
เมื่อครั้งที่ อายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะ ต่อสู้กับ ตราชฎา ( 2530-2540) โดยการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์
บางคนอาจเคยเห็น ซุบหน่อไม้ กับ ซุบบักมี่ ซึ่งเป็นอาหารของคนอีสาน ออกโฆษณา
มีภาพเหยาะผงชูรสเล็กน้อย กินแล้วแซบหลาย เป็นอาหารแซบอีสาน
นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา อาหารของคนอีสาน ไม่เคยปรากฏผ่านสื่อโทรทัศน์อีกเลย จวบปัจุบัน
ปัจจุบันเราจะเห็นโฆษณาต่างๆ มากมาย ล้วนเป็นอาหารต่างชาติ บุญหนัก เงินใหญ่
เปิดกรอกตา กรอกหูพี่ไทย ทุก ๆ 5 นาที อาหารยุโรปเอย อาหารแถบวงแหวนแห่งไฟเอย
พิธีกรรายการนำเสนอ อาหารอิตาเลี่ยน ฝรั่งเศสกินม้าเอย กินแพะเอย เต็มไปหมด
ปัจจุบัน เราได้เป็นทาสทุนิยมไปหมดแล้ว หลงลืมรากเหง้า และความเป็นชาติพันธุ์
ไม่นานเราก็จะสูญวิญญาณแห่งความเป็นคน ไปพร้อมกับพันธุ์ไม้ท้องถิ่น
ใครมีทุนเป็นเจ้า เหมือนเล่น ไฮ-โล ในงานศพ แบบนี้แล้วไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกได้ฤา
แม้แต่ชาวญี่ปุ่น ยังเอา ซุบบักมี่ อาหารอีสาน โฆษณาสินค้าของเขา นั่นคือการเล็งเห็นความสำคัญ
แต่ชาวเราเองนั้น ร้องยี้ เดียดฉันท์ ไม่มีแม้แนวคิดจะหยิบยกมา โฆษณาตน
...................................................................................................

เพื่อเป็นการบันทึกไว้ ก่อนที่ ซุบบักมี่ จะเป็นแค่ อาหารของ ทาส ผู้ใช้แรงงาน หรือ ผู้ไร้การศึกษา
ซึ่งแต่ก่อน เป็นอาหารเมนูเชิดหน้าชูตา แม้แต่ชาวซามูไร ยังวางดาบคำนับ
วันนี้ บ่าวปิ่นลม จึงขอเสนอ เมนู ซุบบักมี่ ของแซบอีสานอีกเมนูหนึ่งอันเป็น อาหารวิเศษ
ชื่อพื้นเมือง ซุบบักมี่
ชื่อภาษาไทย 4 บักมุบ
ชื่อภาษาอังกฤษ Soup Perfect Plants อักษรย่อ SPP.
.................................................................................................................
ความเป็นมา
บักมี่ หรือ ขนุน เป็นพืชที่มีมานานในถิ่นนี้ กระจายพันธุ์ไปจนถึง เอเชียใต้ ตามหลักฐานบันทึกฝรั่งลงเรือ
พบมันมีมากในแถบ มลายู ชื่อฝั่งของมันคือ jackfruit เรียกตามชาวโปตุเกส ที่ถามชาวมาเล ว่า
นี่ลูกอะไร
อ้อ ลูก แจ๊กก้า ชาวมาเลตอบ
อืมม..ผลแจ๊ค จดลงกระดาษ มุบ ๆ กันลืม
ที่ชาวอีสานเรียกขนุน ว่า บักมี่ เพี้ยนมาจากคำว่า บักหมี เหตุเพราะสมัยโบราณเห็นหมีควาย
ปีนเอาผลไม้ชนิดนี้มากิน จึงเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า บักหมี จนในที่สุดเป็น บักมี่ เหมือนในปัจจุบัน
ผลสุกของมันหอมไปไกล 500 เมตร ไม่มีใครได้กลิ่นแล้วบอกว่าเหม็น
บักมี่ นำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เป็นทั้งผัก และ ยารักษาโรค เปลือกนำมาต้มย้อมผ้าจีวร
น้ำยางของมัน นำมาผสมกับยางไม้อื่น เป็น ตั๋ง ใช้ ติดจักจั่น
ใช้ผสมกับน้ำมันยาง(ยางนา) ผสมกับ ขี้ C ใช้ ยาคุ ยาเฮือ ยากาละมัง มหาอุด
บักมี่ เป็นต้นไม้ เพศผู้ เพราะมัน มีหำ สัตว์ต่างๆ กินบักมี่เป็นอาหาร
นับตั้งแต่ ลิงค่าง บ่าง ชะนี หมี อีเกีย แมลงและคน ไปจนถึง ฤาษี
เมล็ดของมัน นำมาต้มกินเป็นของคบเคี้ยวได้ อีกต่างหาก นี่สิ Perfect

