ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
บ้านใกล้ป่าได้อยู่เฮือนเพ บ้านใกล้เซบ่ได้กินปลาแดก แปลว่า บ้านใกล้ป่าไม้ แต่เรือนผุพัง บ้านใกล้แม่น้ำ แต่ไม่มีปลาร้ากิน หมายถึง มีของดีมีค่า แต่ไม่รู้คุณค่า ไม่นำมาใช้ประโยชน์


  ค้นหากระทู้ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1  
  โพสต์โดย   65) นิยายชีวิตอีสาน เรื่อง โสกฮัง - ตาดไฮ ( โดย บ่าวปิ่นลม พรหมจรรย์ )  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่1405)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
คุณปิ่นลม:
คุณนายฮ้อยทมิฬ:
บ๊ะ....ถืกใจผู้ข้าคักๆ

เว้าไปอีกเบิ่งดู้คับ  สิเป็นคือลุ้นไว้ในใจบ่อ

ผมมักเซียมวยรองตั้วคับ     

         /// สู้เด้อเฮา เซียงน้อย ///


คอนตินิว ขะรับ พ่อตู้

หกโมงเซ้า..เสียงพระเพิ่น ถั่งโปง เสียงโปงที่ทำจากไม้ยางใหญ่ เจาะเป็นรูด้านล่าง เป็นเสียงความถี่ต่ำ
เสียงทุ้ม เวลาแขวนไว้ใกล้ๆพื้นดิน ( ไม่นิยมแขวนโปงไว้สูง เนื่องจากมันจะดังกังวานไม่ไกล ) เพราะเวลา
ตีโปง เสียงโปง จะเดินทางเลี่ยดิน ทำให้ได้ยินไปไกลหลายกิโล  
   “ ปุ้ง ..ปุ้ง.ปุ้ง  ปุ๊งๆๆ ! ”  เสียงดังห่าง แล้วค่อยๆ ถี่เข้า เป็นจังหวะสัญญาณบอกว่า พระท่านจะออกบิณฑบาตแล้ว   ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาว เด็กน้อย ก็ทยอยกันถือ กระติ๊บข้าวเหนียว เดินมารอคอยตามทาง
ที่หลวงพ่อจะ เดินผ่าน  แม่ใหญ่มูล เฮือนใกล้วัด จูงแขนเอาหลานน้อย อายุสามขวบ ออกมายืนรอ
อยู่หน้าประตูโขง ( ซุ้มประตูวัด )  พระเณร จัดแจงเตรียมบริขาร เสร็จแล้ว  กำลังทยอยกันเข้าแถวตามอาวุโส หลวงพ่อนำหน้า  ตามด้วยครูบาสาย   ยาคูปุ้ม และเณรน้อยสามองค์
แสงอาทิตย์ตอนเช้า แผ่ฉัตรรังสี อาบทา ทุกหลังคาเฮือนในหมู่บ้านห้วยแฝก  แสงแดดอ่อนๆ
ลอดคบคาไม้ กระทบผ้าไตรจีวรสีเหลืองอร่าม มองดูงามตาเย็นใจ   หลวงพ่อทอดเท้าลงเหยียบหญ้า
ที่ประพรมด้วยน้ำค้าง ทำให้รู้สึกเย็นระเยือกจากฝ่าเท้าสู่หัวใจ เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสถึงธรรมชาติ ของ
ผืนดิน ผืนทรายและยอดหญ้า  ขี้หินแห่ ที่ตากน้ำค้างตลอดคืน ทั้งแข็งและเย็น เมื่อใดที่เหยียบย่าง
เหมือนดั่งบอกเล่า ความทรมานของหิน ผ่านฝ่าเท้า  
หลวงพ่อหลับตาภาวนาจิต ก่อนออกนอกประตูโขง เหมือนจะตั้งจิต ให้ซึมซับธรรมชาติ ให้เป็นหนึ่ง
กับสิ่งเป็นไปรอบตัว กำหนดจิตรับรู้สรรพสัตว์  และความทุกข์ทรมานของสัตว์โลก ก่อนก้าวเท้าออก
บิณฑบาต  แม่ใหญ่มูลได้ใส่บาตร เป็นคนแรก แกถอดรองเท้า นั่งหยองๆ ยกกระติบข้าวขึ้นเหนือหัว
“ ข้าวของขะเจ้า ขาวดั่งดอกบัว ยกขึ้นใส่หัว ถวายแด่พระสงฆ์   จิตใจจำนง  ตรงต่อพระนิพพาน
ในอนาคตกาล  เบื้องหน้านู้น เทอญ “
สิ้นคำอธิฐาน ตามโบราณเพิ่นกล่าวไว้ แม่ใหญ่มูล ก็ เปิดติ๊บข้าว จกข้าวใส่บาตร ใบหน้าอิ่มเอิบด้วยสุข
“ หลวงพ่อ มื้อคืน ฟังเสียงสะนูบักเซียงน้อย คือมาจ้อจั้นแถะ ลมบนปั่นป่วน บ้านเฮาสิเกิดเรื่องบ่ดี บ้อ”
แม่ใหญ่มูลถามหลวงพ่อหลังจากใส่บาตรแล้ว  

