ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
ชื่อว่าคองคูณค้ำไผทำเป็นประโยชน์ เถ้าแก่เด็กหนุ่มน้อยทำได้ก็ฮุ่งเฮือง แปลว่า ศีลธรรมจารีตประเพณีอันดี ใครยึดถือปฏิบัติได้ ย่อมเจริญรุ่งเรือง หมายถึง ควรยึดถือปฏิบัติ ประพฤติตามหลักศีลธรรมจารีตประเพณีอันดีงาม อย่าได้ละทิ้ง


  ค้นหากระทู้ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1  
  โพสต์โดย   5) พญาคันคาก  
  บักแหมบ    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
คุณพ่อใหญ่หนู:
เจ้าคือสิเกิดโดนเติบเนาะ.....เว้านิทาน..พญาคันคาก....ได้....บ่ธรรมดา...ขอรับ...ชมเชย...หลาย....กับ...ขอขอบคุณที่สอนให้ล็อกอิน....เปลี่ยนซื่อจาก...เซียงโอก  เขยชัยนาท....มาเป็นพ่อใหญ่หนูแล้วเด้อ...ขอรับ



คนขอนแก่นกะเป็นจั่งซี่หล่ะ พอใหญ๋

 
 
สาธุการบทความนี้ : 294 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 293 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:59:10  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   10) นิทาน เรื่อง ฝากเยี่ยว ต่ำกว่า 19 ปี ห้ามเข้า  
  บักแหมบ    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
คุณพ่อใหญ่หนู:
นิทานเมืองร้อยเอ็ด........เป็นตายาน....แทะๆ


สิลองไปเฮ็ดเบิง......กะได๋เด้อพ่อใหญ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 522 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 522 ครั้ง
 
 
  16 ก.ค. 2551 เวลา 12:43:24  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   40) อีรอก ครับ อีรอก  
  บักแหมบ    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
เฒ่ากะเฒ่าแต่หน้าดอก แอวมันบ่ได๋เฒ่านำตั๊ว.......แมนบ่ บ่าวต๊อก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 30 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 30 ครั้ง
 
 
  24 เม.ย. 2551 เวลา 19:22:13  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   24) ผาแดงนางไอ่  
  บักแหมบ    คห.ที่9)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
นางไอคึสิถ่า เนื้อคูโดนแถ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 32 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 32 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:08:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  บักแหมบ    คห.ที่7)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ดีใจครับที่ได๊เกิดเป็นคนขอนแก่น

 
 
สาธุการบทความนี้ : 32 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 32 ครั้ง
 
 
  21 เม.ย. 2551 เวลา 15:18:19  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  บักแหมบ    คห.ที่8) ประวัติความเป็นมา ของอำเภอภูเวียง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 

