ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
ว่าโตกะคัก เพิ่นแห่งกะด้อ ว่าโตนั่งจ้อก้อ เขานั่นแฮ่งนั่งตอ แปลว่า คิดว่าตนเก่ง ผู้อื่นกลับสุดยอด ตนได้นั่งพื้น ผู้อื่นกลับได้นั่งตอ หมายถึง เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่พึงหยิ่งโอ้อวดว่าตนเก่งกว่าผู้อื่น


  ค้นหาสาธุการ กระดานสนทนาชมรมอีสานจุฬาฯ  

หน้า: 1  
  โพสต์โดย   866) น้ำท่วมโลกจริงหรือ  
  kat    คห.ที่0) น้ำท่วมโลกจริงหรือ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 


Future Map Of The World
น้ำท่วมโลกจริงหรือ

เรื่องแผนที่โลกใหม่นี้....
ควรหาศึกษาไว้บ้างนะครับ....
เป็นกระแสทั่วโลกเลยครับ...
กระแสใหญ่ๆมี 2 กระแสคือ
1. น้ำท่วมโลก
2. ขั่วแม่เหล็กโลกเปลี่ยน (วันหลังจะเอามาลง)

ไม่เชื่อลอง เซิร์ทคำว่า
Future Map Of The World
ในกูเกิ้ลมีการค้นหากว่า ร้อยล้านกว่าครั้ง 142,000,000


โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ  
เกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา  
ถูกคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับพายุไซโคลนกระหน่ำ  
ทั้งเกาะจะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก  

พิลิปปินส์
ถูกพายุไซโคลนกระแทก  
ก่อนเกิดเหตุจะแลเห็นน้ำทะเลเป็นสีดำหม่นหมอง  
บรรยากาศหดหู่ เวิ้งว้าง  
ไม่นานนักจะเกิดพายุไซโคลนก่อตัวขึ้น  
พายุไซโคลนที่รุนแรง ข้างล่างดูด ข้างบนตี กระแทก  
จนกระทั่งเกาะทุกเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล  

ไอแลนด์เหนือและใต้
อากาศหนาวจัด  
อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน  
ในขนะเดียวกันจะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ  
ในขณะที่หนาวจัดนั่นเอง  

ฮ่องกง
ถูกทะเลคลั่ง น้ำทะเลสูง  
ชินจุงจะหายถาวร  
เกาะสนามบินแห่งใหม่  
จะถูกคลื่นตีแตกหายไปในทะเล  
ในบริเวณแถบนั้นจะเหลือแต่เพียงเกาะเกาลูน  
และประเทศจีนบางส่วนเท่านั้น  


แผนที่โลกใหม่ - น้ำท่วมโลกจริงหรือ

ผู้ที่ทำแผนที่ขึ้นมาคือ
นาย Gordon-Michael Scallion
มี Web Site ชื่อว่า earthchanges.com  
นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist)
มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary)  
คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก
(ตามที่ Web site ของแกกล่าวอ้าง)  
จบการศึกษาท่างด้านอิเลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน)  
ในปี 1979 เคยเกือบตายมาแล้ว  
แต่กลับฝื้นขึ้นมาได้ในที่ หลังจากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้อนาคต  

...โดยบางสิ่งที่เขาทำนายถูกต้องก็ได้แก่  
เหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใน ลอสแองเจอริส แคลิฟอร์เนีย  
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2535, แผ่นดินไหวใน แลนเดอร์ส (Landers)  
และ บิกเบียร์ (Big bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม 2537  
และแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 เป็นต้น  


..แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World  
ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521)  
นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก  
โดยก็มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก  
หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง  
ทำให้เข้าสามารถสร้าง แผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี
พ.ศ.2525  โดยนาย Grodon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555)  
โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด  
อันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน  
โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่ดังนี้  

...เอเชีย -- เนื่องจากมีวงแหวนไฟ
(Ring of Fire)ผ่าน Asia  
(แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก(Plate boundary)
โดยส่วนแนวเขตนื้เรียกว่า riff )  
ทำให้เป็นเขตเกิดแผ่นดินไหวสูง
ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเขตนี้  

โดยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ ฟิลิปปิน ญี่ปุ่น  
ไปจนถึงทะเลแบริ่ง(เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับรัสเชีย)  
รวมทั้งหมู่เกาะคูรินและเกาะแซคาลิน
(เป็นของรัสเชีย อยู่ใกล้กับ ฮอกไกโด ญี่ปุ่น)  
เนื่องมาจากแผ่นแปซิฟิกเคลื่อน(Pacific Plate shift)ไป 9 องศา  

เกาะญี่ปุ่นจะจมเหลือไวเพียงแค่ 2-3 เกาะเล็กๆเท่านั้น  

ไต้หวัน และเกาหลี
ส่วนใหญ่จะหายไปในทะเล  

และด้วยเหตุที่แผ่นโลกเคลื่อนตัวนี้
แนวฝั่งของจีนจะเลือนร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์  

อินโดนีเซีย
จะถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะมีเกาะใหม่เกิดขึ้นมาด้วยก็ตาม  

ฟิลิปปินส์
จะถูกกลืนหายลงไปในทะเล  
เอเซียจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ และจะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นด้วย  


...สิ่งที่ความพิจารณาจากคำทำนายนี้ก็คือ  

เอเชียอยู่บน 3 แผ่นทวีปคือ  

1.แผ่นฟิลิปปิน  

2.แผ่นอินโด-ออสเตรเลียน  

3.แผ่นยูเรเซียน(ไทย - จีน อยู่บนแผ่นนี้)  

บริเวณที่ไทยและจีนอยู่เป็นเขตแผ่นดินยกตัว
ดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจริง  
น่าจะเป็นไปในทางที่ทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นมากกว่า  

โดยที่แผ่นแปซิฟิกที่ว่าเคลื่อนไป 9 องศานั้น
ทิศทางการเคลื่อนที่ตามปกติ  
ก็จะเคลื่อนที่ในทิศทาง มุดตัวลงใต้แผ่นทวีป ยูเรเซียน  

บริเวณ ประเทศญี่ปุ่นและมุดตัวลงใต้แผ่นฟิลิปปิน
และ แผ่นอินโด-ออสเตรเลียนมุดตัวใต้แผ่นยูเรเซียน  

บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งการมุดตัวดังกล่าวจะทำให้ทวีปยกตัวขึ้น  

ข้อพิสูจน์นี้ก็ได้แก่ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย และ อีสานของไทย ซึ่งถูกยกตัวสูงขึ้นจากเมื่อ 60-20 ล้านปีก่อน  

สำหรับในส่วนของประเทศอื่นๆ
ขออนุญาตไม่วิจารณ์นะครับ
แต่จะเอามาให้ดูและคิดกันเอาเอง  

ออสเตรเลีย  
-- จะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็น  
จากน้ำท่วนชายฝั่นทั้งหมด ยกเว้นจะเกิดแผ่นดินบริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมเข้ากับเกาะทาสเมเนีย  
และเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นนอกชายฝั่ง  

นิวซีแลนด์  
-- นิวซีแลนด์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น
บางส่วนจะเชื่อมเข้ากับแผ่นดินเก่าออสเตรเลีย  
ทั้งสองแผ่นดินจะเชื่อมต่อเป็นแผ่นดินเดียวกันด้วยคอคอด  
ทั้งนี้เกิดจากการยกตัวขึ้นของแผ่นดินและการระเบิดของภูเขาไฟ  
ซึ่งจะทำให้นิวซีแลนด์เดิมกลายเป็นตินแดนห่างไกลจากทะเล  