“ โยมมูลเอ้ย..บ่มีหยังดอก  ประสาลมกับว่าวซือ ๆ ยามมันอยากปี้น  มันกะปี้น หยามหงายมัน
กะหงาย ”
หลวงพ่อเอ่ยเท่านั้นก็ผ่านไป  ยายมูลมองตามแถวพระเณรที่ผ่าน ลมหนาวหอบมาแรงวูบหนึ่ง
ผ้าจีวรหลวงพ่อสะบัดตามแรงลม พลิ้วไหว งดงามยิ่ง
...........................................................................
บรรยากาศบนเฮือนจันทร์เพ็ญ ครึกครื้น  เสียงลุงคำ ดังกว่าหมู่ เพราะฤทธิ์เหล้าขาว ต่างโสกันจอแจ
“ จันแรมอีหล่า  จี่ไตไก่ มาให้ลุงแกล้มเหล้า แน”  ลุงคำเอิ้นหาแนวขบเขี้ยว
“ บ่ให้ดอก ข่อยสิเอาไว้จี่กิน”  “ สูกินสิหยังไตไก่ แม่หญาแม่หญิง มันหยาบ มันมึน มันปึก มันหนา”
“ มีปากแต่ซุมหมู่เจ้าละเนาะ ” จันแรมบ่ยอมแพ้ “ บะอีน้อยๆ อันนี่ หลื่นควม บ่คือเอื้อยมันเนาะ”
ลุงคำข่อนขอด แล้วกะหันไปโสเหล่ต่อ
“ ข่อยว่า เขากะฮั่งกะมี ซงสิเลี้ยงอีจันเพ็ญ ได้ซำบายอยู่ดอก  ให้มันเอากันโลด ”  ลุงคำว่าพลางกระดก
เหล้าขาวเข้าปาก
“ โอ้ย.. เพิ่นฮั่ง โตทุกข์ เขาสิเย้ยหยันเอา แล่ว  ยามไปอยู่นำเขา ” อาวสอนคัดค้าน
“ สูคือบ่ถามอีจันเพ็ญมันแน มันฮักกันอยู่ติ ” ป้าลุนสอดแทรกความคิดเห็น
“ อยู่ๆกันไป กะฮักกันเองแหละ  ว่าแต่มันเจริญก้าวหน้าดอก ”  แม่ใหญ่หล่า ส่งเสริม
“ เฮือนใหญ่ก้วง ขวงใจกะเป็นแคบ  ตูบต่อเล้าสุขใจเข้า กะใหญ่หลวงเด้อ”  จารย์มา จ่ายผญาตัดบท
“ แม่น ๆ คนเฮาบ่แม่นข่องใส่ปลาเด้อ ตั้งไว้ม่องใด๋ กะอยู่หั่น ” อาวสอนหัวร่อถูกใจ
“ เอ้าบักค้ำ ในฐานะพ่อมัน มึงสิว่าจั่งใด๋ ตัดสินใจเด้อ ยามล่ามเขามา สิได้ตอบเขา “ แม่ใหญ่หล่า
ชม้ายตา มาทางผู้เป็นพ่อของจันเพ็ญ แต่แกก็ยังนิ่งงัน
“ เอ้าอีสอง แม่อีจันเพ็ญ ว่ามา สูสิเอาแนวใด๋   ” ลุงคำคาดคั้นเอาความกับอีกคน
“ ข่อยกะแล้วแต่ลูกมันดอก..อยากเอากะเอา ยังบ่อยากเอากะซ่าง... ”
“ เอ้า.คันสั้น ไปเอิ้นอีจันเพ็ญมาถาม  มันสิว่าแนวใด๋ ”  แม่ใหญ่สอนโพลงขึ้นเสียงดัง

“ อีจันเพ็ญ มาพี้  มาเบิ่งดู้ มึงสิเอาบักต้าง อยู่บ่ ” ลุงคำเรียกจันเพ็ญเสียงดัง
จันเพ็ญสะดุ้งเฮือก เนื่องจากอัดอัดใจ ไม่อยากบอก การตัดสินใจของตัวเอง และหลีกเลี่ยงคำตอบ
เพราะในหนึ่ง สงสารพ่อ พ่อคงอยากให้แต่งงานกับอ้ายต้างรถจ๊ก  ในหนึ่งสารสารอ้ายเซียงน้อย
เลาสิอยู่จั่งใด๋ เลาสิทรมานใจ ย้านเลาเสียผู้เสียคน
“ ข่อยบ่มัก ข่อยบ่เอา อ้ายต้างรถจ๊ก... แข่วเเจิง ! ”   เสียงตอบกลับมาเสียงดัง
“ อีห่า ! จันแรม  ซุมกูบ่ได้ถามมึง  บ่อต้องมาตอบแทนเอื้อยมึง ไปไสกะไปเด้อ ห่วย ”
ลุงคำคู่กัด โพลงขึ้นเสียงแข็งปนอยากหัวเราะ หลานสาว
จันเพ็ญ ค่อยๆ คลานเข้ามากลางวง สีหน้าเจื่อนๆ     เสียงจอแจต่างเงียบงัน เมื่อทุกคนตั้งใจฟังคำตอบ   คำตอบที่ชี้ชะตาชีวิตของจันเพ็ญ  แม้มีคนทั้งเห็นด้วย และคัดค้าน หากแต่ทุกคนก็ให้สิทธิ์
ในการพิพากษา เป็นของจันเพ็ญ  ทุกอย่างนิ่งเงียบ..จนได้ยินเสียงหัวใจเต้น  จันแรมลุ้นตัวโก่งอยู่ด้านนอก
ลุงคำตาจ้องเป๋งไปยังร่างหลานสาวผู้กำลังเลือกเส้นทาง ทุกอย่างช่างอัดอัด และเงียบงัน  อากาศตอนเช้าที่
แสนหนาวเย็น แต่กลับร้อนรุ่มสำหรับสาวน้อย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาวะบีบค้นเกาะกุมทุกอณูอากาศ
เงียบ..และกดดันช่างเป็นภาวะที่สุดจะทน..........................................................
ในภาวะที่เงียบ.. เสียงหมาเห่าดังแว่วๆมาจากทางเลี้ยวเข้าบ้าน..นั่นยิ่งกดดันจันเพ็ญ นั้นเป็นสัญญาณว่า
ล่ามหรือทูตที่มาทาบทามจากบ้านโน้นเดินทางจะถึงแล้ว.....................................................................
“  อีพ้อ....อีพ่อ!.........”   เสียงตะโกนของ บุญจัน ลูกชายคนสุดท้องในบ้านดังมาจากหน้าบ้านทำลาย
ความเงียบ ทำให้ทุกคนชะเง้อมองมาทางลานหน้าบ้าน ความสนใจหลุดลอยจากร่างสาวน้อยกลางวง
พุ่งตรงไปยังเจ้าของเสียงตะโกน
“ เป็นหยัง !  มีอีหยัง บักหล่า ”
“ รถ..รถจ๊ก ปี้น...  รถจกปิ้น ! ”



“ อีหยังเก๊าะ..!  รถจ๊กปิ้น!.. ?????? ”
เด็กน้อยวิ่งมาหยุดตรงหน้าบันไดทางขึ้นบ้าน หอบฮัก ๆ   หายใจหายคอไม่ทัน
“ แล้วมึงมาบอกกูหยัง เกี่ยวหยังกัน”
“ พ่อใหญ่กระต่าย พ่ออ้ายต้างเลาให้มาบอกว่า รถจ๊กอ้ายต้างปี้น อยู่ห้วยแฝก ให้ยกเลิกเพิ่นพา อ้ายต้างไปโรงบาล  ยกเลิกการขอสาวก่อน ”  เด็กน้อยบอกด้วยเสียงปนหอบ
“ ห่าคนเอ้ย..!  สิได้เมีย ผัดปิ้นเพา ซ้ำน้อ.. บักต้างรถจ๊ก ” แม่ใหญ่หล่า พึมพำเอามือคลำอก
จันเพ็ญถอนหายใจเฮือกเหมือนยก ภูเขาออกจากอก
“ รถจ๊ก...ปี้น...! ” ลุงคำพึมพำในลำคอ....
.............................................................................
เสียงสะนูว่าว ดังกังวาน อีกครัง  ตอนตะวันกำลังชิงพลบ  เซียงน้อย ละสายป่านจากมือเบาๆ เมื่อว่าวติดลม
.....ตื่อ ตื่อ ตื้อ เตื่อ เตือ เตื๊อ.....  เสียงกังวานแว่วจากเบื้องสูง แผ่ขยายได้ยินไกลหลายกิโล
ว่าวขนาดใหญ่ สองวา มองเห็นเล็กๆ แค่จุดเท่าเล็บมือ  หางว่าวทำจากจีวรพระ พลิ้วไหวอย่างมีชีวิตชีวา
ลมหนาวพัดเอื่อยๆ ล่ำลาตะวัน  ตอฟางแห้งสะบัดแปะ ๆ ตามกระแสลมพา
  เซียงน้อยตั้งใจว่า ลงหน้าปีหน้า จะปลูก ถั่วกับ แตง เสริมจากการทำนาตามฤดู เพื่อเก็บเงิน
หวังสิบ่ให้จันเพ็ญ ถูกกดดันอีกต่อไป    
“ อ้ายเซียงข่อยถ่าฟังเสียง ว่าวสะนูเด้อ มื้อแลง”  ตอนเดินผ่านกันเมื่อพลบค่ำ จันเพ็ญยิ้มให้
รอยยิ้มนั้น แทรกซึมเข้าหัวใจเซียงน้อย.ประทับรอย หลับหรือตื่น จะมีภาพนั้นตรึงตรา.............
แหงนหน้าขึ้นฟ้า กะเห็นหน้าจันเพ็ญ ยิ้มละไม......................................................