ประวัติความเป็นมา ภูเวียงเป็นเมืองเก่ามาแต่โบราณกาล โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อแรกตั้ง จังหวัดขอนแก่น มีเพียง 3 เมืองเท่านั้น คือ เมือง ชนบท เมืองภูเวียง และเมืองขอนแก่น โดยที่เมืองภูเวียงเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก คนทั้งหลายมักจะเรียกเมืองภูเวียงว่าเป็น "หัวเมืองเอกฝ่ายตะวันตก"
ตามประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค ของอำเภอภูเวียง ปรากฎว่าเมืองประมาณ พ.ศ.2300 มีพรานป่าคนหนึ่งชื่อสิงห์ ภายลังได้รับแต่งตั้งเป็น "กวนทิพย์มนตรี" ได้เข้าไปล่าเนื้อในเขาภูเวียง กวนทิพย์มนตรีเดิมอยู่บ้าข่าเชียงพิณ อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ได้เห็นในวงภูเวียงเป็นทีราบน้ำท่าอุดมสมบูรณ์เป็นทำเลที่เหมาะสมแก่การทำมาหากิน จึงชักชวนพี่น้องเข้าไปตั้งหลักฐานบ้านเรือนครั้งแรก อพยพไปประมาณ 10 ครอบครัว ไปตั้งบ้านบริเวณบริเวณ"ด่านช้างชุม" เพราะที่ตรงนั้นมีโขลงข้างป่ามารวมกันมาก คือ บ้านเมืองเก่าในปัจจุบัน
ขณะนั้นพื้นแผ่นดินภูเวียงขึ้นกับประเทศลาว ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชขอประเทศไทย เมื่อกวนทิพย์มนตรีไปตั้งบ้านเรือน ณ ดังกล่าวและต่อมามีประชาชนเมืองยโสธร นครจำปาศักดิ์ และนครเวียงจันทร์ เข้าไปอยู่จำนวนมาก บ้านเมืองก็ขยายออกไปหลายหมู่บ้าน ทางเจ้าเมืองเวียงจันทร์ได้แต่ตั้งให้กวนทิพย์มนตรีเป็นเจ้าเมืองภูเวียง ส่งผ้าขาวเป็นเครื่องบรรณาการ แก่เมืองเวียงจันทร์
ต่อมากวนทิพย์มนตรีถึงแก่กรรม จึงตั้งท้าวศรีสุธอน้องชาย เป็นเจ้าเมืองแทน ในระหว่างนั้น พระวอพระตาเป็นกบฎต่อเมืองผู้ครองนครเวียงจันทร์ และได้หลบตัวมาอยู่ในเมืองโกมุทไสย์ (จังหวัดหนองบัวลำภู) ต่อมาเจ้านครเวียงจันทร์สั่งให้ทหารจับพระวอพระตา เมื่อพระวอพระตารู้ตัวจึงหลบหนีไปอยู่ดอนมดแดงแขวงเมืองอุบลราชธานี เจ้านครเวียงจันทร์สั่งให้แม่ทัพคุมทหาร ติดตามไปจับพระวอพระตาประหารชีวิต ความทราบถึงพระเจ้าตากสินทราบพิโรธ เห็นเจ้านครเวียงจันทร์ดูหมิ่นพระเดชานุภาพ และรุกล้ำแดนไทย จึงส่งให้เจ้าพระยาจักรี (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) และเจ้าพระยาสุรสิห์ (สมเดชกรมพระราชวังบวร) สองพี่น้องยกทัพไปปราบเจ้านครเวียงจันทร์ ปรากฎว่าพระยาจักรีตีนครเวียงจันทร์แตก และเข้ายึดเมืองนครเวียงจันทร์ และหลวงพระบางไว้ได้ ต่อมาท้าวศรีสุธอเจ้าเมืองภูเวียง ซึ่งอยู่ในความปกครองของเจ้าผู้ปกครองนครเวียงจันทร์ไหวตัวทัน จึงยอมอ่อนน้อมต่อพระยาจักรี และพระยาจักรีจึงสั่งให้ท้าวศรีสุธอกลับไปเป็นเจ้าเมืองภูเวียงดังเดิม และให้ขึ้นกับเจ้าเมืองหนองคายซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ท้าวศรีสุธอถึงแก่กรรม ทางราชการได้แต่งตั้งเจ้าเมืองต่อจากท้าวศรีสุธอต่อมาอีก 2 คน เมื่อท้าวสุธอที่ 3 ถึงแก่กรรม พระศรีธงชัยเป็นเจ้าเมืองแทนเมื่องพระศรีธงชัยถึงแก่กรรม ข้าหลวงจันทร์มาซึ่งส่งมาจากหนองคายเป็นเจ้าเมืองแทน แล้วจึงยุบภูเวียงเป็นอำเภอ ขึ้นตรงต่อจังหวัดขอนแก่น เมื่อประมาณปี พ.ศ.2369

 
 
สาธุการบทความนี้ : 563 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 562 ครั้ง
 