แอฟริกา  
-- จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แม่น้ำไนส์จะกว้างขวางกว่าเก่ามาก  
ด้วยทิศทางของแม่น้ำไนส์เส้นทางใหม่จะวิ่งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยม
ตรงปากแม่น้ำไนส์ ผ่านพื้นที่ประเทศซูดาน  
เส้นทางสายน้ำใหม่ของแอฟริกาจะเหมือนตัว "Y" วางอยู่บนทวีป  
โดยมีฐานตั้งในแนวตั้งอยู่บนเมืองเคปทาวน์
(ต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เคปทาวน์)  

ทะเลแดงจะขยายกว้างออกทำให้ ไคโรจมหายไปในทะเล  

เกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจะจมลงในทะเล
เกิดแผ่นดินใหม่ในทะเลอาหรับ  

บริเวณตอนใต้ของโอมาน และจะมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณ
ทางเหนือและตะวันตกของเคปทาวน์  

ทะเลสาบวิคทอเรีย
- จะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาใหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย  

อเมริกาใต้  
-- เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นอย่างมาก รวมถึงแผ่นดินไหว  
ภูเขาไฟระเบิด ผลกระทบครอบคุมไปทั่ว  

เวนิซูเอลา โคลัมเบีย และบราซิล  
- จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ลุ่มน้ำอะเมซอนจะกลายเป็นทะเล  
ใน(ทะเลปิดอยู่ภายในแผ่นดินเหมือนทะเลสาปสงขลา)  

เปรู และ โบลิเวีย  
- จะถูกน้ำท่วม  

ซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และ บางส่วนของ อุรุกรัย  
- จะจมหายไปในทะเล เหมือนกับ หมู่เกาะฟอล์คแลนด์  
และเกิดทะเลปิดอีกแห่งที่ตอนกลางของประเทศเอาร์เจจนตินา  
เกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ขึ้นทางตะวันตกของทวีปแถวชิลีรวมทั้งทะเลปิด
อีกแห่งด้วย  

อเมริกาเหนือ แคนาดา  อ่าวฮัทสัน
-- จะขยายตัวออกเป็นทะเลปิดภายในแผ่นดิน  บางส่วนของตะวันตกเฉียงเหนือจะถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน 200 ไมล์  

พื้นที่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา  
-- จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่งการเปลี่ยนแปลง
ในตอนต้น  ผู้อพยพจะมาจาก บริติสโคลัมเบีย และ อะลาสกา  

สหรัฐอเมริกา  
-- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้จะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อน  
โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือเกิดการโก่งตัว
สร้างหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้น 150 เกาะ  

ในที่สุด จากขบวนการเพลทเทคโทนิก
(tectonic plate-ขบวนการที่ทำให้แผ่นเปลือกโลก
แผ่นหนึ่งมุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง)  
ซึ่งทำให้เกิกแนวโก่งตัวและรอยแยกซึ่งก่อให้เกิดอุทกภัย  

ทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิงและ โคโลราโด ทะเลสาบ เกรทเลค(ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรียม,ฮุรอน,มิชิแกน,อิรีและออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์
-- จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ไหลลงสู่อ่าวแมกซิโก  


แมกซิโก  
-- แนวชายฝั่งของแมกซิโกจะถูกน้ำท่วมเข้ามาถึงในแผ่นดิน  

คาปสมุทรแคลิฟอร์เนีย  
-- จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ ส่วนใหญ่ของยูคาทาน  

พีนิซูลา  
-- จะหายไปในทะเล ภูเขาไฟระเบิด  
และแผ่นดินไหวจะเกิดต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ  

อเมริกากลางและคาริเบียน  
-- อเมริกากลางจะเกิดอุทกภัย และมีจำนวนเกาะลดน้อยลง  
ที่สูงกว่า 500 เมตรเท่านั้นที่ปลอดภัย  
จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่ เอลซัลวาดอร์  

ส่วนคลองปานามา
--จะกลายเป็นคลองตัน  

ยุโรป  
-- ตอนเหนือของยุโรปส่วนใหญ่จะจมลงสู่ทะเลซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก(ด้วย tectonic plate)  

นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ค  
-- จะถูกน้ำท่วม ทิ้งไว้เพียง เกาะเล็กๆนับร้อยเกาะ  

ส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร จากสกอต์แลนด์ถึงช่องแคบ
-- จมหายไปในทะเล เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็กๆขนาดประมาณหมู่เกาะเซตแลนด์(อยู่ทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ)  

ลอนดอนและเบอร์มิงแฮม  
-- จะเหลือกลายเป็นเกาะ  

อิรีแลนด์  
-- จะจมลงทะเลยเว้นที่สูงเท่านั้น  

รัสเซีย  
-- จะแยกออกจากยุโรป โดยเกิดเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่โดยรวมเอาทะเลแคสเบียน ทะเลดำ ทะเลาคารา ทะเลบอสติก เข้าด้วยกัน  

ทะเลใหม่  
-- ซึ่งแบ่งถูกแบ่งโดยเทือกเข้าอูราล จะยืดยาวไปจดแม่น้ำเยนิเซ
ในไซบีเรีย  ทำให้มีอุณหภูมิอบอุ่นขึ้นและเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์
ให้กับยุโรป  

ทะเลดำ  
-- จะรวมกับทะเลตอนเหนือทิ่งบัลแกเรียและโรมาเนียไว้ใต้น้ำ  

ดินแดนตั้งแต่โปแลนด์จนถึงตุรกี
-- จะได้ความไม่สงบครั้งยิ่งใหญ่  สงครามศาสนาจะอุบัติขึ้น
และจบลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ  

ตุรกีด้านตะวันตก  
-- จะจมอยู่ในน้ำเกิดแนวชายฝั่งใหม่จาก อีสตันบูลถึงไซปรัส  

ส่วนใหญ่ของยุโรปกลาง  
--จะถูกน้ำท่วม  

แผ่นดินส่วนใหญ่ ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลบอลติก
-- จะสูญหาย  

ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล
ก่อให้เกิดเกาะเล็กๆขึ้น  

ฝรั่งเศส  
-- ส่วนใหญ่จมน้ำ เหลือไว้แค่เกาะในบริเวณกรุงปารีส  

ทางน้ำใหม่  
-- จะแยกสวิสเซอร์แลนด์ออกจากฝรั่งเศส  

อิตาลี  
-- จะจมน้ำ  

เวนิส,เนเปิล,โรม และ เจนัว  
-- จะถูกกลืนลงทะเล  

แต่นครรัฐวาติกัน  
-- จะปลอดภัยเนื่องจากย้ายไปอยู่ที่สูงกว่า  

แผ่นดินที่สูงๆ  
-- จะคงเหลือเป็นเกาะ แผ่นดินใหม่จะเกิดขึ้นทอดยาวจากเกาะซิซิลีจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย

เหตุการณ์ในไทย
อ่านถึงตรงนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้มากๆ

สถานที่แห่งแรกในประเทศไทย ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก  
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน  
ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว  
เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว  
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  
ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง  
ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน  
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ  
ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง  
จนสุดที่จะเยียวยาได้ โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่  
ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว  
แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว  
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก  
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น  

*********  
..ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง  
น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่  
พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ  
ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม.  
พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา  
ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา  
ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่  
ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา  
จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ  
มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คน  

...ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก  
ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา  
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ  
ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา  
หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน  
เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ  