ขอบอกว่า ป๊าดติโธ่ ปิ่นลม
เขียนดีหลาย มักคักๆเด้อ
กวีซีไรท์ ลุงคำพูน บุญทวี ถ้ามาอ่าน ก็คงจะคึดเหมือนข้อยเด๊ะ
หรือว่าครูคำหมาน คนไค ถ้าได้มาอ่านคงบอกว่า
เจ่ามาเขียนเก่งแท้หล่า ลมหนาว ว่าวสะนู ถ้าเป็นหนัง ก็คงดังคับเมืองไทยเด้อ
เขียนไว้หลายๆนะ ปิ่นลม แล้วรวมเล่มขายเมื่อใด บอกนำแหน ซิหามาอ่าน

รอเรื่องต่อไปอยู่เด้อครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 240 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 240 ครั้ง
 
 
  17 ม.ค. 2554 เวลา 09:25:50  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   109) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่0) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
เพิ่งเป็นสมาชิก ขอส่งเรื่องมาให้อ่านนำกัน

อุ่นไอรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน
ขอขอบพระคุณแม่ที่เลี้ยงดูมาครับ
ฉากที่ 1
ณ.โรงแรมเล็กกลางกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2551
ชายหนุ่มกำลังแช่น้ำอุ่นอย่างสบายอารมณ์  หลังจากนั่งแท๊กซี่ฝ่ามรสุมรถยนต์ติดบนถนนอย่างมโหฬาร เนื่องจากฝนตกตลอดทั้งฝน  เขากำลังเทครีมอาบน้ำลงฝ่ามือ แล้วชะโลมลุบไล้ไปทั่วสรรพางค์  แต่แล้วเขาก็สะดุดอยู่ที่ต้นขาด้านขวาของตนเอง  
รอยแผลจางๆด้วยกาลเวลายังปรากฏ มองเห็นได้แต่ไม่ชัดเจนรูปลักษณ์ของบาดแผลลักษณะกลมรี กว้างประมาณ  4 นิ้ว ยาวประมาณ 5 นิ้ว  
ในบางขณะสิ่งที่อยู่ใกล้เราก็ลืมเลือนที่จะสังเกตหรืออาจต้องการปล่อยให้ผ่านไปทิ้งมันไว้ในรอยอดีต  
หลังจากแช่น้ำอุ่นเสร็จแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากอ่างน้ำพร้อมแต่งกายให้เหมาะสมกับการพักผ่อนและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน  สักครู่หนังตาของเขาเริ่มปิดทีละนิด ทีละนิดอารมณ์ของชายหนุ่มขณะนั้น  ถลำลึกเข้าสู่ห้วงอดีตวัยเยาว์  
ภาพในวัยเด็กของตนเอง ชัดขึ้นทีละน้อย ทีละนิด  และแล้ว การนิทราก็มาเยือน

ฉากที่ 2
ในปลายเดือนตุลาคมต่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน  สีเหลืองทองเต็มท้องทุ่งนา  นั่นคือสัญญาณแห่งความอุดมสมบูรณ์ของมาตุภูมิ  รวงข้าวที่หนักและเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวที่อวบอิ่มต่างโน้มลงสู่ดิน
แม้แต่ต้นข้าวยังรู้จักกับความรักในพระคุณแผ่นดินแม่
แต่ทำไมความขัดแย้งในสังคมไทยยังปรากฏให้เห็นเสมอมา  
มีแต่ความเงียบ ไม่มีคำตอบในสายลม

ตะวันรอนอ่อนอัสดง ลมหนาวยามเย็นเริ่มแรงเป็นระยะๆมาได้สัก 2-3 วันแล้วและ ไม่มีท่าที่จะหยุดเลย  ความมืดค่อยๆแผ่ครอบคลุม  ร่างตะคุมๆของหญิงสาวชาวบ้านวัยกลางคนปรากฏให้เห็น  ในมือของนางถือไม้ฟืน  4-5 ชิ้น เท่าที่จะหาได้ในระแวกนั้น บางชิ้นที่เห็นคือไม้ไผ่และกิ่งไม้ขนาดย่อมๆที่ผ่านการทำร้านให้เจ้าบวบได้อาศัย  ผลิดอก  ออกผล  ให้เจ้าของ  ร่องรอยจากเถาวัลย์เจ้าบวบพันรุงรัง และ ระโยงระยางกันไปหมด แต่จุดเริ่มแรกของเส้นเถาวัลย์ที่เกี่ยวและพันไม้ฟืนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน   แต่อย่างน้อยที่สุด  ชีวิตเรารู้จุดเริ่มต้นมิใช่หรือ  

บางสิ่งในขณะหนึ่งอาจไร้ประโยชน์
แต่อีกขณะหนึ่งกลับมีประโยชน์ที่ใหญ่ยิ่ง  
ขึ้นอยู่กับเวลา  โอกาส  สถานะการณ์แห่งความจำเป็น

และแล้วเศษไม้ถูกกองสุมรวมเป็นหนึ่ง จากหลาย  กลายเป็นหนึ่ง  บนเศษใบไม้แห้งและไม้ลำปอ
แสงจากไม้ขีดไฟ ได้ทำลายความมืดลง ไฟค่อยๆลุกไหม้ทีละน้อยทีละน้อยผ่านใบไม้แห้งและไม้ลำปอสู่ไม้ฟืน  ความร้อนจากกองไฟได้ไล่ความหนาวเหน็บ ซึ่งหนาวมากในปีนั้นในความรู้สึกของเธอ  อันวิธีการไล่ล่าความหนาว ให้ความอบอุ่นง่ายสุด     ที่พบเห็นได้ในชนบทส่วนใหญ่ของเรา
ไฟเริ่มลุกไหม้ไม้ฟืน เป็นลำดับ  เป็นลำดับ  
ควันไฟสีดำค่อยๆกลายเป็นสีเทาจาง
จากไม้สีเหลือง/ดำ/แดง/เทา  กลายสีแดงเพลิง  ความงดงามได้ถูกเผยโฉม  ใบหน้ารูปไข่  คิ้วโค้งพอประมาณ  แววตาสดใส  มีความหวัง  ริมฝีปากรับกับใบหน้า  เสื้อผ้าสีฟ้าจางๆ ขับให้ผิวพรรณเด่นชัด งดงามที่สุด อย่างน้อยก็ในสายตาของเด็กน้อยคนหนึ่ง คนนั้น   นั่นเอง (แต่ในจิตใจของเธอจะเป็นเช่นใด.....ใคร่จะรู้ได้หนอ)
มือที่เรียวค่อยขยับไม้ฟืนเพื่อให้ไฟได้ดื่มและกินเนื้อไม้