 
  21 เม.ย. 2551 เวลา 15:23:06  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  บักแหมบ    คห.ที่9) ของดี ของเมืองภูเวียง (ไดโนเสาร์)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ขอนแก่นเมื่อพูดถึงอุทยานแห่งชาติภูเวียงนักท่องเที่ยวก็ต้องนึกถึงไดโนเสาร์ ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ว่าบริเวณที่ ราบสูงที่อยู่ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน นั้นจะเคยเป็นบ้านของไดโนเสาร์มาก่อน จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีการสำรวจแหล่งแร่ยูเรเนียมในบริเวณอุทยานแห่งชาติภูเวียง ระหว่างการสำรวจนักธรณีวิทยาได้ ค้นพบซากกระดูกชิ้นหนึ่งเข้า และเมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ชาวฝรั่งเศสวิจัยผลปรากฏออกมาว่าเป็นกระดูก หัวเข่าข้างซ้ายของไดโนเสาร์ จากนั้นนักสำรวจ ก็ได้ทำการขุดค้นกันอย่างจริงจังเรื่อยมากระทั่งปัจจุบันบนยอดภูประตูตีหมา หลุมขุดค้นที่ 1 ได้พบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์หนึ่ง มีลำตัวสูงใหญ่ประมาณ 15 เมตร คอยาว หางยาว เป็นพันธุ์กินพืชซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน จึงได้อัญเชิญพระนามของ สมเด็จพระเทพฯ มาตั้งชื่อไดโนเสาร์พันธุ์นี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า "ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่" (Phuwianggosaurus Sirindhornae) และในบริเวณหลุมขุดค้นเดียวกันนั้นเอง นักสำรวจได้พบฟัน ของไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อปะปนอยู่มากกว่า 10 ซี่ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า โซโรพอดตัวนี้อาจเป็นอาหาร ของเจ้าของฟันเหล่านี้ แต่ในกลุ่มฟันเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งซี่ที่มีลักษณะ แตกต่างออกไป เมื่อนำไปศึกษาปรากฏ ว่าฟันชิ้นนี้เป็นลักษณะฟันไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่ไม่เคย ค้นพบมาก่อนเช่นกัน จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ นายวราวุธ สุธีธร ว่า "ไซแอมโมซอรัส สุธีธรนี่" (Siamosaurus Suteethorni) ผู้สนใจสามารถเดิน ทางไปชมได้ หลุมขุดค้นที่ 1 นั้นอยู่ไม่ไกลจาก ที่ทำการอุทยาน และยังสามารถเดินไปชมหลุมขุดค้นที่ 2 และ 3 ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงด้วยฟอสซิลของ "ไซแอมโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส" (Siamotyrannus Isanensis) เป็นสิ่งที่ชี้ว่า ไดโนเสาร์ จำพวกไทรันโนซอร์มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพราะฟอสซิลที่พบที่นี่เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด (120-130 ล้านปี) แต่กระดูกชิ้นนี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯบริเวณหินลาดป่าชาด หลุมขุดค้นที่ 8 พบรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวน 68 รอย อายุประมาณ 140 ล้านปี เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์เล็กที่สุดในโลกเดิน 2 เท้า แต่หนึ่งในรอยเท้า เหล่านั้นมี ขนาดใหญ่ผิดจากรอยอื่น คาดว่าเป็นของคาร์โนซอรัส การไปชมควรเดินทางด้วย รถขับเคลื่อน 4 ล้อใช้ เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ห่างจากที่ทำการ 19 กม.

ส่วนฟอสซิลดึกดำบรรพ์อื่นๆที่ขุดพบ เช่น ซากลูกไดโนเสาร์ ซากจระเข้ขนาดเล็ก ซากหอย 150 ล้านปี จะ อยู่กระจัดกระจายกันตามหลุมต่างๆ

ความน่าสนใจของที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงไดโนเสาร์เท่านั้น ยังมีการพบร่องรอยอารยธรรมโบราณด้วย โดยพบ "พระพุทธรูปปางไสยาสน์" ประติมากรรมนูนสูงสลักบนหน้าผาของยอดเขาภูเวียง สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พุทธศตวรรษที่ 14 ลักษณะท่านอนได้รับอิทธิพลจากอินเดีย พระเศียรหนุนแนบกับต้นแขนขวา แขนซ้าย ทอดไปตามลำพระองค์ นอกจากนี้"ถ้ำฝ่ามือแดง" ที่บ้านหินร่องมีงานศิลปะของมนุษย์ถ้ำโบราณ ลักษณะ ของภาพเกิดจากการพ่นสีแแดงลงไปในขณะที่มือทาบกับผนังถ้ำก่อให้เกิดเป็นรูปฝ่ามือขึ้น

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ในบริเวณอุทยานฯจะมีน้ำตกอยู่สองสามแห่ง "น้ำตกทับพญาเสือ" เป็น น้ำตกเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำฝ่ามือแดง "น้ำตกตาดฟ้า" เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15 เมตร สามารถเข้าถึงได้ทางรถยนต์ อยู่ห่างจากอำเภอภูเวียง 18 กม.และขึ้นเขาไปอีก 6 กม. ตรงต่อไป จาก น้ำตกตาดฟ้าอีก 5 กม. จะถึง "น้ำตกตาดกลาง" สูงประมาณ 8 กม. นอกจากน้ำตก ก็ยังมีแหล่งท่อง เที่ยวประเภท ทุ่งหญ้าและลานหิน ซึ่งจะมีดอกไม้ป่านานาพันธุ์บานในช่วงหลังฤดูฝน ได้แก่ "ทุ่งใหญ่เสา อาราม" "หินลาดวัดถ้ำกวาง" และ "หินลาดอ่างกบ"

