โพสต์โดย
109) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน
ยังก์_LAW_เก้อ
คห.ที่0) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้ ]
ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์
ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ
เพิ่งเป็นสมาชิก ขอส่งเรื่องมาให้อ่านนำกัน
อุ่นไอรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน
ขอขอบพระคุณแม่ที่เลี้ยงดูมาครับ
ฉากที่ 1
ณ.โรงแรมเล็กกลางกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2551
ชายหนุ่มกำลังแช่น้ำอุ่นอย่างสบายอารมณ์ หลังจากนั่งแท๊กซี่ฝ่ามรสุมรถยนต์ติดบนถนนอย่างมโหฬาร เนื่องจากฝนตกตลอดทั้งฝน เขากำลังเทครีมอาบน้ำลงฝ่ามือ แล้วชะโลมลุบไล้ไปทั่วสรรพางค์ แต่แล้วเขาก็สะดุดอยู่ที่ต้นขาด้านขวาของตนเอง
รอยแผลจางๆด้วยกาลเวลายังปรากฏ มองเห็นได้แต่ไม่ชัดเจนรูปลักษณ์ของบาดแผลลักษณะกลมรี กว้างประมาณ 4 นิ้ว ยาวประมาณ 5 นิ้ว
ในบางขณะสิ่งที่อยู่ใกล้เราก็ลืมเลือนที่จะสังเกตหรืออาจต้องการปล่อยให้ผ่านไปทิ้งมันไว้ในรอยอดีต
หลังจากแช่น้ำอุ่นเสร็จแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากอ่างน้ำพร้อมแต่งกายให้เหมาะสมกับการพักผ่อนและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน สักครู่หนังตาของเขาเริ่มปิดทีละนิด ทีละนิดอารมณ์ของชายหนุ่มขณะนั้น ถลำลึกเข้าสู่ห้วงอดีตวัยเยาว์
ภาพในวัยเด็กของตนเอง ชัดขึ้นทีละน้อย ทีละนิด และแล้ว การนิทราก็มาเยือน
ฉากที่ 2
ในปลายเดือนตุลาคมต่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีเหลืองทองเต็มท้องทุ่งนา นั่นคือสัญญาณแห่งความอุดมสมบูรณ์ของมาตุภูมิ รวงข้าวที่หนักและเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวที่อวบอิ่มต่างโน้มลงสู่ดิน
แม้แต่ต้นข้าวยังรู้จักกับความรักในพระคุณแผ่นดินแม่
แต่ทำไมความขัดแย้งในสังคมไทยยังปรากฏให้เห็นเสมอมา
มีแต่ความเงียบ ไม่มีคำตอบในสายลม
ตะวันรอนอ่อนอัสดง ลมหนาวยามเย็นเริ่มแรงเป็นระยะๆมาได้สัก 2-3 วันแล้วและ ไม่มีท่าที่จะหยุดเลย ความมืดค่อยๆแผ่ครอบคลุม ร่างตะคุมๆของหญิงสาวชาวบ้านวัยกลางคนปรากฏให้เห็น ในมือของนางถือไม้ฟืน 4-5 ชิ้น เท่าที่จะหาได้ในระแวกนั้น บางชิ้นที่เห็นคือไม้ไผ่และกิ่งไม้ขนาดย่อมๆที่ผ่านการทำร้านให้เจ้าบวบได้อาศัย ผลิดอก ออกผล ให้เจ้าของ ร่องรอยจากเถาวัลย์เจ้าบวบพันรุงรัง และ ระโยงระยางกันไปหมด แต่จุดเริ่มแรกของเส้นเถาวัลย์ที่เกี่ยวและพันไม้ฟืนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน แต่อย่างน้อยที่สุด ชีวิตเรารู้จุดเริ่มต้นมิใช่หรือ
บางสิ่งในขณะหนึ่งอาจไร้ประโยชน์
แต่อีกขณะหนึ่งกลับมีประโยชน์ที่ใหญ่ยิ่ง