*********  
......ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร  
ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น  
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง  
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง  
อย่างเหลือที่จะคณานับ  

......เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา  
เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง  
ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่  
หลังจากนั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทย  
จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง  
เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ  
ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า  
ไม่นานนักระเบิดลูกที่สอง และลูกที่สามก็ตามมา  
ลูกที่สี่ จะรุนแรงอย่างถึงที่สุด  
ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป  

*********  
...ณ บ้านกุดฉิม อำเภอหนองเรือ จัดหวัดขอนแก่น  
จะเกิดภูเขาไฟแห่งที่สองระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คน  
เกิดแผ่นดินไหว และมีลาวาร้อนจากภูเขาไฟ  
ไหลเคลื่อนตัวทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า  
เกิดขึ้นที่บ้านโพธิ์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย  
มีผู้เสียชีวิตร่วมพันคน  

*********  
..เกิดภูเขาไฟระเบิดในจังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างกระทันหัน  
จนยากที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะตั้งตัวทัน  
และจะเกิดปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาด  
มีจำนวนเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชาย  

จังหวัดตรัง เกาะทุกเกาะจะจมหายไป  
เนื่องจากลมพายุที่รุนแรงและทะเลคลั่ง  
ที่กลบกตลื่นหมู่เกาะให้หลับลึกไปอย่างรวดเร็ว  

สมุทรปราการ
จะจมหายลงไปในท้องทะเลครึ่งเมืองอย่างถาวร  
เนื่องมาจากลมพายุที่โหมกระหน่ำ  
บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะท่วมอย่างรวดเร็ว  
และมีสายน้ำเปลี่ยนทิศไหลผ่าเมืองอย่างน่าหวาดกลัว  
ผู้ที่รับบาดเจ็บจากหายนะในครั้งนี้  
จะถูกนำส่งยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  
ที่อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสำโรง  
ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นประตูต้นทาง  
ของกระแสน้ำที่ไหลเปลี่ยนทิศ  
แต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองสมุทรปราการ  

เกาะสมุย
จะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก  
เนื่องจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง  
และเกิดพายุรวมทั้งคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ  
จนกระทั่งเกาะทั้งเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล  
อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน

*********  
.......เกิดแผ่นดินไหวที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เสียชีวิตทันที
ผู้บาดเจ็บที่เหลือจะเสียชีวิตอย่างมากมาย  
ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล  

เกาะปันหยี จังหวัดพังงา
เกิดน้ำท่วมสูง  
และพายุที่รุนแรงโหมกระหน่ำ  
เกาะหายสาบสูญอย่างถาวร ผู้คนเสียชีวิตทั้งเกาะ  

เขื่อนบางลาง จังหวัดนราธิวาส
ถูกคลื่นจากทะเลซัดกระหน่ำ  
จนกระทั่งเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมแผ่นดิน  
รวมทั้งน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่แผ่นดินอย่างบ้าคลั่ง  
จนกระทั่งไม่มีนราธิวาส หลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก  

บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด
ถูกคลื่นยักษ์ไซโคลนกระหน่ำ  
แผ่นดินหายไม่มีเหลือ  

ยะลา
ถูกทะเลคลั่งโหมกระหน่ำ น้ำทะเลสูง แผ่นดินหาย  
เหลือเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น ที่จะมีชื่อเรียกใหม่ว่า“เกาะยะลา”  

จังหวัดสงขลา
น้ำท่วมสูง เกาะทุกเกาะจมหาย  
จะเหลือเพียงหาดใหญ่บางส่วนที่น้ำจะไม่ท่วมถาวร  

*********  

......ชลบุรี
ชายฝั่งทะเลบางแสน ถูกคลื่นยักษ์ 4-5 เมตร  
ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรงจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพังพินาศ  
แต่น้ำทะเลจะไม่ท่วมถาวร  

ฉะเชิงเทรา
น้ำจะท่วมถึงสองฝั่งบางปะกง จนถึงฐานหลวงพ่อโสธร  

กระบี่
จะถูกพายุพัดกระหน่ำ ผืนดินทางด้านตะวันออกจะหายไป  
ชาวประมง ประมาณ 180 คนจะถูกกลืนหายไปในท้องทะเล  

ชุมพร
จะเผชิญพายุฝนที่รุนแรง คลื่นจัด น้ำท่วมสูง  
ศาลกรมหลวงชุมพรจะเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์  

อุทยานภูริน นางย่อง สิมิลัน จังหวัดพังงา
ถูกคลื่นยักษ์ซัดหาย  

*********  

......ภูเก็ต
ถูกพายุถล่มอย่างบ้าคลั่ง  
จะกระทั่งเกาะทั้งเกาะหายไปจากแผนที่โลก  
มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 40,000 – 60,000 คน  

*********  
...นครศรีธรรมราช
น้ำท่วมใหญ่ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน  
พังงา น้ำท่วม แผ่นดินจะถูกกลืนจมหายลงไปในท้องทะเล  

ปัตตานี
ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทั้งจังหวัด  
แต่ วัดช้างไห้ ของหลวงปู่ทวด จะปลอดภัย  
รูปปั้นหลวงปู่ทวดจะแสดงปาฎิหารย์ ลอยน้ำขวางกระแสน้ำเชี่ยว  
น้ำจะแห้ง วัดช้างไห้จะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ  

เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์
จะพังหลาย กระแสน้ำที่เชี่ยวกราด  
จะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีผู้เสียชีวิตทันที่ประมาณ 200 คน  

เกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างกึกก้องกัมปนาถที่จังหวัดอุตรดิตถ์  
กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์จะมีปัญหา  
น้ำไหลอ้อมเขื่อนท่วมด้านล่างเสียหายบางส่วน  
รวมทั้งน้ำท่วมสูงแผ่นดินหายถาวรครึ่งจังหวัด  

*********  
.....นครราชสีมา
เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์  
กระแสน้ำจะท่วมสูงจนถึงฐานของอนุเสาวรีย์ย่าโม  
*********  


..ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้น  
จะมากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนมีศีลธรรมอาศัยอยู่  
อาจได้รับการปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้าง  

ข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้  
แต่ระดับความรุนแรงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน  
ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลายแห่งนั้น  
อาจเกิดระเบิดกึกก้องกัมปนาถรวมกันในสถานที่แห่งเดียว  
แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ  
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษ  
ถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้น  

เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น  
จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด  
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก  
เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ  
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11  

มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว  
บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล  
หลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม  
จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด  
ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต  
มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์  
คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิต และจะตายอย่างทรมาน  
ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ  
ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้  
ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป  

*********  
.....แผ่นดินไทยที่สาบสูญ  

บริเวณที่หายถาวรทั้งแผ่นดิน  

นราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์  
หมู่เกาะ ตะรูเตา หมู่เกาะทะเลตรัง ตราด เกาะช้าง  
หมู่เกาะทะเลตราด เกาะสมุย เกาะพงัน อ่างทอง ชะอำ  

บริเวณที่เหลือเพียงบางส่วน
แต่จะกลายเป็นเกาะเล็กๆ  

เกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม  
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร  

บริเวณที่หายเป็นส่วนใหญ่
จะเหลือเพียงบางส่วน  

ยะลา หาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี  
นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์  
เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา  
ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรปราการ อุบลราชธานี  
แผ่นดินริมแม่น้ำโขงตลอดแนว กาญจนบุรี  
ฯลฯ

ประเทศไทยจะถูกแบ่ง
ออกเป็น 3 ส่วน  

ได้แก่พื้นที่ในส่วนภาคกลางอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ  
และบริเวณในส่วนของภาคใต้ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ  
ได้แก่  