พื้นที่อุทยานฯครอบคลุมอำเภอภูเวียง อำเภอสีชมพู และอำเภอชุมแพ มีพื้นที่ 380 ตรกม. การเดินทาง จากตัวเมืองขอนแก่นใช้เส้นทางขอนแก่น-ชุมแพ (ทางหลวงหมายเลข 12) เป็นระยะทาง 48 กม. แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2038 เป็นระยะทาง 18 กม. ถึงอำเภอภูเวียง แล้วใช้ เส้นทางภูเวียง-บ้านเมืองใหม่ ไปจนถึงกม.ที่ 23 จะเป็นบริเวณที่เรียกว่า "ปากช่องภูเวียง" ซึ่งมี หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติภูเวียงตั้งอยู่ เดินทางต่อไปจนถึงกม.ที่ 30 เลี้ยวซ้ายตรงทางเข้าอ่างเก็บ น้ำบ้านโพธิ์ เป็นระยะทาง 7.7 กม. ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ภูเวียงที่ "ภูประตูตีหมา" ภายใน อาคารมีการจัดแสดงนิทรรศการและซากกระดูกส่วนต่างๆ ของไดโนเสาร์ที่ขุดพบบริเวณภูเวียง โดยมีคำ อธิบายลักษณะและการเกิดซากต่างๆ เหล่านี้

 
 
สาธุการบทความนี้ : 464 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 464 ครั้ง
 
 
  21 เม.ย. 2551 เวลา 15:43:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  บักแหมบ    คห.ที่10) ของดี ของเมืองภูเวียง (พัทยา2)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ตั้งอยู่ที่บ้านหนองกุงเซิน ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ 78 กม. เป็นทะเลสาบ ขนาดประมาณ 20 ไร่ มักจะมีผู้คนท้องถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ ปิกนิกกันที่นี่ เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่งดงามโดยมีเทือกเขาภูพานคำตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังแล้ว ยังได้นั่งรับประทานปลาน้ำจืดนานาชนิด (ที่หา ได้จากทะเลสาบนี้เอง) เคล้าบรรยากาศที่เย็นสบาย สำหรับผู้ที่ต้องการทำกิจกรรมทางน้ำ ที่นี่มีบริการให้ เช่าสกู๊เตอร์ และ ห่วงยาง

การเดินทาง จากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 12 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2038 ตรงไป ประมาณ 12 กม. เลี้ยวขวาเข้าถนนเกียรติสุรนนท์ ตรงไปประมาณ 12 กม. เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านค้อ และเลี้ยวซ้ายอีกทีตรงวัดโสภารัตนพัฒนาราม ตรงไปและเลี้ยวขวาอีกครั้งหนึ่ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 952 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 952 ครั้ง
 
 
  21 เม.ย. 2551 เวลา 15:45:51  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) ขอนแก่น  
  บักแหมบ    คห.ที่13)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ใกล้กันอยู๋ครับกับบ้านกุดดุก
บั๊ดฮาไปหยามมื่อหน้าอย่าลืม
แว บ้านสวนกล้วยเด้อ ผู้บ่าวเฮิม
ทางเดียวกันกับบ้าน กุดดุก อั่นแหล่ว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 996 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 996 ครั้ง
 
 
  24 เม.ย. 2551 เวลา 19:16:45  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) หนองคาย  
  บักแหมบ    คห.ที่4) เล่าขานตำนานบั้งไฟพญานาค      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 


  
ลูกไฟประหลาดที่พวยพุ่งขึ้นกลางลำน้ำโขง สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานแล้วส่วนมากเชื่อกันว่าเกิดจากการกระทำของพญานาค


        
       ตราบจนทุกวันนี้ เจ้าลูกไฟสีแดงอมชมพูที่พวยพุ่งขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง ช่วงรอยต่อของ จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ ในทุกคืนของวันออกพรรษา(15 ค่ำเดือน 11) ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า“บั้งไฟพญานาค” ยังคงเป็นปริศนาที่ดำมืดรอคอยให้มนุษย์ขี้สงสัยทั้งหลายพิสูจน์กันต่อไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
      
       แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นดังสีสันในการพูดคุยเรื่องบั้งไฟพญานาค ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวกล่าวขานที่เกี่ยวกับตำนานพญานาค ???
      
