|
โพสต์โดย |
|
22) นครจัมปาศรี : พุทธมลฑลอีสาน : พระบรมธาตุนาดูน |
|
|
ลูกพระธาตุนาดูน
|
|
คห.ที่65) สารคดี เรื่อง นครจัมปาศรี ดินแดนแห่งอารยธรรม [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้] |
|
|
ศิษย์น้องเล็ก
ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 11 มี.ค. 2552
รวมโพสต์ : 23
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 69230
รวม: 69230 สาธุการ
|
|
นครจัมปาศรีมีประวัติอันยาวนานนับเป็นพันปี และได้ถูกเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จะเนื่องจากวิกฤตการณ์หรือเหตุผลใดก็ไม่อาจจะทราบได้ จะอย่างไรก็ตามยังคงมีเค้าพอที่จะสืบค้นได้บ้างจากหลักฐานทางโบราณคดี เช่นโบราณสถาน โบราณวัตถุ สามารถสอบค้นและเปรียบเทียบอายุสมัยลักษณะเผ่าพันธุ์ ตลอดจนการดำรงชีพขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพชนในถิ่นแถบนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นตำราเอกสารอื่นๆพอที่จะอ้างอิงเทียบเคียงได้ด้วย
จากข้อสันนิษฐานของ อาจารย์สมชาย ลำดวน ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้สันนิษฐานว่า นครจัมปาศรีมีความเจริญรุ่งเรืองมา 2 ยุคด้วยกันคือ
ยุคแรก คือ ยุคทวารวดี ระหว่าง พ.ศ.1000-1200 หลักฐานชี้นำให้เห็นเด่นชัด คือ หลักฐานจากพระพิมพ์ดินเผาที่ขุดพบจากกรุต่างๆ ในเขตพื้นที่นครจัมปาศรีและหลักฐานทางสถูปเจดีย์ ศาสตราจารย์ ดร.จิตร บัวบุศย์ ให้ความเห็นว่า เจดีย์ส่วนใหญ่ฐานนั้นมาจากฐานอุบลมณฑลซึ่งเป็นต้นแบบนิยมสร้างกันในสมัยคลื่นที่ 3 ของพระพุทธศาสนา (รุ่งเรืองอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ถึง 13) ที่เข้าสู่ประเทศสยามและนครจัมปาศรีก็ได้รับอิทธิพล ศิลปวัฒนธรรมในคลื่นนี้ด้วย
ยุคที่สอง คือ ยุคลพบุรี ระหว่าง พ.ศ.1600-1800 ซึ่งมีหลักฐานยืนยันดังนี้คือ หลักศิลาจารึก14 บรรทัดที่ขุดพบที่ศาลานางขาว ศิลปะวัตถุต่างๆที่ขุดค้นพบและแตกกระจายในเขต นครจัมปาศรี โบราณสถาน ล้วนเป็นศิลปกรรมของขอมสมัยลพบุรีทั้งสิ้น
ในปัจจุบัน บริเวณที่ตั้งของนครจัมปาศรี คือ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมี อาณาเขตติดต่อกับอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
· ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด
· ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอนาเชือกและอำเภอยางสีสุราช
จังหวัดมหาสารคาม
· ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
· ทิศใต้ ติดต่อกับ อำเภอพยัคภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป ของอำเภอนาดูน เป็นที่ราบลูกคลื่นสลับกันไม่มีภูเขา ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน มีป่าไม้เบญจพรรณเหลือบ้างเล็กน้อยทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือลักษณะดินส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายในฤดูแล้งเก็บน้ำไม่อยู่ บางแห่งมีดินเกลือปะปนซึ่งเป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ของอาหารพืช และมีมากมายด้านทิศตะวันออกของตัวอำเภอนาดูน การเดินทางจากตัวเมืองมหาสารคาม สามารถไปได้โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ซึ่งมีระยะทางห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางผู้เดินทางจะได้รับความสะดวกสบายจากถนนลาดยางตลอดทั้งสายพร้อมทั้งสัมผัสกับธรรมชาติจากสองฝั่งถนนที่ร่มรื่นสบายตา นอกจากจะได้สัมผัสกับ