ฉากที่ 3
ณ.โรงยิมสนามกีฬาของวิทยาลัยครูประจำจังหวัด  ราวกลางเดือนตุลาคม  2524 มองจากด้านนอกโรงยิม จะเห็นขาของเหล่าเด็กหนุ่มสาวหลายร้อยคนยื่นและห้อยออกมา  ใบหน้าของเด็กเหล่านั้นจะหันออกมองด้านนอกโรงยิมแทนที่จะมองเข้าตามที่ควรจะเป็น  เนื่องจากการสอบครั้งนั้นมีนักเรียนเข้าสอบเป็นจำนวนมาก ห้องสอบไม่พอจึงต้องใช้สแตนด์เชียร์ของโรงยิมเป็นเก้าอี้นั่งสอบแทน

เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหมือนเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆที่เข้าทดสอบ

ชีวิตจริง โอกาสดีอาจผ่านเข้าเพียงครั้งเดียว  เพียงครั้งเดียวจริงๆ
แต่เพียงครั้งเดียว  ก็สุดจะยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด  
ในแววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยความหวังไว้ได้

เพียงเขาหรือเธอจะไขว่คว้าโอกาสนั้นได้หรือไม่  

หลายสิ่งของชีวิต
เราคือผู้จุดความพยายามในปฐมบท
แต่หลายครั้ง  ปัจฉิมกาล   ผลที่สุด    ฟ้าเป็นผู้กำหนด

3 วันที่จะเป็นวันแห่งการผลิกผันชีวิตของเด็กหนุ่มสาวอีกหลายคน หรืออีกหลายชีวิตที่รออยู่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองวันได้ผ่านไปแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกชิงทุนเข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศ ณ.เมืองหลวงกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทราฯ
ในบริบทของเด็กหนุ่ม เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่ากรุงเทพมหานคร  ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจะเป็นเช่นใด
แม้แต่ตัวจังหวัดที่เขาเกิด  เด็กหนุ่มก็เคยไปเพียงสองครั้งเท่านั้น  เมื่อเป็นตัวแทนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไปแข่งขันตอบปัญหาระดับจังหวัด
บางเศษส่วนของเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของเขา  อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเย็นตาโฟ ที่คุณครูที่สอนประวัติศาสตร์พาเป็นไปนั่งรับประทาน รสชาติเป็นอย่างไร  มันเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองและลิ้มรสของเส้นใหญ่ ผสมน้ำอะไรหนอ สีออกแดงก็ไม่รู้  เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอร่อยเข้าท่าดีเหมือนกัน
แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มแปลกใจตนเองเหมือนกันว่า ทำไมเย็นตาโฟ มันถึงร้อน  มิได้เย็นสมชื่อเลยเน๊อะ  ปริศนายังอยู่ในความทรงจำนั้นตลอดมา

ส่วนมหาวิทยาลัยจะเหมือนโรงเรียนที่เขาเคยเรียนหรือเปล่าหนอ  ครูสอนกันอย่างไร  วิชาที่สอนเป็นอย่างไรยาก ง่าย หรือไม่  จะมีสนามฟุตบอลหรือเปล่าหนอ  
ที่โรงเรียนของเขา คราใดที่ต้องเดินผ่านสนามหญ้า  เจ้าดอกหญ้าเจ้าชู้จะติดรองเท้าและถุงเท้าสีน้ำตาลคู่เก่าๆ มิตรที่ไม่ยอมห่างกัน  คู่เดียวของเขาที่หัวนิ้วโป้งและนิ้วก้อยได้โผล่ออกมายลโลกภายนอกเสมอๆ
กว่าจะเก็บดอกหญ้าเจ้าชู้ออกให้หมดก็กินเวลาไม่น้อยเลย
ยากนักที่เด็กหนุ่มจะจินตนาการเพราะสิ่งนั้นเกินกว่าประสบการณ์ของเขาที่ผ่านพบ   ซึ่งในแต่ละปีในแต่วันที่ผ่านเข้าในชีวิตเขา  จะมีก็เพียงท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง  ทุ่งกว้าง
ที่แสนไกล  จนสุดสายตา  กลิ่นโคลน และไอหอมแห่งแผ่นดิน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีแล้ว  ตั้งแต่เขาจำความได้  ก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา

สองวันที่ผ่านมาเป็นการทดสอบความรู้ทั่วไปและวิชาความถนัดทางการเรียน เด็กหนุ่มไม่สามารถคาดหมายว่าตนเองทำข้อสอบได้ดีเพียงใด  แต่เขาก็พยายามทำให้ดีที่สุด  ใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์  
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สอบวิชาเรียงความ เวลาประมาณ  3  โมงเช้า  เฉกเช่นการสอบทุกครั้ง  เด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะพยายามทุกให้ดีที่สุด  

เสียงประกาศของครูดังขึ้นว่าให้ลงมือทำข้อสอบได้  เด็กหนุ่มหยิบข้อสอบที่วางอยู่ตรงหน้าพลิกขึ้นมาอ่านด้วยใจระทึก  และตะลึงไปชั่วขณะเนื่องจากไม่คาดคิดมาก่อนว่าข้อสอบจะเป็นเช่นนี้  คำถามสั้นๆของโจทย์ ถูกพิมพ์และโรเนียวด้วยกระดาษสีขุ่นๆ  คำถามที่ต้องการคำตอบมีว่า........