1. บริเวณตั้งแต่ชุมพรฝั่งตะวันตก ท่าแซะ ระนอง  
สุราษฎร์ธานีฝั่งตะวันตก บริเวณด้านบนของอำเภอพนม  
อ.เทียนชา อ.บ้านนาเดิม นครศรีธรรมราชตอนบน ขนอม  

2. บริเวณตั้งแต่จังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช  
ที่ต่อแดนกับจังหวัดกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบุลย์ ชะอวด  
จังหวัดตรังด้านตะวันออก จังหวัดพัทลุงด้านตะวันตก หาดใหญ่  
จังหวัดยะลา ด้านตะวันตก  

นอกจากนี้ยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกหลายเกาะ  
ได้แก่เกาะสัต!บ เกาะยะลา เกาะปัตตานี  
เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม  
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร  

บริเวณที่จะกลายเป็นพื้นที่ติดกับทะเล  

ดินแดนที่จะมีอาณาเขตติดกับทะเล ได้แก่  
สงขลาทางด้านตะวันตก ยะลาทางด้านตะวันออก  
หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน ด้านที่ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี  
และด้านที่ติดกับจังหวัดพังงา  
ตอนกลางของจังหวัดสุราษฎร์ธานี  
ตั้งแต่ อ.พนม อ.เคียงซา จรดเขตจังหวัดกระบี่  
ชุมพรด้านใน ท่าแซะ  
ตอนล่างของเมืองประจวบคีรีขันธ์  
และถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออกตลอดแนว  
ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  
ถนนชลบุรี-ปากท่อ ช่วงสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร  
ตัวเมืองแปดริ้ว บ้านค่ายปลวกแดง จ.ระยอง ตัวเมืองจันทรบุรี  
และตลาดท่าใหม่วังน้ำเย็น จรด จ.สระแก้ว  
เหนือเขื่อนเขาแหลมด้านตะวันตก  
กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร  
นครพนม เลย หนองคาย อำนาจเจริญ  
บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก  
อุตรดิตถ์ ด้านที่ติดกับประเทศลาว น่าน ด้านตะวันออกตอนล่าง  
บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน  

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นดินแดนชายฝั่งทะเล !  

.......ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์  
ที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครองรักษาไว้  
ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก  
และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=250929
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000071498

http://www.lesa.in.th/global/global_warming/global_warming.htm

http://content.kapook.com/cgi-bin/artman/exec/view.cgi?archive=1072&num=19051

http://www.matrixinstitute.com/

http://www.intania82.com/

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4160513/P4160513.html

http://www.deqp.go.th/info/info6-1.jsp?id=825&languageID=th

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=7445

http://www.thai3d.net/

 
 
สาธุการบทความนี้ : 609 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 607 ครั้ง
 
 
  17 เม.ย. 2553 เวลา 11:08:25  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   862) ในภาคอีสาน...มีผู้ใด๋มักเชื่อเรื่องสัตว์ในตำนานบ่หน้อ  
  kat    คห.ที่0) ในภาคอีสาน...มีผู้ใด๋มักเชื่อเรื่องสัตว์ในตำนานบ่หน้อ      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 


พญาครุฑ  (เวณไตย)
....Garuda....
พญาครุฑจ้าวแห่งเวหา














พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย (อ่านว่า เว นะ ไต แปลว่า ลูกของนางวินตา หมายความว่า ครุฑ ด้วย) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีว่า ท้าวสุบรรณ



นอกจากนั้นครุฑยังมีชื่อเรียกอื่นดังนี้


กาศยปิ (บุตรแห่งพระกัศยปมุนี)
เวนไตย (บุตรแห่งนางวินตา)
สุบรรณ (ผู้มีปีกอันงาม)
ครุตมาน (เจ้าแห่งนก)
สิตามัน (ผู้มีหน้าสีขาว)
รักตปักษ์ (ผู้มีปีกสีแดง)
เศวตโรหิต (ผู้มีสีขาวและแดง)
สุวรรณกาย (ผู้มีกายสีทอง)
คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ)
ขเคศวร (ผู้เป็นใหญ่แห่งนก)
นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค)
สุเรนทรชิต (ผู้ชนะพระอินทร์)



เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่นมหากาพย์มหาภารตะ  เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปราณะ   ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ




ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์     เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพรี      มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรีที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้



แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์     ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"








ลักษณะทั่วไปของพญาครุฑ





พญาครุฑมีกายเป็นรัศมีสสีทองมีเดชมีอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลาย    โดยอาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว   อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์  



ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ  หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา  ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้  เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้น    ไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไป  เช่นเรื่องสามัญ





ลูกครุฑจะโตขึ้นนับเวลาเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ   เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา   หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมาก   อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้นๆ   และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว






ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ









ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ


1.  ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2.  ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
3.  ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4.  ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5.  รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว






ครุฑในทางพุทธศาสนา     จัดเป็นเทวดาชั้นต่ำประเภทหนึ่งภายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก    ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศให้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ





ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ
1. โอปปาติกะ  (เกิดแบบผุดขึ้น)
2. ชลาพุชะ (เกิดในเถ้าไคล)
3. อัณฑชะ  (เกิดในไข่)
4. สังเสทชะ (เกิดในครรภ์)



มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์   ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา




ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง    มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา   แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ บางประเภทถ้าผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร หรือถ้าผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก ก็จะสมัครใจไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สัตว์นรก









อิทธิ์ฤทธิ์ของพญาครุฑ



อำนาจของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์   ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์ มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดารทั้งนี้มีเรื่องกล่าวไว้อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคยลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ



พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเรา และท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถาน ที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน





            จึงถือกันในหมู่ครูบาอาจารย์กันต่โบราณว่า “พญาครุฑ”  เป็น เทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระนารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ




แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้ เป็นเจ้าจริงในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นให้แก่พระ อินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน







สิทธิอำนาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้มีอายุยืนเสมือนว่าเป็นอมตะนั้น นับเป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้รู้พยายามค้นคว้า และเสาะหาที่มาแห่งพลังอำนาจดังกล่าว จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง ๆ ขึ้น อำนาจพญาครุฑสามารถจำแนกได้ถึง ๘ ประการ โดยนับเอาอำนาจหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ




<!--[if !supportLists]-->๑.     เป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิอำนาจอันเฉียบขาด<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๒.    สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง ภูติผีปิศาจกลัวไม่กล้าเข้าใกล้<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๓.    เป็นสื่อนำความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๔.    ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยเป็นคงกระพัน<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๕.    เป็นเมตตามหานิยม<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๖.     นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๗.    ทำมาค้าขายดีเป็นสื่อนำโชคลาภนานาประการ<!--[endif]-->

<!--[if !supportLists]-->๘.    สัตว์ร้าย เขี้ยวงาสารพัด งูเงี้ยวเขี้ยวขอ อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ เพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด<!--[endif]-->





อำนาจพญาครุฑยังมีมากกว่านี้อีกมาก แล้วแต่ท่านใดจะรู้จักใช้ ในตำราทางไสยเวทพุทธาคมมีทั้งการใช้ยันต์ครุฑให้ผลดีในทางคงกระพันชาตรี มีนะพญาครุฑใช้ลงตบเข้าหน้าผากเป็นคงกระพันชาตรีกันเขี้ยวงาอสรพิษได้