ธรรมชาติแล้วสิ่งที่ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสอีกประการ เมื่อได้เข้าสู่ดินแดนที่ชื่อว่า นครจัมปาศรี นั่นคือ รอยยิ้มและความมีน้ำใจของผู้คนแถบนี้ ซึ่งนั่นเป็นการแสดงถึงพื้นฐานจิตใจที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งบรรพชน ชาวนาดูนเป็นผู้ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังยึดถือประเพณีดั่งเดิมของชาวอีสาน คือ เป็นผู้มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ชอบทำบุญทำทานจึงได้มีประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง เป็นการทำบุญสำคัญครั้งใหญ่ ในหนึ่งปีจะมีการทำบุญครั้งสำคัญรวมสิบสองครั้ง นั่นคือในแต่ละเดือนจะมีการทำบุญใหญ่หนึ่งครั้งดังจะกล่าวถึงต่อไปนี้
เดือนอ้าย (เดือนมกราคม หรือเดือน1) บุญเข้าปริวาสกรรม เป็นการทำบุญในช่วงที่พระภิกษุสามเณรอยู่ปริวาส คือ การลงโทษให้อบรมตัวเองเท่ากับเวลาที่อาบัติแล้วปิดไว้ ชาวไทยอีสานที่นับถือศาสนาพุทธก็จะนำข้าวปลาอาหารและสิ่งของที่จำเป็นแก่สมณะไปถวายแก่พระภิกษุสามเณรเหล่านั้นตลอดระยะเวลาที่อยู่ปริวาส ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ และจะได้บุญได้บุญกุศลมาก
เดือนยี่ (เดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือน 2 ) บุญคุณลาน เป็นการทำบุญหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก่อนที่จะขนข้าวขึ้นเล้าหรือยุ้งฉาง ก็จะทำบุญคุณลาน เพื่อความเป็นสิริมงคลสมบูรณ์พูนสุขเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปยังญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไป แล้ว อีกทั้งเป็นการบูชาเทพยดาผู้ดลบัลดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลและพระแม่โพสพผู้รักษาข้าวในนาได้เจริญงอกงาม
เดือนสาม (เดือนมีนาคม) บุญข้าวจี่ เป็นการทำบุญจากข้าวของตน หลังจากว่างเว้นจากการเก็บเกี่ยว โดยประชุมตกลงวันทำบุญเมื่อได้วันแล้วแต่ละครอบครัวจะนำข้าวจี่ไปรวมกันที่วัดเพื่อถวายเป็นสังฆทาน โดยชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าได้ถวายข้าวจี่แก่พระภิกษุสามเณร จะได้อานิสงส์อย่างมาก
เดือนสี่ (เดือนเมษายน) บุญผะเหวด หรือ บุญมหาชาติ เป็นการทำบุญที่มีการฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดร ดังนั้นชาวอีสานจึงยึดถือปฏิบัติประเพณีนี้ สืบต่อกันมาด้วยการบอกกล่าวญาติพี่น้องให้ไปร่วมทำบุญฟังเทศน์มหาชาติ ตามวันทำบุญที่กำหนด และมีการแห่กัณฑ์กลอน (กัณฑ์เทศน์)ไปร่วมทำบุญด้วย
เดือนห้า บุญสงกรานต์เป็นวันสิ้นปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่ของไทยเราแต่โบราณโดยปกติจะอยู่ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้วเข้าขอพร รดน้ำดำหัวจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง และผู้ที่เคารพนับถือทางราชการจัดให้วันสงกรานต์เป็นวันครอบครัวแห่งชาติ
เดือนหก บุญบั้งไฟ สืบเนื่องจากชาวอีสานมีความเชื่อว่า พญาแถน เป็นเทพเจ้าแห่งฝนสามารถดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลได้ ดังนั้นชาวอีสานจึงจัดงานทำบุญบั้งไฟเพื่อบูชาพญาแถนเป็นการขอบคุณและเพื่อขอฟ้าขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
เดือนเจ็ด บุญซำฮะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญเบิกบ้าน เป็นการทำบุญเพื่อบูชา เทพยดาอารักษ์ ศาลเจ้าพ่อ เจ้าปู่ หลักบ้านหลักเมือง ผีปู่ตา ผีตาแฮก และเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข การทำบุญซำฮะจึงเป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งที่เลวร้ายหรือสิ่งที่เป็นมลทินมัวหมองออกไป จากชีวิตให้ความราบรื่นเป็นปกติสุข
เดือนแปด บุญเข้าพรรษา เป็นประเพณีนิยมของชาวนาดูน ที่จะต้องทำบุญ ด้วยการนำข้าวปลาอาหาร เวชภัณฑ์ยารักษาโรค ผ้าอาบน้ำฝน เทียนพรรษา และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ไปถวายพระภิกษุ สามเณร เพราะระยะเวลา 3 เดือน คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน8 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พระภิกษุสามเณรจะอยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนั้น ตลอด 3 เดือน โดยไม่จาริกไปนอนค้างคืนที่อื่นถ้าไม่จำเป็น