ฉากที่  4
ชั่วประเดี๋ยวไฟก็ลุกโชน  ความร้อนระอุทำให้เธอต้องขยับตัวเล็กน้อย  สีแดงเพลิงอยู่ตรงหน้า   มือที่เรียวค่อยๆเกลี่ยไฟให้กระจายออกมาริมกองไฟ  ข้าวเหนียวเปล่าสีขาวนวลขนาดย่อมๆที่ถูกปั้นและที่เสียบไว้กับด้ามไม้ไผ่ที่เหลากลมเกลี้ยงอย่างลงตัว  ถูกปิ้งไว้เหนือถ่านไฟที่แดงโชน  เวลาผ่านไปชั่วครู  สีขาวนวลข้าวเหนียวค่อยๆเริ่มเป็นสีเหลือง กลิ่นหอมอ่อนๆเริ่มโชยมากระทบจมูกของเธอและเด็กน้อยที่นั่งรอบกองไฟ    นับรวมได้   4  คน  ส่วนน้องคนเล็กสุด...นอนในเปลผ้าขาวม้าใกล้ๆ
ข้าวเหนียวเปล่ากลายเป็นข้าวจี่ และถูกแบ่งปันให้เด็กทุกๆคน
ความกรอบของข้าวจี่ผสมรสปละแล่ม ปละแล่ม รสเค็ม จากเกลือ ผสมได้ลงตัวเหลือเกิน   ทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเผลอส่งเสียงร้องออกมาจับใจความได้ว่า
“แซบอีหลีเด้อ  อีแหม่”  แม้จะฟังดูอาจจะไม่ค่อยชัดเท่าใดนักเนื่องจากความเป็นเด็กน้อยอายุราว 3 ปี  แต่สำเนียงเต็มไปด้วยความปีติ
มันเป็นออเดริฟ ชั้นเยี่ยมที่เธอหามาได้จากก้นครัวเพื่อลูกน้อยกลอยใจ   ก่อนจะถึงอาหารตอนเย็น
รอยยิ้มเล็กของเธอเผยให้เห็น  ณ.บัดนั้น

ความสุขของแม่ไม่มีสิ่งไหนเทียบเทียมได้   กับเมื่อได้เห็นลูกๆมีความสุข

ความมืดเริ่มขยับและคืบคลานเข้ามา  แมงกลางคืนหลายชนิดเริ่มออกหากิน  ส่วนเจ้ายุ่งก็บินว่อนไปว่อนมา  รอบๆและเหนือศรีษะของเด็กน้อยและตัวเธอ
เวลาผ่านค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ  ความหนาวเหน็บกลับเพิ่มทวีคูณ
ลมกรรโชกเป็นระยะๆ  เสียงดังตุ๊บ ตุ๊บ  ดังขึ้นประมาณ  3-4  ครั้ง  นั่นคือเสียง
ลูกมะพร้าวแห้ง ต้นข้างๆบ้าน  ถูกปลิดจากทลายมะพร้าวล่วงลงระริ่วสู่พื้นด้วยแรงลม

เด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่าเจ้าตัวเล็กที่นั่งขัดสมาธิใกล้กองไฟนั้น ได้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ฉี่จะราดอยู่แล้วเนื่องจากอากาศหนาวนี่คือความรู้สึกของเด็กนั้น  ทำให้เด็กชายที่ตัวโตกว่ารีบลุกผลุกผลันขึ้น  โดยไม่ได้ทันระวังตัว  ขาของเขาได้เกี่ยวเถาวัลย์ที่พันกับไม้ฟืนที่ไฟลุกโชนแดง

ทันใดนั้นเอง
เสียงกรีดร้องจับใจความได้ว่า
“ข่อยฮ้อน  ข่อยฮ้อน หลายเด้อ  อีแหม่  ซอยข่อยแหน่”   แหล่งกำเนิดเสียงมาจากเด็กน้อยเจ้าตัวเล็กนั่นเอง  เสียงนั้นได้ทำลายบรรยายกาศของความเงียบลงโดยฉับพลัน

“มีอีหยังเกิดขึ้น”   เธอตะโกนร้อง  ความโกลาหลน้อยๆก็เกิดขึ้นรอบกองไฟ
เธอรีบกวาดสายตาไปรอบกองไฟ
และแล้วเธอยิ่งตกใจเมื่อมองเห็น ท่อนฟืนขนาดย่อมๆวางอยู่บนต้นขาขาวของลูกชายตัวเล็ก  มือของเธอรีบฉวยไม้ฟืนดุ้นออกจากขาของเด็กน้อยนั่น  เท่าที่สติขณะนั้นจะพึงสั่งการให้ทำได้
บรรยากาศแห่งความวิตกได้แผ่คลุมไปทั่วรอบๆบริเวณนั้น
เสียงเด็กน้อยเริ่มร้องไห้  เสียง  ดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้น ไม่มีท่าทีจะหยุด
แต่...
แววตาของผู้เป็นแม่  ไม่อาจซ่อนเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะมากกว่าที่ลูกของเธอได้รับ......
“บางสิ่งในชีวิตเราสามารถเลือกได้
ในบางขณะและบางสิ่งเราเลือกที่จะลืม
แต่สิ่งนั้น  กลับชัดเจนในความทรงจำของเรา
ไม่ยอมห่างไกลเรา
เหมือนเงาที่ไม่ยอมห่างกายตน”

ใครจะรู้ดีเท่าเด็กน้อยคงนั้น.......
ฉากที่ 5
เวลาค่อยๆคืบคลานไปข้างหน้าอย่างช้า ช้า
เมฆทะมึนตั้งเค้า  ส่งสัญญาณว่าฝนจะมาแล้ว  สีเทาของมัน บดบังแสงทุกลำแสงแห่งท้องนภา
เปลี้ยงๆคือเสียงฟ้าร้อง แปล้บๆคือแสงฟ้าผ่า

เธอรีบลุกขึ้นพร้อมกับคว้าเอาเสียมที่วางอยู่ไว้ๆ
ท่ามกลางความมืด เสียงขุดดินเริ่มดังขึ้น  ขณะนั้นแสงจากสายฟ้าส่องให้เห็นกอขมิ้นที่ปลูกไว้ใกล้ๆรั้ว  
ชั่วอึดใจเดียว หัวขมิ้น 2-3  หัว  ถูกขุดมา  เธอรีบถือหัวขมิ้นวิ่งเข้าครัวไป  แล้วรีบล้างน้ำให้สะอาด  
หลังจากนั้น เสียงตะปูตอกแผ่นสังกะสีอย่างรวดเร็ว ประมาณ  5-6  ครั้ง สังกะสีก็ปรากฏรูขึ้น
หัวขมิ้นถูกฝนเข้ากับรูสังกะสี  ปรากฏให้เห็นฝอยขมิ้นจำนวนพอประมาณที่ถ้วยซึ่งวางที่ด้านหลังแผ่นสังกะสี
น้ำถูกเทผสมกับฝอยขมิ้นในถ้วยพอหมาดๆ  แล้วเธอถ้วยนั้นพร้อมนำเศษผ้าขาวมาชุบน้ำขมิ้นวิ่งไปหาเด็กน้อย
พี่ๆต่างต้องรอคอยแม่มาด้วยใจระทึก  เสียงน้องยังร้องและก้องอยู่   ไม่มีวี่แววจะหยุด    เนื่องจากความเจ็บแสบปวดร้อนทรมานยิ่ง
เมื่อแม่มาถึง อุ้มเด็กน้อยขึ้นหนุนบนตัก
เศษผ้าขาวผสมขมิ้นถูกชุบไปทั่วบริเวณต้นขาขวาของเด็กน้อย อย่างรวดเร็ว