ทั้งนะพญาครุฑนี้เมื่อประสิทธิ์ลงไปยังตัวคนผู้ใดแล้วยังสามารถทรหดอดทน เดินไกลไม่เหนื่อย เป็นวิชาตัวเบาชั้นยอด และเป็นเมตตามหานิยมชั้นสูงอีกด้วย ยังมีคาถาพญาครุฑซึ่งเมื่อกล่าวพระคาถานี้งูพิษรวมไปจนถึงตะขาบแมงป่องและสัตว์ร้ายต่าง ๆ ทั้งหลายจะหลบหนีไปสิ้นโดยพระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้





“โอมพญาครุฑจะเห็นผล หลีกไปให้พ้น พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ”




ก่อนว่าพระคาถานี้ให้นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อนด้วยนะโม ๓ จบและท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไปถึงพญาครุฑจะปลอดภัยทุกประการ




การบูชาพญาครุฑประกอบกับพยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์ทั้งหลายนั้น ท่านให้สักการะคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นให้ตั้งจิตระลึกถึงพญาครุฑท่าน ด้วยการทำสมาธิภาวนาเป็นสื่อถึงองค์พญาครุฑว่า “ครุฑโธ” จนจิตสงบหรือระลึกชื่อ พญาวายุภักษ์ หรือ ท่องคำว่า “การะวิโก” อันเป็นคาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่าได้




จากนั้นเมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม จากบริเวณที่มีนกอยู่ใกล้ ๆ จนบางครั้งอาจมีนกมาบินเวียนวนอยู่เป็นทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์ หรือมีฝูงนกมาทานอาหารที่เราเซ่นไหว้ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นศุภมงคลอย่างประเสริฐแล้ว สื่อให้เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้งถึงองค์พญาครุฑและเหล่าพญาปักษาชาติทั้งหลายอันมีฤทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้ว และท่านทั้งหลายจะช่วยเหลือเราอย่างสุดวามสามารถโดยตลอด









ตำนานเกี่ยวกับพญาครุฑ


ผู้ประพันธ์ผลงานนี้   ศ.ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา
จากหนังสือเรื่อง      “ภาตรนิยาย”









ครุฑ  เป็นพญาวิหค เจ้าแห่งนกทั้งปวงด้วยเริ่มเรื่องที่ผู้แม่นางวินตา ที่เป็น ๑ ในชายาจำนวนมากมายของพระฤษีกัศยป และมีน้องสาวชื่อว่า กัทรู หรือ สรุสา (ซึ่งก็เป็นชายาด้วยเหมือนกันทั้งสองพี่น้อง)  



ครั้งหนึ่งคอยดูแลพระฤษีกัศยปเทพบิดร จนเป็นที่พอใจ และได้ให้พรแก่ทั้งสองนางฝ่ายน้องสาวได้ขอพรก่อน โดยขอไว้ว่า


“ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก”

พระมุนีฤษีก็ให้พรนั้นแก่ชายาไป

ฝ่ายนางวินตานี่สิ

“ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ...”

พระเทพบิดรก็ให้พรไป และพูดกลับแก่นางวินตาเหมือนรู้ทันว่า


“เจ้า จะได้พรดังขอ แต่เจ้าของพรด้วยจิตริษยาต่อน้องของเจ้า เจ้าได้ผูกเวรขึ้นมาแล้ว และมันจะทำให้เจ้าตกระกำ ยากลำบากมากมายจนเลือดตากระเด็น แต่อย่างไรเสีย เจ้าจะพ้นทุกข์เวรนี้ได้เพราะบุตรของเจ้า ผู้เป็นลูกกตัญญู”


กล่าวจบ พระฤษีกัศยป ก็ขึ้นสวรรค์ไปช่วยพระอินทร์กวนน้ำทิพย์









ไม่นานทั้ง ๒ พี่น้อง ก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ฝ่ายนางกัทรู ได้เป็นไข่ ๑๐๐๐ ฟอง และนางวินตาออกมาเพียง ๒ ฟอง



เวลา ผ่านไป ๕๐๐ ปี ไข่นางกัทรูแตกออกมาเป็นนาคทั้งหมด บังเกิดความอิจฉาแก่ผู้พี่เสมอ ยามที่ได้เห็นแม่ลูกฝ่านน้องเหย้าหยอกกันอย่างมีความสุข จนทำให้ตบะแตกลงทุน ทุบ ไข่ฟองแรก ปรากฏว่ามีกุมารอยู่ในนั้นคนหนึ่ง แต่มีร่างกายแค่ท่อนบน คือ พระอรุณ





พระอรุณ เห็นแม่ทำดังนั้นก็โกรธมาก สาปแม่ทันทีว่า




“ดูก่อน แม่ช่างทำแก่ข้าได้ ข้ามีร่างการครึ่งตัวเช่นนี้เพราะความขาดสติแท้ ๆ นับแต่นี้ไป แม่จงตกเป็นทาสของนางกัทรู และพวงนาคทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์เวลาช้านาน หาความสุขมิได้”






แต่ในที่สุดก็สงสาร เพราะความจริงที่ว่านางวินตาก็คือแม่ของตน จึงลดคำสาปลง


“อีก ๕๐๐ ปี ไข่อีกฟองจะแตกออก และเขาจะเป็นผู้ช่วยแม่ออกจากทุกข์นี้เอง”



กล่าวจบ ก็ลอยขึ้นไปนภาไปเป็นสารภีให้พระอาทิตย์ พระอรุณผู้มีร่างกายใหญ่โต ขนาดมีเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถบังแสงของพระอาทิตยได้ ลดแสงเป็นสีแดงอ่อน ๆ จึ่งเรียกแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าว่า...แสงอรุณ นั้นเอง







และถึงคราวที่ นางวินตาจะกลายเป็นไปตามคำสาปก็มาถึง นางไปพนันกับน้องสาวแพ้ เรื่องสีของขนม้าอุจไรศรพ (ม้านี้ออกมาจากการกวนน้ำทิพย์) ว่ามีสีอะไร นางวินตาจำได้ว่าเป็นสีขาวทั้งตัวม้า จึงตอบไปว่าสีขาว




ฝ่ายน้องสาวคิดทางต้องชนะ เพราะผู้แพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย นางจึงโกงโดยให้ลูก ๆ นาคทั้งหลายแปลงกายไปเป็นเส้นขนหางม้าสีดำ



นางวินตาจึงแพ้ และตกเป็นทาสตามคำสาป



นาง วินตาถูกใช้งาน ทำงานหนักสารพัดเช้ายันเย็น ทุกข์อยากแสนสาหัส หาความสุขมิได้จนในที่สุด ไข่อีกฟองก็ครบอายุ ๑๐๐๐ ปี และ แตกออก




ปรากฏเป็นร่างนกยักษ์แสนสง่า ร่างกายมหึมา สว่างไสวกว่าแสงพระอาทิตย์ ๑๐๐ เท่า ได้บินขึ้นสู่เวหา จนถึงทางโครจรแห่งสูรยาทิตย์ รัศมีอันมหาศาลรุ่งโรจน ทำให้ทวงเทพแตกตื่นกันเสียไม่มี รีบลนลานไปเข้าเฝ้าพระอัคนิเทพถามหาที่มาที่ไป






พระอัคนีก็อธิบายว่า แสงนี้เป็นแสงรัศมีแห่งบุตรของพระฤษีกัศยปเทพบิดรด้วยพรอันประเสริฐ