ภาพหำบักมี่
ส่วนประกอบอาหาร ( สูตรป้าหน่อย )
บักมี่ฝ้าย ( ผลกำลังหนุ่ม ไม่เอาผลหลอด )
ถั่วปี ( ถั่วฝักยาว )
หัวหอมแดง
งาคั่ว
ข้าวคั่ว
บักเผ็ด ( พริก )
น้ำปลาแดกต้ม
กระเทียม
เกลือสินเธาว์เมืองเกินร้อย
กบนา 2-3 ตัว หรือ ปลาค่อ ก็ได้
ผักบั่ว ผักหอมป้อม ผักอีเสิม (สะระแหน่ ) ผักหูเสือ แตงกวา ผักติ้ว
เสริม น้ำปลา กับ ผงนัว

ขอบคุณเจ้าของภาพครับ
ข้อแนะนำ ให้ใช้ บักมี่ฝ้าย ( สายพันธุ์อีสาน ) ไม่เอาบักมี่หนัง ( กาบมันหนา )
บักมี่น้ำเผิ่ง ก็ไม่เอา มันไม่แซบ กุ๊กที่ดีต้องรู้จักส่วนประกอบของอาหารและ
รู้จักคัดเอาสิ่งที่ดี เช่น บักมี่หลอด ให้ ปิดทิ้ง บักมี่แมง ก็ห้ามเอา
ส่วนหำบักมี่เอามากินแกล้มก็ได้ บักมี่บุ้ม ( ผลไม่สมประกอบ ) เป็นจิหลีกจอกหลอก ไม่ต้องเอา
บักมี่ญาคู ให้ขอท่านซะก่อน ห้ามลักเอา เดี๋ยวจะเป็น ผีเผด เผ้าวัด
วิธีทำ
เสาะหาบักมี่ โดยธรรมดามักจะให้สาวพรหมจรรย์ ขึ้นไปเก็บผล บักมี่ โดยเลือกเอาผลพอเหมาะ
ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป สำหรับคนขึ้น อย่าลืมใส่ กกน .เป็นเด็ดขาด
1.ผ่าบักมี่ ลอกกาบออก ฝานเป็นงีม แล้วนำไปต้มให้สุก ใส่ถั่วฝักยาวลงต้มด้วยกัน
2.ต้มกบ ในท่า ขัดสมาธ ถือว่าเป็น เทคนิคของกุ๊กอีสาน ใส่เกลือนิด ๆ

3. ฆ่างัว คั่วงาไว้ แล้วตำให้ละเอียด หอมกรุ่นกลิ่นงา

4. คั่วข้าวคั่ว แล้วตำให้ละเอียดพองาม อย่าให้ละเอียดมากนัก กุ๊กระดับตำนานอีสาน
จะควงสากเป็นประทักษิณ ( เวียนขวา ) 3 รอบก่อนลงมือตำข้าวคั่ว
5.คั่วพริก หัวหอมแดง กระเทียม แล้วนำไปตำให้ละเอียด กุ๊กระดับตำนาน เวลาตำจะทำหน้าเอียงซ้ายนิด ๆ
เพื่อหลีก การ ฟ้ง ของพริกและของที่กำลังโขลก ใช้มือซ้าย ป้องปากครกไว้หน่อยหนึ่ง
ป้องกัน หอมสะเดิด ออกจากครก
7.นำกบ ขัดสมาธ ซึ่งได้สมาธิ ฌาน 4 เหลือแต่ อภิญญา 6 จึงต้องตำใส่ครก รวมกัน
8. นำบักมี่ที่ต้มสุกแล้ว มาบิออกเป็น เปี่ยง แล้วตำ ใส่ถั่วฝักยาว ตำลงไปอีก

9.นำงามาโรย แล้ว คะลน ให้เข้าเนื้อ
10.โรยข้าวคั่วลงไป คะลน อีกที

11 ปรุงรสด้วย น้ำปลาแดกต้ม ผงนัว
12. ตักออกมาตกแต่งกับผักต่างๆ ในสำรับให้ดูน่าทาน

เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเมนูนี้
ในสมัยมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น บุกขึ้นฝั่งใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ
แม้แต่ในจังหวัดสกลนคร ยังมีทหารญี่ปุ่นตั้งค่ายในพื้นที่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร
มีกองทหารญี่ปุ่น จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งกำลังบำรุงไปยังจุดต่างๆ ทหารญี่ปุ่นตั้งค่าย ในทุ่งนาแห่งหนึ่ง
ใกล้กับตัวอำเภอ ในขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง อีสานหน้าแล้งนั้น แร้นแค้นอาหารการกิน