ขึ้นอยู่กับเวลา โอกาส สถานะการณ์แห่งความจำเป็น
และแล้วเศษไม้ถูกกองสุมรวมเป็นหนึ่ง จากหลาย กลายเป็นหนึ่ง บนเศษใบไม้แห้งและไม้ลำปอ
แสงจากไม้ขีดไฟ ได้ทำลายความมืดลง ไฟค่อยๆลุกไหม้ทีละน้อยทีละน้อยผ่านใบไม้แห้งและไม้ลำปอสู่ไม้ฟืน ความร้อนจากกองไฟได้ไล่ความหนาวเหน็บ ซึ่งหนาวมากในปีนั้นในความรู้สึกของเธอ อันวิธีการไล่ล่าความหนาว ให้ความอบอุ่นง่ายสุด ที่พบเห็นได้ในชนบทส่วนใหญ่ของเรา
ไฟเริ่มลุกไหม้ไม้ฟืน เป็นลำดับ เป็นลำดับ
ควันไฟสีดำค่อยๆกลายเป็นสีเทาจาง
จากไม้สีเหลือง/ดำ/แดง/เทา กลายสีแดงเพลิง ความงดงามได้ถูกเผยโฉม ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งพอประมาณ แววตาสดใส มีความหวัง ริมฝีปากรับกับใบหน้า เสื้อผ้าสีฟ้าจางๆ ขับให้ผิวพรรณเด่นชัด งดงามที่สุด อย่างน้อยก็ในสายตาของเด็กน้อยคนหนึ่ง คนนั้น นั่นเอง (แต่ในจิตใจของเธอจะเป็นเช่นใด.....ใคร่จะรู้ได้หนอ)
มือที่เรียวค่อยขยับไม้ฟืนเพื่อให้ไฟได้ดื่มและกินเนื้อไม้
ฉากที่ 3
ณ.โรงยิมสนามกีฬาของวิทยาลัยครูประจำจังหวัด ราวกลางเดือนตุลาคม 2524 มองจากด้านนอกโรงยิม จะเห็นขาของเหล่าเด็กหนุ่มสาวหลายร้อยคนยื่นและห้อยออกมา ใบหน้าของเด็กเหล่านั้นจะหันออกมองด้านนอกโรงยิมแทนที่จะมองเข้าตามที่ควรจะเป็น เนื่องจากการสอบครั้งนั้นมีนักเรียนเข้าสอบเป็นจำนวนมาก ห้องสอบไม่พอจึงต้องใช้สแตนด์เชียร์ของโรงยิมเป็นเก้าอี้นั่งสอบแทน
เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหมือนเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆที่เข้าทดสอบ
ชีวิตจริง โอกาสดีอาจผ่านเข้าเพียงครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวจริงๆ
แต่เพียงครั้งเดียว ก็สุดจะยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด
ในแววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยความหวังไว้ได้
เพียงเขาหรือเธอจะไขว่คว้าโอกาสนั้นได้หรือไม่
หลายสิ่งของชีวิต
เราคือผู้จุดความพยายามในปฐมบท
แต่หลายครั้ง ปัจฉิมกาล ผลที่สุด ฟ้าเป็นผู้กำหนด
3 วันที่จะเป็นวันแห่งการผลิกผันชีวิตของเด็กหนุ่มสาวอีกหลายคน หรืออีกหลายชีวิตที่รออยู่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองวันได้ผ่านไปแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกชิงทุนเข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศ ณ.เมืองหลวงกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทราฯ
ในบริบทของเด็กหนุ่ม เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่ากรุงเทพมหานคร ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจะเป็นเช่นใด
แม้แต่ตัวจังหวัดที่เขาเกิด เด็กหนุ่มก็เคยไปเพียงสองครั้งเท่านั้น เมื่อเป็นตัวแทนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไปแข่งขันตอบปัญหาระดับจังหวัด