ทวยเทพทราบดังนั้นจึงมาขอร้อง ให้มหาวิหคโปรดลงรัศมีลงหน่อยเถิด
พญานกก็ยอมทำตามด้วยใจอันเมตตา และบินกลับมาหามารดาของตน
อันได้ชื่อว่า แม่เป็นทาส ลูกก็ย่อมตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยเช่นนั้น เมื่อพญาเวนไตย ทราบถึงความเป็นอยู่อันทุกข์ตรมของมารดา ก็เศร้าใจหนักหนา คิดหาทางช่วยตลอดเวลาแต่ยังไม่ประสบโอกาส









วันหนึ่ง นางกัทรู อยากเดินทางไปยัง เกาะรามณียกะ ที่กลางสะดือทะเล โดยนางวินตาแบกนางกัทรู และเวนไตยแบกนาคทั้ง ๑๐๐๐ด้วยความเกลียดชัง จึงแกล้งบินขึ้นฟ้าไปสูง ๆ ไปสูงลิบจนเข้าใกล้สายโคจรของพระเทวาอาทิตย์เกินไป นาคทั้งหลายพากันสลบไปหมด




แม่นาคทั้ง ๑๐๐๐ เห็นดังนั้นก็สวดมนต์อ้อนวอนพระอินทร์ พระอินทร์จึงบัลดาลฝนตกห่าใหญ่ ทำให้นาคทั้งหลายฉุ่มฉ่ำ ฟื้นขึ้นมาทั้งหมด

จุดนี้เอง พญาเวนไตย จึงผู้ใจเจ็บกับท้าววัชรินทร์เป็นต้นมา










เมื่อถึงที่สุดแห่งความกตัญญูต่อมารดา พญาเวนไตยจึงขออิสรภาพกับนางกัทรูและเหล่านาคตรง ๆ ไปเลย


ผลคือพวกนาคเหล่านั้นต้องการหม้อน้ำอมฤตของพระอินทร์มาแลกเปลี่ยน เพราะอยากมีความเป็นนิรันดรอย่างผู้พี่ คือพระอินทร์นั้นเอง







พญาเวนไตยดีใจเป็นที่สุด จึงรีบไปบอกมารดาเล่าความให้ฟัง แต่การเดินทางไปเขาสุเมรุไกลมากมาย





แม่ จึงแนะลูกว่า “ลูกต้องอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาล จึ่งเดินทางไปถึงสวรรค์ ลูกจงกินเหล่านิษาท อันเป็นคนเถื่อนที่มีอยู่จำนวนมากมายในป่าเป็นอาหารเถิด”




เวนไตยมีใจยินดี กราบอำลามารดา นางวินตาจึงสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมให้พร




“ลูกรัก ผู้มีอำนาจเรืองฤทธิ์เดช แต่อย่าได้ทะนงตน    ลูกต้องเคารพวรรณะพราหมณ์ อันเป็นวรรณะสูงสุด ต้องเคารพยำเกรง ให้เกียรติเหนือตน ตลอดเวลาถ้าเจ้าหลงกลืนพราหมณ์ จักมีอาการแสบร้อนทรมาน จงรีบคายเสีย”






“บัดนี้ลูกกตัญญูของแม่จักเดินทางออกไปเพื่อช่วยแม่    ขอให้ประสพความสำเร็จทุกประการ    พระวายุปกป้องปีกของลูก พระอาทิตย์ และพระจันทร์ปกป้องเบื้องล่างของลูก    พระอัคนีปกป้องศีรษะของลูก และ เหล่าทวยเทพวสุปกป้องกายอื่น ๆ ของลูกเจ้าจงรีบไปเถิด แม่จะคอยอยู่ที่นี้”



เมื่ออำลา และรับพร พญาเวนไตยจึงออกเดินทางโดยระหว่างนั้นก็เสพเหล่านิษาทไปเป็นจำนวนมาก







และหนึ่งในนั้น ได้เผลอกลืนพราหมณ์ผู้มีภรรยาเป็นนิษาทลงไป
เกิดอาการแสบร้อน ทรมาน จึ่งนึกถึงคำของแม่ รีบคายออกมาทั้งพราหมณ์ และภรรยา




พราหมณ์เห็นความอ้อนน้อม และกตัญญูของพญาปักษา ก็เอ็นดูทันทีให้พรอันทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานสมปรารถนา






พญาเวนไตยแม้จักกินนิษาทมากแค่ไหนก็ไม่อิ่ม คิดหาเหยื่อใหม่   โดยร่อนลงบนเขาเหมกูฏอันเป็นที่ตั้งของพระกัศยปพรหมฤษี     ผู้เป็นบิดาจึงแนะว่าให้ไปกินพญาเต่า และพญาช้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอสูรด้วยกันทั้งคู่     ที่สู้รบไม่รู้แพ้ ชนะ จึงสาปกันและกันเป็นให้เป็นสัตว์เช่นนี้ ที่ทะเลสาบใหญ่ทางทิศเหนือจากนี้






เมื่อ ได้รับคำแนะจากบิดา เวนไตยก็รีบไปจับ ใช้ปากจับสัตว์ยักษ์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และโผจับกิ่งไทรใหญ่ กิ่งหนึ่งหวังจะกินอาหารที่ได้มา แต่ทานน้ำหนักไม่ไหว หักลง





ที่กิ่งไม้นั้นเอง มีเหล่าพราหมณ์แคระ พาลขิลยะ มีร่างกายเท่านิ้วมือ ห้อยหัวลงดินบำเพ็ญเพียรอยู่ จำนวนหลาย ๑๐๐๐๐ ตน พญาวิหคจึงไม่กล้าทิ้งกิ่งไม้
เกรงอันตรายเกิดแก่เหล่าพราหมณ์ แต่หาที่วางเหมาะ ๆ ไม่ได้ จึงต้องกลับมาหาบิดา






พระเทพบิดรก็ได้เล่าความทั้งหมดที่เกิดแก่เหล่าพราหมณ์แคระ ก็พากันสรรเสริญและให้พร






“มหา ปักษิน จากนี้ไปท่านจงมีนามว่า ครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง เป็นผู้สามารถตลอดกาล ใคร ๆ อย่าได้ต้านทานต่อสู้ได้เลย”





พญาครุฑเอากิ่งไทรไปทิ้งทะเล และกินเหยื่อที่ริมหาดนั้นเอง แล้วก็รีบบินไปเทวโลกทันที



ครู่เดียวเท่านั้น ก็มาถึงนครอมราวดีของท้าววัชรินทร์มา ถึงพญาครุฑก็เล็งมายัง วิมานไวชยันต์ อันเป็นที่เก็บหม้อน้ำอมฤตไว้ พระวิศวกรรมออกมาขวาง พญาครุฑก็ตบกลิ้งไปด้วยกรงเล็บมหึมา เทพทั้งหลาย รวมทั้งพระอินทร์ก็ต้านทานไว้ไม่ได้เลย







เมื่อเข้าใกล้หม้อน้ำทิพย์ที่ถูกเก็บหลังกรงจักรหมุนติ้ว ๒ อัน
มีงูร้ายตาแดงกล่ำ ๒ ตัวขดอยู่เบื้องล่างของหม้อ





พญาครุฑกระพือปีก ฝุ่นฟุ้ง ไปทั่วจนงูลืมตาไม่ขึ้นและย่อร่างเข้าไปในกรงจักร ทำลายเสียแล้วเอาหม้อน้ำทิพย์ออกมาจนได้ขณะบินออกมาสู่นภาพร้อมหม้อน้ำอมฤต แผ่ปีกบังแสงอาทิตย์เป็นสง่าเหลือคณานับ