ภาพจาก http://paris.thaiembassy.org
ทหารญี่ปุ่นซึ่งคุ้นเคยกับมหาสมุทร และอาหารทะเล พอมาเจอทุ่งนาหน้าแล้งอีสาน
ประสบปัญหากับการกินอยู่โดยกันดาร หิวโซ ระบบส่งอาหารที่จะส่ง ซูชิ มาจากแดนไกล
ถูกตัดขาด กลยุทธทางทหารเพื่อให้อยู่รอด เมื่อประสบกับภาวะเช่นนี้ คือการผูกมิตรกับชาวถิ่น
เพื่อให้กองทหารมีอาหารการกินให้พอรอดพ้น
ชาวบ้านอีสานเห็นกองทหารญี่ปุ่นอดอยาก หิวไส้แห้ง จึงทำอาหาร ซุบบักมี่ ไปให้กิน
ชาวญี่ปุ่นได้ลิ้มรส ซุบบักมี่ ที่เป็นของแซบอีสาน ถึงกับน้ำตาร่วง
วางดาบคำนับ พาโตก คำนับชาวบ้านด้วยความเคารพ แซบหลาย
ทั้งอร่อย ทั้งซึ้งในน้ำใจ มิตรภาพไทยอีสานกับ ญี่ปุ่น จึงเบ่งบาน แม้ในยามสงคราม เพราะซุบบักมี่
ผู้พัน ทากาชิ นาบุโระ นำพากองทหารเข้าผูกมิตรกับชาวบ้าน โดยตั้งค่าย และสร้างหมู่บ้านขึ้น
ให้ชาวบ้านได้อยู่ เมื่อทหารย้ายออกไป หมู่บ้านนั้น จึงถูกเรียกว่า นาโบโหละ หรือ นาบุโระ
เรียกตามชื่อของผู้พัน ผู้มีน้ำใจงาม ทากาชิ นาบุโระ

ภาพจาก www.thailandoutdoor.com
...............................................................................................................
หมู่บ้านนาบุโระ ตั้งอยู่มาช้านานนับจากนั้น จนถึงสมัยที่มีการสร้าง ถนนหนทางต่างๆ
ซึ่งมีการสำรวจ และทำแผนที่ต่างๆ ในประเทศ ต้องมีการกำหนดจุดพิกัด หมู่บ้าน ตำบล
และอำเภอต่างในแผนที่ เจ้านายในสมัยนั้น ถามว่า หมู่บ้านนี้ ชื่ออะไร
ชาวบ้านตอบ บ้านนาบุโระ
อุวะ ถิ่นอีสานกันดารแบบนี้ จะมีชื่อหมู่บ้านเป็นญี่ปุ่นได้อย่างไร เสียหมา ชะมัด
ท่านจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า บ้านนาเมือง ปรากฏในแผนที่
แต่ชาวบ้านแถบนั้นยังเรียก หมู่บ้านนี้ว่า บ้านนาบุโระ จวบทุกวันนี้
...........................................................................................................

ภาพจาก www.bloggang.com
รสชาติของ ซุบบักมี่ คือ หอมงา หอมข้าวคั่ว มันจากถั่วฝักยากต้มบด และนัวแซบจากบักมี่ต้ม
รวมๆ กับคือ รสชาติ อูมามิ ผสมกับกินผัก รสฝาด รสเปรี้ยว เข้ากันได้ดี อีสานแท้ๆ แม้ไม่ทาอะไร
อย่างไรก็ตาม อาหารเมนูนี้ ชาวลานนาก็ทำกินกันเหมือนกัน คาดว่าคงได้รับการถ่ายทอดจากอีสาน
บักมี่ หรือ ขนุน ตามความเชื่อของไทย เป็นพืชมงคล ปลูกไว้ประจำบ้านช่องห้องหับเป็นการดี
นั่นเพราะ เราจะได้มีโอกาสลิ้มลอง ซุบบักมี่ อาหารวิเศษของเทพอีซาเนีย
ลองแล้วจะติดใจ เหมือน ผู้พัน ทากาชิ นาบุโระ คำนับ พาโตก

มีของดีหลายๆ อย่างของไทย ที่ต่างชาติแอบชื่นชม แต่เราหลงลืมสร้างจริต สูงต่ำ 11 ไฮโล
การพัฒนาประเทศ ควรเริ่มที่การเคารพภูมิปัญญาบรรพบุรุษ แล้วคิดต่อยอดจุดแข็งให้ก้าวไกล
มิใช่ไล่ล่าพืชพันธุ์ท้องถิ่น ปลูกฝิ่นเศรษฐกิจ วูบวาบเพียงครู่ อดสูความอุดมที่ยั่งยืน เอวังขะน้อย
ขอบคุณภาพจาก
www.bloggang.com/mainblog.php?id=kukkai&month=07-06-2008&group=17&gblog=9
www.bloggang.com/viewblog.php?id=chim&date=20-05-2011&group=2&gblog=465
www.kasetporpeang.com
http://ponkobkob.blogspot.com
|