บางเศษส่วนของเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเย็นตาโฟ ที่คุณครูที่สอนประวัติศาสตร์พาเป็นไปนั่งรับประทาน รสชาติเป็นอย่างไร มันเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองและลิ้มรสของเส้นใหญ่ ผสมน้ำอะไรหนอ สีออกแดงก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอร่อยเข้าท่าดีเหมือนกัน
แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มแปลกใจตนเองเหมือนกันว่า ทำไมเย็นตาโฟ มันถึงร้อน มิได้เย็นสมชื่อเลยเน๊อะ ปริศนายังอยู่ในความทรงจำนั้นตลอดมา
ส่วนมหาวิทยาลัยจะเหมือนโรงเรียนที่เขาเคยเรียนหรือเปล่าหนอ ครูสอนกันอย่างไร วิชาที่สอนเป็นอย่างไรยาก ง่าย หรือไม่ จะมีสนามฟุตบอลหรือเปล่าหนอ
ที่โรงเรียนของเขา คราใดที่ต้องเดินผ่านสนามหญ้า เจ้าดอกหญ้าเจ้าชู้จะติดรองเท้าและถุงเท้าสีน้ำตาลคู่เก่าๆ มิตรที่ไม่ยอมห่างกัน คู่เดียวของเขาที่หัวนิ้วโป้งและนิ้วก้อยได้โผล่ออกมายลโลกภายนอกเสมอๆ
กว่าจะเก็บดอกหญ้าเจ้าชู้ออกให้หมดก็กินเวลาไม่น้อยเลย
ยากนักที่เด็กหนุ่มจะจินตนาการเพราะสิ่งนั้นเกินกว่าประสบการณ์ของเขาที่ผ่านพบ ซึ่งในแต่ละปีในแต่วันที่ผ่านเข้าในชีวิตเขา จะมีก็เพียงท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง ทุ่งกว้าง
ที่แสนไกล จนสุดสายตา กลิ่นโคลน และไอหอมแห่งแผ่นดิน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีแล้ว ตั้งแต่เขาจำความได้ ก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา
สองวันที่ผ่านมาเป็นการทดสอบความรู้ทั่วไปและวิชาความถนัดทางการเรียน เด็กหนุ่มไม่สามารถคาดหมายว่าตนเองทำข้อสอบได้ดีเพียงใด แต่เขาก็พยายามทำให้ดีที่สุด ใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สอบวิชาเรียงความ เวลาประมาณ 3 โมงเช้า เฉกเช่นการสอบทุกครั้ง เด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะพยายามทุกให้ดีที่สุด
เสียงประกาศของครูดังขึ้นว่าให้ลงมือทำข้อสอบได้ เด็กหนุ่มหยิบข้อสอบที่วางอยู่ตรงหน้าพลิกขึ้นมาอ่านด้วยใจระทึก และตะลึงไปชั่วขณะเนื่องจากไม่คาดคิดมาก่อนว่าข้อสอบจะเป็นเช่นนี้ คำถามสั้นๆของโจทย์ ถูกพิมพ์และโรเนียวด้วยกระดาษสีขุ่นๆ คำถามที่ต้องการคำตอบมีว่า........
ฉากที่ 4
ชั่วประเดี๋ยวไฟก็ลุกโชน ความร้อนระอุทำให้เธอต้องขยับตัวเล็กน้อย สีแดงเพลิงอยู่ตรงหน้า มือที่เรียวค่อยๆเกลี่ยไฟให้กระจายออกมาริมกองไฟ ข้าวเหนียวเปล่าสีขาวนวลขนาดย่อมๆที่ถูกปั้นและที่เสียบไว้กับด้ามไม้ไผ่ที่เหลากลมเกลี้ยงอย่างลงตัว ถูกปิ้งไว้เหนือถ่านไฟที่แดงโชน เวลาผ่านไปชั่วครู สีขาวนวลข้าวเหนียวค่อยๆเริ่มเป็นสีเหลือง กลิ่นหอมอ่อนๆเริ่มโชยมากระทบจมูกของเธอและเด็กน้อยที่นั่งรอบกองไฟ นับรวมได้ 4 คน ส่วนน้องคนเล็กสุด...นอนในเปลผ้าขาวม้าใกล้ๆ