พระวิษณุแลเห็นความสง่าสุดบรรยาย พอพระทัยยิ่ง ตรัสสรรเสริญ และมอบพรให้พญาครุฑซึ่งพญาครุฑก้มศีรษะลงคารวะอย่างนอบน้อม และขอไป ๒ ข้อ คือ




“ข้าพระองค์ขอเป็นเพียงพาหนะของพระองค์ชั่วชีวิต และประการ ๒ คือ ข้าพระบาทของมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตเหมือนเทวาทั้งหลาย”



พระวิษณุก็มอบพรให้  ระหว่างทางกลับ พระอินทร์มีความเสียดายยิ่งนัก ตามมาแย่งคืนก็สู้แรงพญานกไม่ได้ แม้เขวี่ยง วัชระ เทพตราวุธประจำกาย
เสียงดังสนั่นปานสวรรค์แตกสลาย ก็ไม่ได้ระคายเคืองพญาครุฑเลย
(เพราะได้รับพรไปแล้ว)





พญาครุฑจึงกล่าวแก่ท้าววัชรินทร์ว่า





“ดูก่อนท้าววาสพ จงเร่งสำนึกตัว ท่านเป็นพี่คนโตของข้า ข้าก็เคารพความนี้อยู่แล้วนอกเหนือจากนั้น ท่านยังเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ข้าก็ยิ่งเคารพยำเกรงท่านมากขึ้นไปอีกครั้งนี้ท่านตามมาต่อสู้ แม้ข้าทำร้ายท่าน ท่านก็จะเสียเกียติแต่เอาเถอะ ข้าจะยอมลดเกียรติลง ยอมให้ขนของข้าหลุดร่วง ๑ เส้น เพื่อแสดงว่า อาวุธของพี่ข้าได้ผลสามารถทำร้ายข้าได้ ต่อไปภายหน้าข้าจะไม่ให้โอกาสท่านแล้ว จงสำนึกคำของข้าไว้”




กล่าวจบ ขนสีทองสว่างรุ่งโรจนก็หลุดร่วงลง เปล่งประกายราวกับมีพระอาทิตย์อีกดวง





พระอินทร์สิ้นทิฐิกล่าวขอโทษพญาครุฑ และกล่าวถึงเหตุ และผลของการใช้น้ำอมฤตพญาครุฑได้ฟังวาจาอ้อนน้อมก็ใจอ่อน และตอบว่ายังไงเสียก็ต้องนำหม้อไปเพื่อช่วยมารดา





“แต่เอาเถอะ หลังจากที่ข้านำหม้อน้ำทิพย์นี่ไปให้นาคแล้ว จงเป็นหน้าที่ของท่านต่อไปเถิด”







พระอินทร์จึงล่องหนตามพญาครุฑไปด้วยเมื่อนำหม้อน้ำทิพย์มาให้พวกนาค และปล่อยนางวินตาแล้ว นาคก็ตรงเข้าสู่หม้อน้ำทิพย์ทันที พญาครุฑห้ามไว้ ว่า





“จงลงไปอาบน้ำชำระกาย และสวดมนต์คายราตรีเสียก่อน จึงค่อยมาดื่ม”



เหล่านาคเชื่อก็ทำตาม พระอินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้น นำหม้อกลับไปได้ รีบกลับเทวโลกทันที

นาคขึ้นมาไม่เห็นหม้อตกใจ แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีละอองน้ำทิพย์เกาะบนยอดหญ้าอยู่





เหล่านาคจึงหลงพากันเลียน้ำค้างธรรมดาบนยอดหญ้าคาคมที่ปาดลิ้นจึงทำให้งูทั้งหลายมีลิ้น ๒ แฉกเป็นต้นมา








พญาครุฑพาแม่ไปส่งยังสำนักของพระกัศยปเทพบิดรแล้วกลับมาปฏิบัติการจองเวรแก่นาคทั้งปวง ไล่จับนาคกิน ฉีกพุง กินมันเปลว และเลือด เป็นอาหารอย่างสำราญใจ





นาคทั้งหลายก็หนีไปอยู่สะดือทะเล อันเป็นที่ตั้งของนครโภควดีของพญาวาสุกิ ราชาแห่งนาคทั้งปวง



พญาครุฑก็กระพือปีกแหวกน้ำออกจับนาคขึ้นมาได้อีก พญาวาสุกิเห็นไม่ดี
จึงทำสัญญาต่อพญาครุฑว่าจะทำพิธีสรรปพลี สังเวยนาคแก่พญาครุฑวันละตัวณ ลานหินริมฝั่งทะเล พญาครุฑก็ยอม






เลือดของนาคที่หยอดลงพื้นกลายเป็นมรกตนาคสวาทน้ำลายปนเลือดครั้งสุดท้าย กลายเป็นพลอยครุฑกานต์ เรี่ยราดอยู่ตามชาดหาดนั้นเอง








ตำนานพญาครุฑกับนางกากี








ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้กะสันจะสึกรูปหนึ่งตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ ธรรมดามาตุคาม (แม่บ้าน) ใคร ๆ ก็รักษาไว้ไม่ได้ โบราณบัณฑิตในครั้งก่อน ถึงจะยกมาตุคามขึ้นไปไว้ในวิมานฉิมพลีในท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่อาจรักษาสตรีได้" แล้วได้นำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...








          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี มีมเหสีพระนามว่า กากาติ มีพระรูปโฉมงดงามยิ่ง ใครเห็นใครก็ลุ่มหลงในความงาม ในวันหนึ่งมีพญาครุฑตนหนึ่งแปลงร่างเป็นมนุษย์มาเล่นสกา (การพนันชนิดหนึ่ง)กับพระราชา




ได้พบเห็นพระนางกากาตินั้นแล้วเกิดความรักใคร่ในนาง จึงแอบพานางหนีไปอยู่ที่วิมานฉิมพลีอันเป็นที่อยู่ พระราชาเมื่อไม่พบเห็นพระเทวีจึงตรัสเรียกคนธรรพ์ชื่อ นฏกุเวรมาเข้าเฝ้า พร้อมมอบหมายให้นำพระเทวีกลับมาให้ได้






          ฝ่าย คนธรรพ์ทราบที่อยู่ของครุฑแล้ว จึงไปนอนแอบซุ่มอยู่ในดงตะไคร้ข้างสระลูกหนึ่ง พอครุฑบินไปจากสระก็แอบกระโดดเกาะระหว่างปีกครุฑไปจนถึงวิมานฉิมพลี แอบได้เสียกับพระนางกากาติที่วิมานนั้น แล้วก็อาศัยครุฑนั้นแหละกลับมาเมืองพาราณสีอีก ในวันหนึ่งขณะที่พญาครุฑเล่นสกากับพระราชาอยู่ คนธรรพ์ก็ทำทีเป็นถือพิณมาที่สนามสกา ขับร้องเป็นเพลงว่า







          "หญิงรักคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาที่แห่งนั้น ใจของเรายินดีในนางใด นางนั้นชื่อกากาติ อยู่ไกลจากที่นี้"







          พญาครุฑพอได้ฟังแล้วสะดุ้งจึงถามเป็นนัยว่า "ท่านข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งไปได้อย่างไร ท่านขึ้นวิมานฉิมพลีได้อย่างไร"





นฏกุเวรจึงตอบว่า "เราข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งได้ก็เพราะท่าน ขึ้นวิมานฉิมพลีได้ก็เพราะท่านนั้นแหละ"