       ซึ่งจากตำนานของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานที่อยู่ริมฝั่งโขง มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาวนั้น ในอดีตกาลเป็นเมืองที่สร้างและปกครองเมืองโดยพญานาค
      
       โดยที่เขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จุดที่พบบั้งไฟมากที่สุดเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ของพญานาค ส่วนที่แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ จ.หนองคายนั้นถือว่า เป็นเมืองหลวงของพญานาค เนืองจากว่าจุดนั้นเป็น “สะดือแม่น้ำโขง” หรือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งชาวประมงเคยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปในหน้าแล้งแล้ววัดดูปรากฏว่ามีความลึก 99 วา ของผู้ใหญ่
      
       ทั้งนี้เรื่องของพญานาคและเมืองบาดาลก็ได้ไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ
      
       เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้....
      
       เราจึงเห็นบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น !?!
      
       และนี่ก็คือเรื่องราวของตำนานบั้งไฟพญานาค ที่แม้วันนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทว่าสำหรับคนที่สงสัย อยากรู้ อยากดู อยากเห็น ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือวันออกพรรษาซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 14 ต.ค.ก็สามารถเดินทางไปพิสูจน์กับตาตัวเองได้ที่ อ.โพนพิสัย และ อ.ใกล้เคียงในจังหวัดหนองคาย
      
       และตราบเท่าที่ ความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเกี่ยวกับพญานาคยังคงดำรงอยู่ คนอื่นๆ ที่อยู่นอกพื้นที่ก็ควรยึดหลักที่ว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”

 
 
สาธุการบทความนี้ : 765 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 765 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 13:17:29  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   28) น้ำตาเมีย  
  บักแหมบ    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ดีใจนำเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 28 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 28 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 11:59:40  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   29) นางปากเป็น  
  บักแหมบ    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ปลาเข็งตายหย่อนปาก ตั๊วะนี่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 29 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 29 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 11:57:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   30) เล่ห์ลูกเขย  
  บักแหมบ    คห.ที่6)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ว่าจั่งซั่นหล่ะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 27 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 27 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:06:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   31) ศึกกลางหมู่บ้าน  
  บักแหมบ    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
หามาลงอีกแน.........บาวภาส

 
 
สาธุการบทความนี้ : 24 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 24 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:04:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   32) มณีพิชัย / ยอพระกลิ่น  
  บักแหมบ    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
คุณบักต๊อก:
แล้วย้อนพระอินทร์ตั้วนี้



อีหลีครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 25 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 25 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:03:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   35) ตำนานผาแดงนางไอ่ (เวอร์ชั่นลำลอง ของแม่ ฉวีวรรณ ดำเนิน)  
  บักแหมบ    คห.ที่0) ตำนานผาแดงนางไอ่ (เวอร์ชั่นลำลอง ของแม่ ฉวีวรรณ ดำเนิน)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
คลิกไปที่ Link นี้เด้อพี่น้อง


http://sakoldham.snru.ac.th/seangdham_yosakol.html

 
 
สาธุการบทความนี้ : 430 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 430 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:32:16  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   36) ตำนานผาแดงนางไอ่ (เวอร์ชั่นละเอียด)  
  บักแหมบ    คห.ที่0) ตำนานผาแดงนางไอ่ (เวอร์ชั่นละเอียด)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
ตามเรื่องที่เล่าขานสืบต่อกันมามูลเหตุที่ทำให้เกิด "หนองหาน" ต้นลำน้ำปาว ในปัจจุบันมีเรื่องเกี่ยวพันกับวรรณคดีของอีสานเรื่อง "ผาแดง - นางไอ่"นิยายรักระหว่าง "หนึ่งหญิง สองชาย"เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนตายก็กลายเป็นสงครามทำให้บ้านเมืองถล่ม ถลายเป็นหนองน้ำใหญ่และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้เป็นปฐมเหตุของบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีที่ขึ้นขึ้นลือชาของชาวอีสานพระยาขอมผู้ครองเมืองเอกชะทีตา มีธิดานางหนึ่งชื่อ "นางไอ่คำ"เป็นสตรีที่มีรูปร่างงดงาม อยู่ในวัยรุ่นและความงามของนางเป็นที่เลืองลือไปถึงบรรดาเจ้าชายเมืองต่าง ๆจนเป็นที่หมายปองอยากจะได้มาเป็นคู่ครองทุกคนท้าวผาแดงโอรสเจ้าเมืองผาโพงได้ทราบข่าวเล่าลือ ถึงความงดงามของนางไอ่ก็เกิดความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอันมากจึงวางแผนทอดสัมพันธไมตรีด้วยการเตรียมแก้วแหวนเงินทองพร้อมด้วยผ้าเนื้อดีไปฝากนางไอ่เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้นางไอ่ตามที่ท้าวผาแดงประสงค์ และเล่าถึงความงามองอาจ ผึ่งผาย สมชายชาตรีของผาแดงให้นางไอ่ฟังเท่านั้นนางก็เกิดความสนใจและฝากเครื่องบรรณาการไปให้ท้าวผาแดง เป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน ก่อนที่มหาดเล็ก จะเดินทางกลับนางไอ่ได้ฝากคำกล่าวเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองให้เข้าไปในเมืองขอมเพื่อพบกับนางด้วยเมื่อทั้งสองได้พบกันความรักก็เกิดขึ้นและรุนแรง อาจเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อนของทั้งคู่ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองรักกันฝ่ายท้าวพังคีโอรสของอดีตชาติบันดาลให้เป็นไปโดยเรื่องมีอยู่ว่าท้าวพังคีในอดีตชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นใบ้เดินทางขอทานไปตามหมู่บ้านต่างๆจนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่งจึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยทำงานให้เศรษฐีคนนั้นโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยทำให้เศรษฐีพอใจและรักใคร่เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นชาติปางก่อน (อดีตชาติ)ของนางไอ่ให้เป็นภรรยาท้าวพังคีในชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ไม่เหมือนใครแทนที่จะรักใคร่ภรรยา ของตนแต่เขาเขากลับไม่สนใจใยดี ไม่เคยรวมหลับนอนด้วยกันแม้แต่ครั้งเดียวแต่ภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกให้ใครทราบนางปรนนิบัติสามีเยื่องภรรยาที่ดีเสมอมาต่อมาท้างพังคีคิดถึงบ้านจึงพาภรรยาเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอน เศรษฐีผู้เป็นบิดาจัดเสบียงให้มีภรรยาเป็นคนหาบเสบียงให้