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีนิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการนำข้าวปลาอาหารของคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ห่อด้วยใบตองนำไปวัดพร้อมด้วยภัตตาหารที่จะถวายพระภิกษุสามเณร ก็จะมีพิธีเปรตพลี คือพิธีกรวดน้ำทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย โดยห่อข้าวประดับดินที่เตรียมไว้ไปไว้ตามโคนต้นไม้กิ่งไม้ พร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วมารับเอาส่วนบุญส่วนกุศล
เดือนสิบ บุญข้าวสาก หรือบุญข้าวสลากภัต นิยมทำตรงกับวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 10 การเตรียมข้าวสากจะมี 2ลักษณะ คือ ห่อข้าวใหญ่เป็นห่อข้าวสำหรับถวายพระภิกษุสามเณร และห่อข้าวเล็ก เป็นห่อข้าวสำหรับอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย
เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา นิยมทำตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำเดือน 11 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนของพระภิกษุสามเณร พิธีกรรมที่นิยมทำ ได้แก่ การจุดประทีปโคมไฟ ทำบุญตักบาตรเทโว และฟังเทศน์นิทานชาดกต่างๆ
เดือนสิบสอง บุญกฐิน เป็นประเพณีนิยมของชาวพุทธโดยเฉพาะชาวนาดูนมีความเชื่อว่าการทำบุญกฐินเป็นการทำบุญที่ได้กุศลมาก ฤดูกาลทำบุญกฐินมีกำหนด 1 เดือนคือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 พระภิกษุสามเณรจะสามารถรับกฐินได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น
นอกจากประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามแล้วอำเภอนาดูนยังมีปูชนียสถานอันทรงคุณค่าและมีความหมายที่ชี้ให้เห็นเด่นชัดถึงความเป็นดินแดนแห่งอารยธรรม ของนครจัมปาศรี อาทิเช่น
พระธาตุนาดูน เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งมีการขุดค้นพบสถูปจากซากโบราณสถาน ในปี พ.ศ.2522 ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานในตลับ 3 ชั้น ชั้นในเป็นทองคำ ชั้นกลางเป็นเงิน ชั้นนอกเป็นสัมฤทธิ์ ซ้อนกันเรียงตามลำดับ และบรรจุอยู่ในสถูปจำลองอีกชั้นหนึ่ง อุบัติการณ์ของพระบรมสารีริกธาตุครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายอันดีแก่ชาวประชาอย่างยิ่ง จึงได้ก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ ประดิษฐานไว้ให้มั่นคง เป็นปูชนียสถานและสิริมงคลอน นคือแก่ภูมิภาคนี้ต่อไป และเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาตามแนวทางแห่งบรรพชน
รอบบริเวณของพระธาตุนาดูน จะเป็นพุทธานุสรณ์สถานในภาคอีสานที่เรียกว่า พุทธมณฑลอีสาน เกิดจากการได้รับงบประมาณจากรัฐบาลนำมาพัฒนาปรับปรุงบริเวณดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในบริเวณประกอบด้วยสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและสถานที่ปรินิพพาน นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำเนรัญชราจำลองรอบองค์พระธาตุมีไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงามอีกด้วย
อีกสถานที่หนึ่งที่สำคัญ ซึ่งอยู่ห่างจากพระธาตุนาดูนไประมาณ 3 กิโลเมตร จะเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำผุดขึ้นมาจากพื้นดินอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเหือดแห้ง ชาวบ้านได้เรียกบ่อน้ำแห่งนี้ว่า บ่อน้ำดูนเมื่อครั้ง พ.ศ.2418 กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้หัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดหาน้ำในสระจัดส่งไปร่วมในพระราชพิธีรัชมหามังคลาภิเษก รัชกาลที่ 7 จึงมีประชาชนล่ำลือว่าเมื่อนำน้ำจากบ่อน้ำดูนมาอาบกินโคที่เจ็บป่วยอยู่นั้นก็จะหาย และได้นำน้ำในบ่อน้ำดูนส่งเข้าทูลเกล้าในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วยสาเหตุนี้จึง เรียกบ่อน้ำแห่งนี้ว่า บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเมื่อมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันทางหน่วยงานและชาวบ้านก็จะมานำน้ำจากบ่อนี้ไปใช้ในพิธีเสมอ