ข้าวเหนียวเปล่ากลายเป็นข้าวจี่ และถูกแบ่งปันให้เด็กทุกๆคน
ความกรอบของข้าวจี่ผสมรสปละแล่ม ปละแล่ม รสเค็ม จากเกลือ ผสมได้ลงตัวเหลือเกิน ทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเผลอส่งเสียงร้องออกมาจับใจความได้ว่า
แซบอีหลีเด้อ อีแหม่ แม้จะฟังดูอาจจะไม่ค่อยชัดเท่าใดนักเนื่องจากความเป็นเด็กน้อยอายุราว 3 ปี แต่สำเนียงเต็มไปด้วยความปีติ
มันเป็นออเดริฟ ชั้นเยี่ยมที่เธอหามาได้จากก้นครัวเพื่อลูกน้อยกลอยใจ ก่อนจะถึงอาหารตอนเย็น
รอยยิ้มเล็กของเธอเผยให้เห็น ณ.บัดนั้น
ความสุขของแม่ไม่มีสิ่งไหนเทียบเทียมได้ กับเมื่อได้เห็นลูกๆมีความสุข
ความมืดเริ่มขยับและคืบคลานเข้ามา แมงกลางคืนหลายชนิดเริ่มออกหากิน ส่วนเจ้ายุ่งก็บินว่อนไปว่อนมา รอบๆและเหนือศรีษะของเด็กน้อยและตัวเธอ
เวลาผ่านค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ ความหนาวเหน็บกลับเพิ่มทวีคูณ
ลมกรรโชกเป็นระยะๆ เสียงดังตุ๊บ ตุ๊บ ดังขึ้นประมาณ 3-4 ครั้ง นั่นคือเสียง
ลูกมะพร้าวแห้ง ต้นข้างๆบ้าน ถูกปลิดจากทลายมะพร้าวล่วงลงระริ่วสู่พื้นด้วยแรงลม
เด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่าเจ้าตัวเล็กที่นั่งขัดสมาธิใกล้กองไฟนั้น ได้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉี่จะราดอยู่แล้วเนื่องจากอากาศหนาวนี่คือความรู้สึกของเด็กนั้น ทำให้เด็กชายที่ตัวโตกว่ารีบลุกผลุกผลันขึ้น โดยไม่ได้ทันระวังตัว ขาของเขาได้เกี่ยวเถาวัลย์ที่พันกับไม้ฟืนที่ไฟลุกโชนแดง
ทันใดนั้นเอง
เสียงกรีดร้องจับใจความได้ว่า
ข่อยฮ้อน ข่อยฮ้อน หลายเด้อ อีแหม่ ซอยข่อยแหน่ แหล่งกำเนิดเสียงมาจากเด็กน้อยเจ้าตัวเล็กนั่นเอง เสียงนั้นได้ทำลายบรรยายกาศของความเงียบลงโดยฉับพลัน
มีอีหยังเกิดขึ้น เธอตะโกนร้อง ความโกลาหลน้อยๆก็เกิดขึ้นรอบกองไฟ
เธอรีบกวาดสายตาไปรอบกองไฟ
และแล้วเธอยิ่งตกใจเมื่อมองเห็น ท่อนฟืนขนาดย่อมๆวางอยู่บนต้นขาขาวของลูกชายตัวเล็ก มือของเธอรีบฉวยไม้ฟืนดุ้นออกจากขาของเด็กน้อยนั่น เท่าที่สติขณะนั้นจะพึงสั่งการให้ทำได้
บรรยากาศแห่งความวิตกได้แผ่คลุมไปทั่วรอบๆบริเวณนั้น
เสียงเด็กน้อยเริ่มร้องไห้ เสียง ดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้น ไม่มีท่าทีจะหยุด
แต่...
แววตาของผู้เป็นแม่ ไม่อาจซ่อนเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะมากกว่าที่ลูกของเธอได้รับ......
บางสิ่งในชีวิตเราสามารถเลือกได้
ในบางขณะและบางสิ่งเราเลือกที่จะลืม
แต่สิ่งนั้น กลับชัดเจนในความทรงจำของเรา
ไม่ยอมห่างไกลเรา
เหมือนเงาที่ไม่ยอมห่างกายตน
ใครจะรู้ดีเท่าเด็กน้อยคงนั้น.......