ส่วนหนุ่มพังคีไม่เคย ช่วยเหลือนางเลยทำให้นางลำบากและเหน็ดเหนื่อยมากในขณะที่เดินข้ามห้วย ภูเขาและป่าดงพงไพรจนกระทั่งเสบียงที่นำไปหมดลงกลางทางท้าวพังคีเห็นต้นมะเดื่อมีผลสุกเต็มต้นจึงขึ้นไปเก็บกินต่างข้าวฝ่ายนางไอ่คอยให้สามีโอนผลมะเดื่อสุกลงมาให้ไม่ไดรับความสนใจส่วนสามีกินอิ่มคนเดียวแล้วลงมาจากต้นมะเดื่อเดินหนีไปนางจึงตัดสินใจขึ้นไปเก็บกินเองเมื่อนางกินอิ่มแล้วลงจากต้นมะเดื่อ ไม่พบสามีเดินตามหาอย่างไรไม่พบนางจึงมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งพอมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งนางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินพอมีความสดชื่นขึ้นมาบาง"ชาติหน้าขอให้สามีนอนตายอยู่บนกิ่งไม่อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย"ด้วยแรงอธิษฐานของนางในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคีส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่




เมื่อนางไอ่ผู้มีสิริโฉมงดงามเติบโตเป็นสาวแล้วพระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีใบฎีกาแจ้งข่าวให้หัวเมืองน้อยใหญ่จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะทีตาจุดประสงค์เพื่อจุดขึ้นไป บูชาพระยาแถนอยู่บนฟ้าให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาลประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟของคนใดขึ้นสูงกว่าเพื่อนคนนั้นจะได้นางไอ่ เป็นคู่ครองพระยาขอมได้กำหนดวัน ขึ้น๑๕ค่ำเดือน ๖ เป็นวันงานทำให้บ้านเมืองน้อยใหญ่บุญบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาแข่งกันมากมายงานบุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานที่ใหญ่โตมากพอถึงวันงานผู้คนหลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศมีการแข่งขันตีกอง หรือภาษาอีสานเรียกว่า "เส็งกอง"กันกย่างครึกครื้นหนุ่มสาวต่างเกี้ยวพาราสี กันอย่างสนุกสนานแม้งานบุญบั้งไฟครั้งนี้ท้างผาแดงจะไม่ได้รับหนังสือฎีกาบอกบุญแต่ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วยพระยาขอมได้ให้การต้อนรับ ท้าวผาแดงเป็นอย่างดีฝ่ายท้างพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาลทราบข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วยทั้งนี้เพราะท้าวพังคีต้องการชมโฉมนางไอ่ เป็นกำลังอยู่แล้วและคิดในใจว่าจะต้องไปชมบุญบั้งไฟครั้งนี้แม้ว่าบิดาจะห้ามอย่างไรก็ตามก่อนที่จะโผล่ขึ้นที่เมืองเอกชะทีตาของพระยาขอมท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนูษย์บางเป็นสัตว์บางส่วนตนเองแปลงร่างเป็น"กระรอกเผือก" หรือภาษาอีสานเรียกกระรอกดอน"ออกติดตามชมความงามของนางไอ่ขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล การแข่งขันบั้งไฟ เป็นไปด้วยความสนุกสนานทุกคนจดจ่ออยา lang="TH">ใครจะชนะและ ได้นางไอ่เป็นคู่ครองซึ่งการแข่งขันบั้งไฟในครั้งนั้นท้าวผาแดงกับพระยาขอมมีการพนันกันว่าถ้าบั้งไฟของท้าวผาแดงชนะพระยาขอมจะยกนางไอ่ให้เป็นคู่ครองผลการแข่งขันปรากฏว่าบั้งไฟของพระยาขอมและท้าวผาแดงต่างไม่ขึ้นด้วยกันทั้งสองบั้งคงมีแต่บั้งไฟของพระยาแดดเมืองฟ้าแดดสูงยางและของพระยาเชียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเวลานานถึงสามวัน สามคืนจึงตกลงมาและพระยาทั้งสอง เป็นอาของนางไอ่ด้วยการแข่งขันเพื่อได้นางไอ่เป็นรางวลันั้นจึงล้มเลิกไป


เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้วท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้เพราะหลงใหลในสิริโฉมของนางไอ่จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิมส่วนที่คอจะแขวนกระดิ่งทองไว้กระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่เสียงกระดิ่งทอง ดังกังวาลขึ้นนางไอ่ได้ยินเสียงกระดิ่งเกิดความสงสัยจึงเปิดหน้าต่างออกมาเห็นกระรอกเผือก มีความพอใจอยากได้นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีจากบ้านกงพานตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ไม่ว่าจะจับตายหรือจับเป็นนายพรานออกติดตามกระรอกเผือกที่กระโดกไปตามกิ่งไม้ เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอนบ้านน้ำฆ้อง นายพรานไม่ได้โอกาสเหมาะสักทีจึงไล่ติดตามไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านนาแบกบ้านดอนเงินบ้านยางหล่อบ้านเหล่าใหญ่บ้านเมืองพรึก บ้านม่วงไม่มีโอกาสยิงกระรอกในที่สุดผลกรรมเก่าในที่สุดผลกรรมเก่าตามมาทันขณะที่กระรอกมา ถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้นก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อสุกด้วยความหิวโหย ในพรานจึงได้โอกาสยิ่ง กระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษเมื่อถูกยิ่ง ท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเอง จะต้องตายแน่นอนจึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตายได้อธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนได้ทั่วถึงเมื่อกระรอก สิ้นใจตายนายพรานกับพวกนำเอาไปชำแหละที่บ้านเชียงแหวแบ่งให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้และบ้านไกล ได้กินกันโดย ทั่วถึงยกเว้นบ้านดอนแม่หม้ายที่ไม่มีผัวหรือบ้านดอนแก้วซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทุ่งหนองหานจึงรอดพ้นจากการถูกทล่มทลายและยังปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน


เมื่อบริวารไปบอกพระยาพังคีพญานาคโกรธแค้นมาก จึ่งสั่งบาวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินขณะที่บ้านเมืองพระยานาคถล่มทลายอยู่นั้นท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า"บักสาม"มุ่งหน้าไปหานางไอ่เห็นนาคเต็มไปหมดและเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟังนางไอ่ไม่สนใจแต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงรับประทานท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไรจึงมีกลิ่นหมอนักได้รับตอบว่าเนื้อกระรอกเผือกที่ถูกนายพรานยิงตายพอตกตอนกลางคืนผู้คนหลับสนิทเหตุการณ์ที่ใคร ๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคือมีเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดิน เมืองเอกชะทีตาของพระยาขอมถล่มทลายลงเป็นหนองหานน้อยซึ่งเป็นต้นน้ำปาวในปัจจุบันท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้น หลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้พ้นภัยแต่เนื่องจากนางไอ่ได้รับประทานเนื้อกระรอกเผือกกับเขาด้วยแม้จะหนีไปทางไหนพวกนาคตามไปแผ่นดินถล่มถล่มทลายไปด้วยท้าวผาแดงมุ่งหน้าไปทาง ห้วยสามพาดเพื่อหนีไปเมืองผาโพงแต่ไร้ผลเพราะถูกพวกนาคติดตามไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ ถูกนาคใช้นาคฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันที


เมื่อนางไอ่จมดินไปต่อหน้าต่อตา ท้าวผาแดงกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่ตลอดเวลาข้าวปลาไม่ยอมกินจนผ่ายผอม และล้มป่วยในที่สุดตรอมใจตายตามนางไอ่เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผีมีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วายครั้งมีโอกาสเหมาะผีท้าวผาแดงสั่งไพร่พลเตรียมตัวเดินกองทัพผีไปรบกับพญานาคให้หายแค้นผีท้าวผาแดงมีบริวารผีเป็นแสน ๆ การเดินทัพมีเสียงดังอึกทึกปานแผ่นดินถล่มได้รายล้อมเมืองบาดาลซึ่งเป็นเมืองของพญานาคไว้รอบด้านต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ชนะฝ่าย "สุทโธนาค"เจ้าเมืองบาดาลซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไปเพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรยจึงไปขอร้องท้าวเวสสุวัณผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้เมื่อท้าวเวสสุวัณได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ตามมาให้ผลในชาตินี้และทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลพอ ๆ กันท้าวเวสสุวัณ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกันไม่ต้องฆ่ากันให้มีเมฆตาต่อกันให้รักษาศีลห้าปฏิบัติธรรมและให้มีขันติธรรมทั้งผีท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณเข้าใจในเหตุผลต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการเหตุการณ์ัยยุติลงด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันและอภัยกันในที่สุด    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 671 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 669 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 12:36:40  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   37) นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง ปู่ตั๋วหลาน  
  บักแหมบ    คห.ที่0) นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง ปู่ตั๋วหลาน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง ปู่ตั๋วหลาน (ปู่โกหกหลาน)



เรื่องราวนิทานพื้นบ้านจากคำบอกเล่าของ นายวัน ทองคำ ผู้ใหญ่บ้านคำเม็ก หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งแด้ อำเภอเมืองยโสธร

....ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะที่กุดจี่สองตัวผัวเมียกำลังช่วยกันกลิ้งเบ้า (ลูกดินกลมๆที่ห่อหุ้มไข่กุดจี่) ไปตามทางผ่านหน้าหมาตัวหนึ่ง หมาสงสัยก็ถามว่าจะพากันไปไหน กุดจี่ตอบว่า จะไปเมืองลังกา (กรุงลงกา ในเรื่องรามเกียรติ์)

หมาก็ยิ่งสงสัยว่าไปทำอะไรหรือ

กุดจี่ตอบว่า ได้ข่าวว่าเมืองลงกาถูกหนุมานเผาเมืองไหม้วอดวายหมด รวมทั้งครกที่ตำอาหารก็ไหม้ จะเอาเบ้าไปทำครกถวายพระเจ้าเมืองลังกา

หมายิ่งงงและถามไปอีกอย่างดูถูกดูแคลน ว่าจะไปถึงเร้อ?? แล้วเบ้าแค่นี้จะทำครกได้อย่างไรกัน

กุดจี่ตอบทันควันว่านี่กะว่าจะไปกินงายเมืองลังกาโน่นแหละวันนี้ (หมายถึง จะไปให้ทันกินข้าวเช้า) แล้วก้อนดินนี้จะปาดออกให้เป็นครก ๓ ใบก็ได้

หมาได้ฟังก็งึดมาก (งึดนี้ แปลว่า งงหรือแปลกใจอย่างสุดๆเลย) ตั้งแต่นั้นมาหมาไม่กินกุดจี่เลย โดยถือว่ากุดจี่มีความสามารถมากกว่าตัวเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมาทุกตัวจะเมินไม่ยอมกินกุดจี่ ไม่ว่าจะตัวสด หรือ คั่ว ทอดจนสุกแล้วก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจริงๆแล้วจะเป็นเพราะหมาไม่ถูกกับกลิ่นขี้ควายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 513 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 513 ครั้ง
 
 
  09 ก.ค. 2551 เวลา 13:06:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   49) กุดนางใย เมืองมหาสารคาม  
  บักแหมบ    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์น้องเล็ก

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 21 เม.ย. 2551
รวมโพสต์ : 19
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 64140
รวม: 64140 สาธุการ

 
เป็ฯตาลิโตนอีหลี

 
 
สาธุการบทความนี้ : 35 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 35 ครั้ง
 
 
  02 ต.ค. 2551 เวลา 00:30:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1

   

Creative Commons License
กุดนางใย เมืองมหาสารคาม --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