เมืองโบราณ เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นย่านที่อยู่ของชุมชนโบราณ นครจัมปาศรี ปัจจุบันบริเวณแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านกู่ บ้านดงสวรรค์ บ้านหนองแคน บ้านหนองทุ่ม บ้านสระบัว ตำบลกู่สันตรัตน์ และบ้านโพธิ์ทอง ตำบลพระธาตุอำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งในสมัยโบราณดินแดนแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา สันนิษฐานได้จากหลักฐานที่ขุดค้นพบนั่นเอง
กู่สันตรัตน์
เป็นโบราณสถานสร้างด้วยศิลาแลง แบบแผนผังและรูปประติมากรรมที่พบสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นที่พักรักษาคนเจ็บป่วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้ทรงเสด็จมาทอดพระเนตรและทรงเยี่ยมราษฎร เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2514
กู่น้อย
ห่างจากกู่สันตรัตน์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 500 เมตร จะเป็นโบราณสถานชื่อว่า กู่น้อย สร้างด้วยศิลาแลงและหินทรายสีแดง มีปรางค์กู่ 1 หลังตั้งตรงกลางล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงหนึ่งชั้น ด้านหน้าปรางค์กู่ทางทิศตะวันออกจะสร้างเป็นอาคารไม้สำหรับเป็นที่พักและประกอบศาสนกิจ ปัจจุบันอาคารไม้ไม่เหลือให้เห็น คงเหลือเฉพาะหลุมหินสำหรับฝังเสาขนาดใหญ่ให้เห็นเท่านั้น และห่างจากกู่สันตรัตน์ไปทางทิศเหนือประมาณ 500 เมตร จากหลักฐานและซากปรักหักพัง สันนิษฐานว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจอีกแห่งและทางด้านทิศตะวันออก จะเป็นโรงช้าง โรงม้า เพราะมีหลักฐานที่ปรากฏ คือ เสาไม้ยาว 5 เมตร และพบซากกระดูกฟันสัตว์เป็นจำนวนมาก ต่อมาได้ขุดค้นพบเทวรูปนางอุมา ซึ่งทำด้วยหินทรายสีขาวจึงมีผู้ขนานนามสถานที่แห่งนี้ว่า ศาลานางขาว
จะเห็นได้ว่า นครจัมปาศรี เมื่อครั้งอดีตกาลเป็นดินแดนที่เจริญทั้งด้านศิลปะขนบธรรมเนียมประเพณี และด้านศาสนา ดูได้จากโบราณสถานและปูชนียสถานทั้งหลาย ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับศาสนกิจทั้งสิ้น ประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาก็เน้นการทำบุญทำทาน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บรรพบุรุษและผู้ล่วงลับไปแล้ว อารยธรรมอันดีงามเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นมาเพียง 10 หรือ20 ปี แต่สืบทอดมาเป็นเวลานับพันปีมาแล้ว ปัจจุบันอำเภอนาดูนแม้จะเป็นเพียงอำเภอเล็กๆในจังหวัดมหาสารคามเท่านั้น แต่กลับยิ่งใหญ่ด้านอารยธรรมและความศรัทธาด้านพุทธศาสนา จึงไม่น่าแปลกที่เมื่อมาเยือนดินแดงแห่งนี้ จะได้รับการต้อนรับด้วยความอบอุ่น ยิ้มแย้ม และเป็นกันเอง ทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่า บรรพชนปลูกต้นไม้ไว้ ลูกหลานได้ร่มเย็น ดังนั้นทุกๆปี ทางจังหวัดมหาสารคามจะได้มีการจัดงานนมัสการพระธาตุนาดูน ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 หรือวันมาฆบูชา ซึ่งมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาร่วมพิธี โดยแต่งกายนุ่งขาวห่มขาว ร่วมกันสวดมนต์ดังกึกก้องกังวานราวกับเสียงระฆังสวรรค์ เราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง ควรสืบทอดความดีงามให้คงอยู่คู่ดินแดนแห่งนี้ ตราบนานเท่านาน
ข้อมูลจาก:http://muiya.multiply.com/ |
|
|
|
|
|
|
|
|
13 พ.ค. 2552 เวลา 01:39:32 |
|
|
|