วย… นี่เป็นถังทดลองถังที่หนึ่ง

ถังที่สอง ลองแต่งกลิ่นด้วยใบเตย โดยนำใบเตยมาม้วนๆ วางบนข้าวเหนียว ที่ผ่านน้ำแล้ว... ปิดถังเก็บไว้... ผลปรากฏว่า น้ำสาโท มีกลิ่นใบเตยจริงๆ แต่ขอบอกว่า ไม่น่ากินหรอกนะ สาโทกลิ่นใบเตยน่ะ... ถ้าเป็นกลิ่นอื่น เช่นกลิ่นใบไผ่ หรือกลิ่นใบข้าว ก็คงจะน่ากินอยู่มั้ง..

จากผลการทดลองครั้งนู้น สรุปได้ว่า เมื่อนำสิ่งที่มีกลิ่นระเหย ไปใส่ลงในถังหมักสาโท น้ำสาโทจะมีกลิ่นนั้นด้วย และเมื่อนำสิ่งที่มีรสแช่ในน้ำสาโท แอลกอฮอลในสาโท จะละลายเอารสนั้นออกมาด้วย...

ดังนั้น หากจะทำการแต่งรส แต่งกลิ่น ก็สามารถทำได้ ซึ่งข้อควรระวังคือ หากต้องการแต่งกลิ่นอย่างเดียว ก็ไม่ควร นำสิ่งแต่กลิ่น แช่ในน้ำสาโท หรือหากจะแช่ ต้องแน่ใจว่า สิ่งนั้นไม่มีรสชาติอันไม่พึงประสงค์ (เช่นรากไม้ ที่ไม่ได้ปิ้ง อาจเป็นกลิ่นรากไม้นั้น ซึ่งทำให้รู้สึกว่าดื่มสาโท อย่างกะดื่มยาต้ม)... นี่แหละ เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมต้องปิ้งแก่นโกจนเกือบไหม้ เหตุผลอย่างหนึ่งคือให้มันหอม และอีกอย่างหนึ่งคือให้มันคายรสทิ้งไป..

อยากให้มีกลิ่นหอมสมุนไพรอะไร ก็ลองหามาแต่งกลิ่นกันดู..... (อย่างเหล้าอุ ก็แต่งกลิ่นด้วยแกลบ นั่นไงล่ะ)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 567 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 567 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:50:36  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ของแต่งกลิ่นที่ขอเสนอไว้ (แต่ไม่รับประกันความสำเร็จ) คือ ใบไผ่ และ ใบข้าว.... เหตุผล คือ ใบไผ่ ก็นึกถึงสุราไผ่เขียวของจีน ที่หมักโดยมีใบไผ่เป็นส่วนประกอบ... ส่วนใบข้าว ก็นึกถึง ตอนทำนา ถอนกล้าเสร็จแล้ว ก่อนดำ ก็จะตัดปลายกล้าทิ้งไว้บนคันนา พอปลายกล้าโดนแดด กลิ่นมันหอมน่ากินจริงๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นหล้าโทไผ่เขียว น้ำออกเขียวๆ มีกลิ่นหอมใบไผ่กรุ่นๆ คงน่าลิ้มรสไม่น้อย... ถ้าเป็นเหล้าโทใบข้าว น้ำใสนวลๆ มีกลิ่นหอมใบข้าวกรุ่นๆ คงน่าจิบไม่น้อย เช่นกัน

ข้าวสำหรับหมักสาโท ที่ขอเสนอไว้เช่นกัน (และไม่รับประกันความสำเร็จเช่นกัน) คือข้าวเม่า ใช้ข้าวเม่าหมักสาโท (หมักข้าวหวาน ก็น่ากินเนอะ) เป็นเหล้าข้าวเม่า น้ำเขียวใส มีกลิ่นหอมข้าวเม่ากรุ่นละมุน คงน่าดื่มไม่น้อย

หากข้าพเจ้าเป็นคนชอบกินเหล้าโท ก็คงจะลองทำ ลองวิจัย และหมักไว้ต้อนรับจอมยุทธทั้งหลายอยู่หรอก แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า จึงขี้เกียจทดลองทำ... สะล่ะล่ะ