แม้เวลาสามารถสิ่งรักษาทุกสิ่ง
แต่ขณะนั้น
1  นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ
5  นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ
10  นาทีผ่านไปอย่างช้าๆ  ทำไมเวลาวันนี้ถึงช้าจัง
เวลาในความรู้สึกของเธอ เสมือนได้หยุดนิ่งเสียแล้ว ณ.บัดดลตั้งแต่วินาทีแรกที่ ได้ยินลูกร้องว่า ฮ้อน อีแหม่ มันคือฮ้อนแท้เด้อ

มือที่หยาบกระด้างจากการทำงานหนักของเธอค่อยๆลูบไปที่หัว
ลูกน้อยอย่างแผ่วเบา
เสียงกระซิบในใจเธอก็คงเหมือนแม่ทุกคนในโลกนี้  ว่า  


“ขอให้ฟ้าดินนำความเจ็บปวดทั้งมวล..
จากลูกน้อยของข้า..โบยบินมาสู่ร่างกายของข้า...
แทนลูกข้า...ด้วยเทอญ”

ความอ่อนล้าจากการร้องไห้ประกอบกับความเย็นจากขมิ้น  เสียงร้องของเจ้าตัวเล็กค่อยๆลดลง.....จนหายไป

เธอไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่วิ่งออกไปขุดหัวขมิ้น จนถึงวินาทีนี้

และแล้ว  เจ้าตัวเล็กก็หลับผล็อยไป  

ความรักส่งผ่านจากมือแม่
สู่....ลูกน้อย

นี่คงจะใช่
อุ่นไอรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน
คือความรู้สึกของเด็กน้อยที่รับรู้ได้ แม้ขณะหลับในห้วงนิทรา


สำหรับแม่ทุกคนที่ให้ความอบอุ่นแก่ลูกๆ ลูกทุกคนขอขอบขอบพระคุณ..แม่ครับ

ยังก์_law_เก้อ
เรียบเรียง
ครั้งแรก 25  กรกฏาคม  2551
ปรับปรุง 10 สิงหาคม 2553    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 211 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 209 ครั้ง
 
 
  14 ม.ค. 2554 เวลา 14:39:50  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   109) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
คุณต้องแล่ง:
ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่คะรับ    

ตะกี้เจ้าไปอยู่ไส  ปรับปรุงแล้ววันที่  10  สิงหา คือบ่เอางูมาปล่อยตั้งแต่วันแม่พุ้น


เพิ่งเห็นเวปนี้ตั่วคุณต้องแล่ง
แม่นว่าอ่านแล้วซอยวิจารณ์แน่ว่าพอจะเป็นนักเขียนได้บ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 356 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 356 ครั้ง
 
 
  14 ม.ค. 2554 เวลา 15:21:36  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   109) ไออุ่นรักมิพักต้องเอ่ยเอื้อน  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่10)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:
พี่เขาเขียนได้ดีเนาะ บ่คือสาวส่าเลย..เฮ็ดหยังกะบ่เป็น อิอิ
อ่านแล้วคิดฮอดแม่ น้ำตาสิไหล


เสียแต่ ไปติดอยู่ตอนที่ เด็กหนุ่มสิเขียนเรียงความ บ่ฮู้ว่าสรุปแล้วหัวข้อคำถามคือหยัง
ถ้าให้เดากะอาจสิเดาได้ แต่น่าสิมีไคลแม็กที่เฉลยหรืออีหยังจักหน่อยเนาะ

อีกอย่างคือ อ่านจบกะเข้าใจแหละ ว่าผู้หนุ่มในฉากแรกกับเด็กน้อยที่ถืกดุ้นฟืนเป็นคนเดียวกัน แต่สิแม่นคนเดียวกันบ่กับเด็กหนุ่มที่ไปสอบเข้าวิทยาลัยครู ย้อนบ่มีม่องได๋เลยที่ผูกเข้ามาให้เห็นว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน

ถ้า..เด็กน้อยที่เคยถืกดุ้นฟืน=ชายหนุ่มที่มีรอยแผลเป็นที่ขา
แล้ว..เด็กหนุ่มที่สอบเข้าวิทลัยครู=??


ขอบคุณในคำติ คำชม
เมื่อหน้า จะเขียนมาเล่าสู่กันอีก อาจจะเป็นบทเฉลย หรือเป็นเรื่อง พล๊อตของเรื่อง จะพาไปเพราะก็เพิ่งหัดพิมพ์ บ่แมน เพิ่งหัดเขียนเรื่องสั้น
คำตอบ อาจจะอยู่ที่ปลายคำถามเด๊ะ ครับสาส่า เมืองยศ
บางเรื่อง ก็ปล่อยให้คิดต่อ ก็แล้วกันครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 271 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 271 ครั้ง
 
 
  15 ม.ค. 2554 เวลา 19:02:19  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   110) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู)  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่0) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
พรุ่งก็เป็นวันครู มาระลึกคุณครูของเรานะครับ

ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตรานุสาสกา
ข้าฯขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์
ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าฯในกาลปัจจุบัน
ข้าฯขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ข้าฯและประเทศไทย เทอญฯ
ปัญญาวุฒิ กเรเตเต ทินโนวาเท นมามิหัง

กระผมใคร่ขอบขอบคุณครูทุกท่านที่สั่งสอน ที่ได้ให้ความรู้ทำให้ศิษย์มีความรู้และวิชา สามารถประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต เลี้ยงตนเองและอีกหลายชีวิตได้จนถึงวันนี้และในอนาคตสืบเนื่องต่อไป
ด้วยความเคารพครับ
ยังก์_LAW_เก้อ
15 มกราคม 2554[/
color]


ขอบคุณไม้เรียวอันนั้น_ขอบคุณครับคุณครู

(โมเมนตัมเศรษฐกิจ….ฟิสิกส์ที่รัก)

รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.เตรียมเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาด ขณะที่ตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ถึงไตรมาส 1/53 มีแรงส่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแข็งแรงกว่าที่คิด และในช่วงที่ได้มีการประมาณการตัวเลขจีดีพี ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการแก้ไขปัญหาการระงับโครงการมาบตาพุด
“ทุกประเทศ ก็ปรับ (จีดีพี) ขึ้น อย่างที่บอกเศรษฐกิจโลกดีกว่าที่คาด ซึ่งเราทำไว้ต้นปี 3.5-5.3 % แต่ดูเหมือนว่า ผ่าน Q4 ปีก่อน และ Q1 แรงส่งของการฟื้นตัว momentum ของการฟื้นตัวมัน strong กว่าที่คาด”       รองผู้ว่า ธปท.กล่าวกับ รอยเตอร์
กรุงเทพฯ 2 เม.ย.2553-รอยเตอร์

momentum (โมเมนตัม) คืออะไร
ยังเป็นปริศนาของเศรษฐกรมือใหม่อย่างเธอ/เขา/หรือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ งง กันจักหน่อย(สักครู่)