          พญา ครุฑพอได้ทราบความจริงแล้ว ก็กล่าวติเตียนตนด้วยความเสียใจว่า "ช่างน่าติเตียนเสียนี่กระไร เรามีร่างกายใหญ่โตเสียเปล่าไม่มีความคิด จึงเป็นพาหนะให้ชายชู้ของเมียทั้งไปและกลับ น่าเจ็บใจจริง ๆ" กล่าวจบก็คืนร่างเป็นพญาครุฑไปนำพระนางกากาติมาคืนพระราชาแล้วไม่หวนคืนกลับ มาเล่นสกากับมนุษย์อีกเลย










การใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์







ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา


                                              





ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่     ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำ พระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น




พระราชลัญจกร ร.2




ซึ่งจากการที่เราใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่น ดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับ หนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ









ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่าธงมหาราช    เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน








นอกเหนือจากการที่ตราครุฑปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดิน ในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า โดยได้รับพระบรมราชานุญาต






ต่อมาในรัชกาลที่ 6ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน





ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวัง เรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 406 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 405 ครั้ง
 
 
  12 เม.ย. 2553 เวลา 19:50:03  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   862) ในภาคอีสาน...มีผู้ใด๋มักเชื่อเรื่องสัตว์ในตำนานบ่หน้อ  
  kat    คห.ที่1) ภาพเเสริม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 


อีกภาพหนึ่ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 392 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 392 ครั้ง
 
 
  12 เม.ย. 2553 เวลา 19:53:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   864) มีพญาครุฑแล้วต้องมีพญานาคด้วยจ้า...  
  kat    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 


เสริมค่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 292 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 292 ครั้ง
 
 
  17 เม.ย. 2553 เวลา 10:55:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   865) รวมคำทำนายโลก...จะแตกสลายหรือไม่  
  kat    คห.ที่0) รวมคำทำนายโลก...จะแตกสลายหรือไม่      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 
2012 แกนโลกพลิก,คําทํานายมายัน,มนุษย์ต่างดาว

เดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากแสงลึกลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานานแล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย

ชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต

เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น

โอลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว

โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา

ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย

เขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น

คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย

อีกไม่กี่สิบปีเราคงจะได้เห็นปรากฎการณ์นั้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบาง

ทั้งหมดนี้ ที่ฟังมานี้ ต่างต้องล้วนใช้วิจารณญาณ แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ .......

แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012

จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อน
แอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจั
งดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

http://www.indiadaily.com/editorial/1753.asp

ทศวรรษแห่งความล่มสลาย

นพ.ประสาน ต่างใจ

ผู้เขียนย้ำแล้วย้ำอีกในคอลัมน์นี้มาเป็นเวลานานว่า ทศวรรษที่ 2010 โดยเฉพาะปี 2012 จะเป็นปีที่สรุปรวบยอดของสภาวะความพินาศระดับโลกแห่งชรวิตที่เรียกว่าความล่มสลายระดับโลก (mass extinction or spasm) อีกครั้งหนึ่งซึ่งจะเป็นครั้งที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของโลกกายภาพหลังกำเนิดการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับวิกฤติใหญ่หรือภัยธรรมชาติเช่นสึนามิ แผ่นดินไหวที่แคชเมียร์ หรือเฮอริเคนแคทรินาที่เรายังจำความโหดร้ายรุนแรงของมันได้ วิกฤติดังกล่าวเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ สุดจะนำมาเทียบกันไม่ได้ ที่ผู้เขียนย้ำหรือเชิงคาดการณ์มานั้น - หากมองจากการคาดการณ์ที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์บ้าง - การคาดการณ์ของผู้เขียนอาจเร็วกว่านักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนไปหลายๆ ปี หรือหลายๆ ทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเดวิด คิง, ฟริตจอฟ แคปร้า, เลสเตอร์ บราวน์, บิล จอย ฯลฯ ที่ผู้เขียนเคยเอามาเขียนและอ้างอิงไว้บ่อยครั้ง แต่ที่ผู้เขียนระบุว่าปี 2012 คือปีที่โลกแห่งชีวิตรวมทั้งมนุษยชาติและอารยธรรมจะถึงกาลล่มสลายอย่างใหญ่หลวงจนเสี่ยงต่อการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์นั้น ผู้เขียนคำนวณจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นกว่าที่ไอพีซีซี (IPCC-UN) เคยคาดการณ์ให้ไว้ (โปรดเทียบข้อมูลที่ให้ไว้ครั้งแรกในปี 1995 กับรายงานครั้งหลังสุดเมื่อปีที่แล้ว) โดยเฉพาะอุณหภูมิที่ขั้วโลก กรีนแลนด์ และยอดภูเขาสูง นั่นคือการคำนวณปริมาณของน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำที่อาจก่ออุทกภัยและทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง น้ำแข็งจากยอดเขาสูงเช่นหิมาลัยแห่งเดียวได้ละลายกลายเป็นน้ำถึงวันละกว่าหนึ่งล้านตัน และอย่าลืมว่าเมื่อน้ำแข็งละลายถึงจุดวิกฤติ ก้อนน้ำแข็งจะแตกออกทำให้การละลายเพิ่มอัตราความเร็วเป็นทวีคูณโดยมาตรทางเรขาคณิต นอกเหนือการละลายของน้ำแข็งจากโลกร้อน ผู้เขียนยังคำนวณจากประเด็นอื่นๆ เช่นปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ อัตราความถี่ของการย้ายแผ่นหินเปลือกโลกและแผ่นดินไหวกับภูเขาไฟระเบิด การย้ายสถานที่ของประชากรแมลง และประเด็นทางภูมิดาราศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมดบังเอิญมาตรงกับคำทำนายของปฏิทินของชาวมายาที่ชาวนิวเอจแทบทุกคนเชื่อ ปฏิทินที่มาจบฉบับสุดท้ายไว้ที่ปี 2012 พอดี (the crash of 2012!)

ปล. เราอาจจะอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน แต่ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุดนะครับ อยากทำอะไรก็รีบๆทำซะล่ะ



 
 
สาธุการบทความนี้ : 248 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 248 ครั้ง
 
 
  17 เม.ย. 2553 เวลา 11:03:52  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   864) มีพญาครุฑแล้วต้องมีพญานาคด้วยจ้า...  
  kat    คห.ที่0) มีพญาครุฑแล้วต้องมีพญานาคด้วยจ้า...      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : นครนายก
เข้าร่วม : 11 เม.ย. 2553
รวมโพสต์ : 11
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 29120
รวม: 29120 สาธุการ

 


นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล

นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า

ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้ เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู

เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่า งแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ใน แม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพ รรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นก ารสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่าง กันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีห งอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้น เล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ

พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธ ิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใ ต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่ง ต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี


ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ

จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของร ุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลก ขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำต ัวของนาคเป็นท่อส่ง

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

นาคให้น้ำ

พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา

เกี่ยวข้องกับคนไทย

เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค


พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา

ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาค ปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามควา มเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้

หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์

ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็กๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา

ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วไ ด้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูป อื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออก ไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน

ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดร ัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้อง ถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ไ ด้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"


ความเชื่อในดินแดนต่างๆ ของไทย
รูปพญานาคแกะสลัก ประดับราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่โรงเมี้ยนโกศ วัดเชียงทอง หลวงพระบาง

ในด้านของดินแดนสยามหรือประเทศไทยของเรานั้น ก็มีความเชื่อเรื่องนาคปรากฏอยู่มากมาย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 210 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 210 ครั้ง
 
 
  17 เม.ย. 2553 เวลา 10:54:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1

   

Creative Commons License
มีพญาครุฑแล้วต้องมีพญานาคด้วยจ้า... --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