(มักเบียร์คือกระบี่โลหิต นั่นล่ะ)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 709 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 709 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:51:27  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่15)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
อีกเหตุผลหนึ่งที่นิยมนำข้าวเก่ามานึ่งหมักเหล้าโท น่าจะคือว่า ข้าวเก่า นึ่งแล้ว ค่อนข้างแข็ง ไม่นิ่ม ไม่ค่อยติดกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อการผสมกับแป้งเหล้า นั่นคือ หากเป็นข้าวใหม่ เนื่องจากยังมียางอยู่มาก จึงเหนียวมาก ผสมกับแป้งเหล้ายาก แต่ข้าวเก่า ยิ่งเก็บไว้นาน ยางข้าวจะหายไป เม็ดข้าวแยกเม็ดได้ดี จึงผสมกับแป้งเหล้าได้ง่าย....

แต่ เหตุผลหลัก ก็อย่างที่กระบี่โลหิตว่าไว้ คือ ข้าวเก่า กินไม่อร่อย เอาไปทำขนมก็ไม่อร่อย ทำเหล้าดีกว่า ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 839 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 839 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:53:17  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่16) การหมักน้ำหวานให้เป็นเหล้าด้วยแป้งยีสต์      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
การทำก็ไม่ยาก เพียงแค่

- ต้มน้ำตาลให้ละลาย ถ่ายใส่ภาชนะอื่นไว้
- เติมน้ำสะอาดลงไปในปริมาณพอเหมาะ ไปเพื่อปรุงรสให้หวานพอดี
- ทิ้งไว้ให้พออุ่นๆ (ประมาณไม่เกิน30องศา) หรือประมาณดื่มแล้วไม่ลวกลิ้น นั่นแหละ
- ตักน้ำหวานที่ปรุงรสแล้วใส่ภาชนะบรรจุ ประมาณ ¾ (หรือเกือบเต็มก็ได้)
- โรยผงแป้งยีสต์ (หรือเชื้อยีสต์) ลงไปพอประมาณ
- ปิดผนึกปากภาชนะให้แน่น
- นำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย....


ประมาณ 3- 5 วัน ก็นำมากินได้ (จำนวนวันขึ้นอยู่กับปริมาณของยีสต์และความหวานของน้ำ)

น้ำตาลที่นำมาต้ม.... หากต้องการให้เหล้าโทสีใสๆ ควรใช้น้ำตาลทรายขาว... หากต้องการสีน้ำตาลแดง ให้ใช้น้ำตาลทรายแดง (ซึ่งราคาถูกกว่า)

อย่างไรก็ตาม หากต้มแค่น้ำตาลเพียวๆ มาหมักเหล้า ด้วยเชื้อยีสต์บริสุทธิ์ กลิ่นและรสชาติที่ได้ อาจไม่เหมือนสาโทปกติ คือมีแอลกอฮอล์ ก็จริง แต่กลิ่นอาจไม่หอม (เพราะยีสต์ไม่มีน้ำหอม ไม่ได้กินของหอมๆ ลมหายใจเลยไม่หอม) แต่หากใช้แป้งยีสต์ที่มีสมุนไพรต่างๆ ผสมอยู่ ก็ยังจะได้รสและกลิ่นเหมือนสาโทปกติอยู่

สำหรับท่านที่ไม่พอใจ สี กลิ่น ของเหล้าโทน้ำตาลหมักนี้ ก็สามารถแต่งสี แต่งกลิ่นเพิ่มได้ โดยนำใบไม้ หรือดอกไม้ที่ให้สีตามต้องการมาต้ม เช่นสีเขียว ก็มีใบเตย ใบบัวบก เป็นต้น... ซึ่งน้ำหวานที่ใช้หมักเหล้า เป็นสีอะไร ก็จะยังคงอยู่ตามนั้น ...เว้นแต่ว่า ท่านจะใช้แป้งยีสต์สำหรับทำขนมปังมาเป็นเชื้อ เพราะ นั่น จะได้สีใสขาวนวล (เหมือนน้ำซ่าง- น้ำบ่อดิน)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 597 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 596 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:55:25  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่17) การทำเหล้าอุ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เหล้าอุ ก็ใช้เชื้อแบบเดียวกับเหล้าโทนั่นแหละ แต่ขั้นตอนการทำ และส่วนประกอบนั้นแตกต่างอยู่นิดหน่อย.. ซึ่งจากที่ได้ยินฟังมา (ไม่เคยทำเอง) มีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้