ฉากที่หนึ่ง
เสียงไม้เรียวกระทบกางเกงที่ห่อหุ้มร่างกายที่บองบางของนักเรียนชายประจำห้องเรียน ม.ศ.4/1
(สมัยก่อนหลักสูตรการเรียนการสอนจะเป็น 7-3-2  
กล่าวคือ  7 หมายถึงการเรียนป.1-ป.7  
ส่วน 3 หมายถึงการเรียนม.ศ.1-ม.ศ.3  
สุดท้าย 2 หมายถึงการเรียนม.ศ.4-ม.ศ.5 ตั้งแต่ปี 2527  เปลี่ยนเป็น 6-3-3 อันนี้ทุกท่านคงจะเข้าใจนะว่าหมายถึงอะไร ก็เป็นระบบปัจจุบัน
ตัวตำอิด 6 หมายถึง ป.1-ป.6
ตัวสอง    3 หมายถึง ม.1-ม.3
ตัวที่สาม  3 หมายถึง ม.4-ม.6 )

เปรี้ยะ  เปรี๊ย  ดังขึ้นหลายครั้งด้วยแรงตีที่หนักหน่วงจากมือขวาของอาจารย์ฝ่ายปกครอง
กางเกงตาบก้น (ตาบ เท่ากับปะหรือชุน) หลายครั้งจนแทบจะไม่เห็นสภาพเนื้อเดิมของมันเป็นอย่างไร
แม้กางเกงจะหนาด้วยรอยตาบ  แต่ด้วยตีที่หนักหน่วง……มีหรือจะไม่สร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายให้เด็กหนุ่มวัยกระเตาะ

หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มนักเรียนดี 1 ใน 3 คนแรกของห้องเรียน ซึ่งยืนกอด-อกที่หน้าชั้นเรียนด้วยแววตาที่กังวล  เพื่อให้คุณครูฝ่ายปกครองเฆี่ยนด้วยไม้เรียว
ความเจ็บปวดรวดร้าวสะท้านถึงดวงใจ  
แต่เขาก็ยินดีที่ต้องรับโทษทัณฑ์ในครั้งนั้น
เด็กหนุ่มไม่ได้โกรธคุณครูผู้ลงโทษแต่อย่างใด

บนกระดานดำหลังฉากที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ เขียนคำว่า

F=ma
ค่า F คือ แรง
m คือค่ามวลของวัตถุ
a คือความเร็วของวัตถุ


F เท่ากับ ma ก็คือสูตรทางฟิสิกส์ที่เรียนในวันนี้
ณ.วินาทีแรกที่ไม้เรียวกระทบกางเกงของเขา ด้วยแรงตีที่หนักหน่วง
ดวงตาของเด็กหนุ่ม....ก็เห็นธรรมในบัดดล อ๋อ ความเจ็บปวดมันเป็นเช่นนี้เองและว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

ใช่ครับ

โมเมนตันหมายถึงความสามารถในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
มีค่าเท่ากับผลคูณของมวลและความเร็ว
( m แทน มวล a แทน ความเร็ว ดังนั้น ถ้าไม้เรียวใหญ่ และวิ่งมาด้วยความเร็วที่มาก ส่งผลให้เด็กนักเรียนต้องเจ็บอย่างแน่นอน นักเรียนเอย หรือเปรียบเทียบง่ายๆนะครับ เมื่อรถแทรกเตอร์ชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยความเร็วเท่ากัน ทำไมรถมอเตอร์ไซค์จึงพังยับเยิน ก็เพราะ มวลของรถแทรกเตอร์มันมีมากกว่า ตามสูตรดังกล่าวเป๊ะเลย)
ดังนั้น
ในทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  
การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น หรือการที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจตาม โครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อกระ ตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจน ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มค่าของ m ในสูตรดังกล่าว  ย่อมส่งผล ให้เกิดแรงหรือค่า F  ในสมการเพิ่มค่ามากขึ้น นั่นเอง ดังนั้น การเติบโตทาง เศรษฐกิจย่อมมากขึ้นตามกฎของโมเมนตัมนั่นเอง (ตามความเข้าใจของผู้เขียน)


เขายอมรับโดยดุษฎีว่าทำผิดระเบียบของโรงเรียนที่มิได้ตัดผมให้สั้นเฉกนักเรียนทั่วไป
(ก็ทรง รด.ผมสั้นติดหนังศรีษะ นี่แหละ)

เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับเด็กหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าขยันและตั้งใจเรียน
เป็นนักเรียนดีของชั้น
แม้จะมาบ้านนอกห่างจากตัวอำเภอกว่า 20 กิโลเมตร
เขาไม่รู้เลยหรือว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกระเบียบ

การลงโทษครั้งนั้น เป็นที่กล่าวขวัญในชั้นเรียน
เพื่อนๆหลายคนจึงต้องไปสอบถามเด็กหนุ่มคนนั้น
ถึงการถูกลงโทษ

ใครจะรู้ดีเท่ากับเด็กหนุ่มคนนั้น.......

(ติดตามตอนต่อไป...)    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 250 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 248 ครั้ง
 
 
  15 ม.ค. 2554 เวลา 19:37:39  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   110) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู)  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
คุณปิ่นลม:

ควายไถนา บ่เป็น  งัวเสีย   ไฮ่นาบ่มีคนเฮ็ด เห็ดบ่เกิดนำโคก
กินข้าวทาน้ำมัน  ลงจังหันบ่ทันสมัย  

GDP ไม่ใช่มาตรวัดค่าความสุข


แม่นแล้ว GDP มิใช่มาตรวัดความสุข
แต่ก็คงปฏิเสธมิได้ว่า
สังคมโลก..ต้องมีสิ่งบ่งชี้หรือเครื่องมือในการประเมินระบบเศรษฐกิจ
แต่ประเด็นเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเป็นอีกเรื่องหนึ่งว่าจะทำให้
ความยากจนในสังคมลดน้อยอย่างไร

 
 
สาธุการบทความนี้ : 210 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 210 ครั้ง
 
 
  17 ม.ค. 2554 เวลา 08:18:31  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   110) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู)  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่8) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ตอนจบ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
ด้วยไม้เรียวอันนั้
(โมเมนตัมเศรษฐกิจ...ฟิสิกส์ที่รัก)