ฉากที่ 5
เวลาค่อยๆคืบคลานไปข้างหน้าอย่างช้า ช้า
เมฆทะมึนตั้งเค้า ส่งสัญญาณว่าฝนจะมาแล้ว สีเทาของมัน บดบังแสงทุกลำแสงแห่งท้องนภา
เปลี้ยงๆคือเสียงฟ้าร้อง แปล้บๆคือแสงฟ้าผ่า
เธอรีบลุกขึ้นพร้อมกับคว้าเอาเสียมที่วางอยู่ไว้ๆ
ท่ามกลางความมืด เสียงขุดดินเริ่มดังขึ้น ขณะนั้นแสงจากสายฟ้าส่องให้เห็นกอขมิ้นที่ปลูกไว้ใกล้ๆรั้ว
ชั่วอึดใจเดียว หัวขมิ้น 2-3 หัว ถูกขุดมา เธอรีบถือหัวขมิ้นวิ่งเข้าครัวไป แล้วรีบล้างน้ำให้สะอาด
หลังจากนั้น เสียงตะปูตอกแผ่นสังกะสีอย่างรวดเร็ว ประมาณ 5-6 ครั้ง สังกะสีก็ปรากฏรูขึ้น
หัวขมิ้นถูกฝนเข้ากับรูสังกะสี ปรากฏให้เห็นฝอยขมิ้นจำนวนพอประมาณที่ถ้วยซึ่งวางที่ด้านหลังแผ่นสังกะสี
น้ำถูกเทผสมกับฝอยขมิ้นในถ้วยพอหมาดๆ แล้วเธอถ้วยนั้นพร้อมนำเศษผ้าขาวมาชุบน้ำขมิ้นวิ่งไปหาเด็กน้อย
พี่ๆต่างต้องรอคอยแม่มาด้วยใจระทึก เสียงน้องยังร้องและก้องอยู่ ไม่มีวี่แววจะหยุด เนื่องจากความเจ็บแสบปวดร้อนทรมานยิ่ง
เมื่อแม่มาถึง อุ้มเด็กน้อยขึ้นหนุนบนตัก
เศษผ้าขาวผสมขมิ้นถูกชุบไปทั่วบริเวณต้นขาขวาของเด็กน้อย อย่างรวดเร็ว
แม้เวลาสามารถสิ่งรักษาทุกสิ่ง
แต่ขณะนั้น
1 นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ
5 นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ
10 นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ ทำไมเวลาวันนี้ถึงช้าจัง
เวลาในความรู้สึกของเธอ เสมือนได้หยุดนิ่งเสียแล้ว ณ.บัดดลตั้งแต่วินาทีแรกที่ ได้ยินลูกร้องว่า ฮ้อน อีแหม่ มันคือฮ้อนแท้เด้อ
มือที่หยาบกระด้างจากการทำงานหนักของเธอค่อยๆลูบไปที่หัว
ลูกน้อยอย่างแผ่วเบา
เสียงกระซิบในใจเธอก็คงเหมือนแม่ทุกคนในโลกนี้ ว่า
ขอให้ฟ้าดินนำความเจ็บปวดทั้งมวล..
จากลูกน้อยของข้า..โบยบินมาสู่ร่างกายของข้า...
แทนลูกข้า...ด้วยเทอญ
ความอ่อนล้าจากการร้องไห้ประกอบกับความเย็นจากขมิ้น เสียงร้องของเจ้าตัวเล็กค่อยๆลดลง.....จนหายไป
เธอไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่วิ่งออกไปขุดหัวขมิ้น จนถึงวินาทีนี้
และแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หลับผล็อยไป
ความรักส่งผ่านจากมือแม่
สู่....ลูกน้อย
นี่คงจะใช่
อุ่นไอรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน
คือความรู้สึกของเด็กน้อยที่รับรู้ได้ แม้ขณะหลับในห้วงนิทรา
สำหรับแม่ทุกคนที่ให้ความอบอุ่นแก่ลูกๆ ลูกทุกคนขอขอบขอบพระคุณ..แม่ครับ
ยังก์_law_เก้อ
เรียบเรียง
ครั้งแรก 25 กรกฏาคม 2551
ปรับปรุง 10 สิงหาคม 2553
สาธุการบทความนี้ : 211 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 209 ครั้ง
14 ม.ค. 2554 เวลา 14:39:50