- นำข้าวสารและแกลบมาซาวน้ำ แช่ทิ้งไว้ 3-6 ชั่วโมง (หรือหม่าจนข้าวไหน่)

- นำข้าวและแกลบไปนึ่งให้สุก แล้วนำไปผึ่งให้เย็น

- ผสมลูกแป้งบด ในปริมาณที่เหมาะสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน

- นำข้าวและแกลบที่ผสมแป้งแล้ว บรรจุลงไห บีบอัดให้แน่น

- ปิดปากไหด้วยถุงพลาสติก และนำขี้เถ้าผสมน้ำปิดปาก หมักประมาณ 20 วัน

- เวลาจะกิน ก็เปิดออก เติมน้ำดื่มสะอาดลงไป ใช้หลอดดูด(ที่มีที่กรองกันแกลบ) ดูดกินได้เลย


 
 
สาธุการบทความนี้ : 1046 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 1045 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:57:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่18)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 


ร่ำสุราเพียงเดียวดาย แม้สุราจะเลอค่าปานใด นับว่า ไร้รสชาติอย่างยิ่ง

.......................................................

"กระบี่ออกจากฝัก ต้องได้ดื่มโลหิต
คนพบสหาย ต้องได้ดื่มสุรา
ร่ำสุรากับผู้รู้ใจ สถานที่เยี่ยงใด ไม่นำพา
แม้กับแกล้มมีเพียงแมกไม้ เดือนดาว สายลม
นับว่าสุขใจอย่างยิ่ง"

กระบี่โลหิต

...................................................

"ร่ำสุรากับสหายที่รู้ใจ ร้อยจอกพันจอกมิมีเมา"
กระบี่เจ้าสำราญ

...................................................

"สุรา ยิ่งร่ำยิ่งเมามาย กระบี่ ยิ่งร่ำยิ่งช่ำชอง"
ทวนทรนง

...................................................
              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 990 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 990 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 09:04:04  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่24)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
สูตรเฮ็ดสาโทเมืองยโส(บ่าวมหาฝากซี)  พะนะ http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=4817


อันนี้มังกรเดียวดาย เขียนไว้แท้ๆ ซ่างกล้าเว้ากล้าว่า... เนาะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 240 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 240 ครั้ง
 
 
  13 ก.พ. 2553 เวลา 16:49:39  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ฟ้าวแกงแหน่ ฟ้าวแกงแหน่

หักหน่อไม้ข้างหอมาให้แล้ว

ยานาง กะไปซื้อมาให้แล้ว...เหลือแต่คนเฮ็ดสู่กินนั่นล่ะ

        

 
 
สาธุการบทความนี้ : 424 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 423 ครั้ง
 
 
  01 ก.ย. 2549 เวลา 11:08:21  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่8)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เคยกินแกงหวาย อยู่บ้านอ.เปลื้อง กาฬสินธุ์ ขมอ่ำหล่ำ นัวดี

 
 
สาธุการบทความนี้ : 27 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 27 ครั้ง
 
 
  29 ก.ย. 2551 เวลา 08:48:31  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่24)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:

.
.
เทิ่งเฮ็ดเทิ่งถ่าย ...สิถ่ายไปสร้างหยัง พะนะ


ฮ่วย... ล้างมื้อดีบ่ล่ะ นั่นน่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 231 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 231 ครั้ง
 
 
  09 พ.ย. 2552 เวลา 16:06:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่32)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
เฮ้.. ได้กินแล้ว แกงหน่อไม้ สูตรยโสฯ

แกงหน่อไม้ของพ่อใหญ่กระบี่โลหิต
รอฮอดต้นไปหน้าพุ้นบ้อ
ฮอดต้นปีหน้า กะสิได้กินตะหัวปี ท่อนั่นแหล่ว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 245 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 245 ครั้ง
 
 
  09 พ.ย. 2552 เวลา 17:04:17  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่48)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
นอกจากแกงหน่อไม้แล้ว กะคึดอยาก ต้มหน่อโจด กินกับป่นปลาค่อ