ฉากที่ 2
ราวหลังพระฉันเพลอึดใจหนึ่ง
เสียงระฆังดังลั่นขึ้น 2-3 ครั้ง เป็นสัญญาว่าตอนเที่ยงได้เริ่มขึ้น
ใต้แสงแดดที่ร้อนระอุในราวเดือน ก.ค.แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูฝนก็ตาม
พยับแดดทำให้สายตาที่มองไปข้างนอกห้องเรียนเห็นบุคคลค่อนข้างจะยากเล็กน้อย
และแล้ว....
ก็ปรากฏภาพและเงาของเด็กน้อยคนหนึ่งอายุราว 13 ปีกำลังเดินทางไปไหนสักแห่ง
ในมือปรากฏห่อข้าว
ชั่วอึดใจเดียว เด็กน้อยก็ล่องลอยห่างจากรั้วโรงเรียนประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้
ลมร้อนพัดผ่านใบหน้ารู้สักร้อนผ่าวๆ
ณ.ที่นั่นจะมีก็แต่ต้นกระทินณรงค์ ปรากฏอยู่ 2-3 ต้น
คงเป็นทำเลเดียวที่ให้ร่มเงากับสรรพสิ่ง
เด็กน้อยค่อยปีนป่ายไปเป็นต้นกระถินณรงค์
หาที่เหมาะๆนั่ง แล้วมือน้อยๆก็ค่อยๆไข(เปิด)ห่อข้าวเหนียวออกมาเบิ่ง(ดู)
ว่าวันนี้อะไรหนอคืออาหารทิพย์ที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้
ปลาปิ้ง 2-3 ตัวเล็กๆปรากฏต่อหน้า
เด็กน้อยค่อยๆเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ขณะเดียวกันก็มีวัว 2-3 ตัวได้มาอาศัยร่มเงาของต้นไม้เช่นเดียวกันกับเด็กน้อยนั่นกินข้าวคนเดียว
ขณะความร้อนกำลังระอุ  แสงแดดระยับ ระยับ ระยับ ไอร้อนแผ่กระจายไปทั่ว

มันเป็นมื้อที่อะไรที่สุด ในชีวิต
และทุกๆมื้อก็เป็นเช่นนี้เพราะ
ปลา 2-3 ตัวนั้น กว่าอี่แหม่(แม่) จะยกสะดุ้ง(ภาษากลางคือยกยอ อุปกรณ์หาปลาชนิดหนึ่ง) หามาได้เพื่อให้ลูกน้อยประทังชีวิตก็ต้องยกยอกว่า 100 ครั้ง แขนอี่แหม่(แม่) จะเหนื่อยล้าเพียงใดหนอ
แม่ก็ไม่ท้อ  ขอให้ได้ปลาสักเล็กน้อย เพื่อลูกที่รออยู่
ความรักของแม่ไม่มีสิ่งใดเทียม เด็กน้อยคนนั้นคิดเช่นนี้
เด็กน้อยได้ตั้งจิตและตั้งใจว่า วันหนึ่งข้างหน้า
ชีวิตที่ลำบากจะถูกเยียวยา
ทดแทนความลำบากของแม่จากลูกคนนี้
  
ฉากที่ 3
เพื่อนในชั้นเรียนได้มารุมถามเด็กหนุ่มว่าทำไมไม่ตัดผม
ปล่อยให้ผมยาวได้อย่างไรกัน
แล้ววจีจากปากเด็กหนุ่มก็พรั่งพรูออกมาว่า  เขารู้ว่าเขาทำอะไรลงไป
ชีวิตมีความยุติธรรมตามเหตุและผลของมันเอง
ผลไม้ย่อมก่อเกิดจากต้นไม้
แต่ความลำบากเกิดจากอะไรกันละ
ชีวิตแต่ละคน ลำบากหรือรัดทด แตกต่างกันไป
อาจเป็นเพราะกรรมเก่าและเก่าใหม่ของเขาก็ได้

วันนี้แม้ค่ารถโดยสารมาโรงเรียนเพียง 2 บาท
แม่ก็ต้องหยิบยืมจากเพื่อนบ้านมาให้ลูก
กว่าจะได้มาก็ลำบาก แค่นี้แม่ก็ลำบากแล้ว
วันนี้เขายังไม่รู้เลยว่าพักเที่ยงจะมีอะไรตกท้อง
นอกจากน้ำประปาของโรงเรียน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นอีกเลย เขาพูดได้เพียงเท่านี้
เหมือนมีอะไรมีจุกคอ
น้ำใสๆเริ่มรินออกมาจากตา
ที่ละหยด ทีละหยด ทีละหยด
ผ้าเช็คหน้าถูกเรียกหาจากเพื่อนๆ
เด็กหนุ่มได้ยินคำพูดรางๆจากที่ไหนสักแห่ง
(หรือจากมโนมสำนึกก็อาจเป็นไปได้) ว่า
ปล่อยออกมาเถอะ ถ้าเจ้าจะสบายใจ

นับแต่วินาทีนั้น  น้ำใจจากเพื่อนๆก็หลั่งไหลสู่เด็กหนุ่ม
การถามถึงความทุกข์สุกดิบชีวิเจ้า....เป็นจังใด(เช่นใด) น้อหมู่  ก็ท่วมห้องเรียน
ณ บัดดล
เด็กหนุ่มจึงเข้าใจความหมายของ ไมตรีจิต/มิตรภาพ/เพื่อน  เป็นเช่นใด

..........................

ชีวิตข้างหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นใด
เด็กหนุ่มรู้แต่ว่า ถ้ามีความเพียร ความกตัญญูเป็นที่ตั้ง
ความยุติธรรมควรให้โอกาสเขาบ้าง

เสียงกระซิบเสียงหนึ่งล่องลอยในสายลม ด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มว่า

“หมื่นทางตันยังมีทางหนึ่งให้ออกเสมอ”

มือทั้งสองข้างของเด็กสาวยื่นเข้าโอบอุ้มมือของเด็กหนุ่ม
ขณะนั้นเสมือนโลกหยุดหมุนไปสัก 3 วินาที
พร้อมกับเสียงหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “เราขอเป็นกำลังใจเธอเสมอ”
ความอบอุ่นที่ล้ำลึกแผ่ซ่านในหัวใจของทั้งสอง.......
แม้เพียง 3 วินาที

แต่ 3 วินาที ที่มีค่าก่อให้เกิดโมเมนตันในการสู้ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนั้น
ซึ่งประมาณค่ามิได้เลย

โดย ยังก์_LAW_เก้อ
ปรังใหม่ใส่ผงนัว
กลางมกราคม 2554    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 283 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 281 ครั้ง
 
 
  19 ม.ค. 2554 เวลา 13:31:01  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   110) ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู)  
  ยังก์_LAW_เก้อ    คห.ที่14)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ศิษย์ใหม่ไร้วรยุทธ์

ภูมิลำเนา : ขอนแก่น
เข้าร่วม : 14 ม.ค. 2554
รวมโพสต์ : 8
ให้สาธุการ : 0
รับสาธุการ : 20660
รวม: 20660 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:
อืม ซึ้ง!!

ขอบคุณในทุกความเห็นนะครับ
มือใหม่หัดเขียนถูกบ้างผิดบ้าง
แต่ถือคติว่า ผิดเป็นครู ครับ

ส่วนผมเป็นนักเรียนจึงบ่ผิดจักเทือเลย
ถ้ามีเวลาจะนำเรื่องที่เขียนไว้ลงให้อ่านครับ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 245 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 245 ครั้ง
 
 
  20 ม.ค. 2554 เวลา 12:56:52  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1

   

Creative Commons License
ด้วยไม้เรียวอันนั้น(ขอบคุณครับคุณครู) --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