จี่พริกดิบให้สุก เอาไปป่นปลาค่อ ใส่แมงดาจี่(ที่บักริวหามา)
ปอกเปลือกหน่อโจดออก ปั้นข้าวเหนียว คุ้ยป่นปลาค่อ โมม แล้วไหย่หน่อโจดกินหม่องอ่อนๆ....บ๋า แซบเป็นยายหน่าย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 205 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 205 ครั้ง
 
 
  18 มิ.ย. 2553 เวลา 10:03:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่79)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ถามแหน่ครับ

มีผู้ได๋เคยกินแกงหญ้าคาบ่ครับ

แบบว่าเอาหน่อหญ้าคามาแกง นั่นแมะครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  30 มิ.ย. 2553 เวลา 11:22:53  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่84)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ถามเบิ่งซื่อๆครับ ว่ามีไผกินแปลกๆบ่ ซั่นเด้

อยู่บ้านกะบ่กิน ผมกะบ่เคยกิน

แต่ว่า คึดเบิ่งแล้ว มันน่าสิแกงแซบยุเด้ น่าสิแกงแทนหน่อไม้ได้ หน่อหวาย ขมๆ กะยังเอามาแกงเนาะ แต่กะเปลกใจว่าเป็นหยังเพิ่นบ่พาเอาหน่อหญ้าคามาแกง ซั่นเด้

หน่อหญ้าคาป่งพ้นดิน ขาวปานงาซ้าง เอาเสียมไปสับเจ๊าะๆ.. บ๋า บ่าวปิ่น ลองแกงกินเบ่งแหน่ปาหยัง แซบ บ่แซบ กะสิได้ฮู้ นั่นหนา (บ่ให้เป็นหนูลองยาดอก.. เป็นบ่าวปิ่นลองยา)

ปล. คันแซบ กะอย่าลืมซวนซุม ผบน. ทั้งหลาย ไปกินนำเด้อ... สิได้กินหญ้าอ่อน ทั่วถึงกัน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 231 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 231 ครั้ง
 
 
  30 มิ.ย. 2553 เวลา 12:53:12  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่114)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
มื้อนี้ กะสิไปแกงหน่อไม้กิน อยู่ชมรมฯ แกงบ่ายเฒ่าๆ กินแลงเยาว์ๆ
ไผว่างๆ กะไปกินนำกัน กะได้เด้อครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  14 ส.ค. 2553 เวลา 09:03:11  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่166)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
แม่นหน่อไม้ หรือว่าลำไม้น้อหนิ คือเป็นตาแก่แท้

หย่ำได้ แสดงว่าแข้วดีคักเนาะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2553 เวลา 17:05:24  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   19) เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ...  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
แจ่วบอง กินกับหำบักมี่ แซบที่สุด

แจ่วบอง กินเล่นๆ แสบที่สุด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 22 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 22 ครั้ง
 
 
  11 ก.ย. 2549 เวลา 08:15:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   19) เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ...  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่64)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
ดอกแคท่ง ต้นอยู่บ้าน แม่นบ่?

 
 
สาธุการบทความนี้ : 0 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 0 ครั้ง
 
 
  28 เม.ย. 2553 เวลา 09:57:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   19) เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ...  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่67)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
คุณปิ่นลม:

อะแฮ่ม...( สะหมาดคอ)
กินของขม  
ชมเด็กสวย
กินกล้วยตอนเช้า......


กินของขม  
ชมเด็กสวย
กินกล้วยตอนเช้า
สะเดาว่าแถ่ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 284 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 284 ครั้ง
 
 
  28 เม.ย. 2553 เวลา 10:14:37  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   19) เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ...  
  มังกรเดียวดาย    คห.ที่72)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  มหาเซียน

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 03 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 3640
ให้สาธุการ : 8145
รับสาธุการ : 6180220
รวม: 6188365 สาธุการ

 
กะคือสิแม่นผู้เว้าเองนั่นล่ะ

แต่ว่า

อ้ายบ่ได้เว้าคำนั้นเด้ล่ะ

อ้ายเว้าเรื่องผักสะเดา พุ้น

 
 
สาธุการบทความนี้ : 166 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 166 ครั้ง
 
 
  28 เม.ย. 2553 เวลา 11:30:39  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23

   

Creative Commons License
เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ... --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