ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
แนวกำพร้ามหาชนดูหมิ่น ชื่อว่าลูกกำพร้าเขาย้านแก่มกิน แปลว่า คนกำพร้า มหาชนเขาดูหมิ่น เขากลัวว่าลูกกำพร้าจะไปแย่งกิน หมายถึง คนที่ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู อยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครสรรเสริญ


  ค้นหากระทู้ ปลาร้านอกไห  

หน้า: 1 2  
  โพสต์โดย   1) แกงผักหวาน  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) แกงผักหวาน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
        ผักหวานที่เฮาฮู้จักกันดี และที่เคยกิน กะมีอยู่ 2 ประเภท นำกัน กะคือ ผักหวานบ้าน กับผักหวานป่า ซึ่งกะตั้งซื่อตามแหล่งที่เกิดของผักหวาน ทั้ง 2 ชนิด

-ผักหวานบ้าน จะเป็นไม่พุ่ม ต้นบ่ค่อยใหญ่สักเท่าได๋ สิป่งยอดอยู่ตลอดปี แฮ่งเก็บดู๋เท่าได๋ แฮ่ง ป่งยอดดี ผักหวานบ้านนิยมเอาส่วนที่เป็นยอดอ่อนๆ มากิน หรือบางทีกะนำผลมัน ที่มีลักษณะคล้ายๆกับผลบักยมนั่นหละ ซึ่งผลของผักหานบ้านจะเกิดอยู่ใต้ท้องใบ ผลที่นำมากินกะคือผลที่ท่าวๆ บ่อ่อนบ่แก่จนเกินไป ผักหวานบ้านนิยมนำมาแกง บ่ว่าสิแกงใส่ปลาย่าง แกงใส่ปลาสด แกงใส่ฮวก แกงใส่เขียด เป็นต้น หรือสินำมาลวกกินกับป่นกับแจ่ว กะแซบไปอีกแบบ หรือสินึ่งใส่ปลา นึ่งใส่กบ กะแซบไปอีกแบบคือกัน ส่วนหน่วยมันหรือผลมัน นิยมนำมาต้มกินกับป่นกับแจ่ว หรือกับปลาแดกบองกะได้ หรือสิเอาไปแกงใส่นำกันกับยอดกะได้ แซบ

              ผักหวานบ้านนั่น สมัยก่อนมักสิเกิดอยู่ทั่วไป นำฮั่ว นำสวน นำหัวนาท้ายบ้าน กะมีเหมิด หาเก็บได้ทั่วไป แฮ่งเก็บยอดดู๋ แฮ่งป่งดู๋ บ่ต้องไปซื้อไปหา แต่สมัยนี่หายากแล้ว มีการปลูกเพื่อการค้า ขายได้ราคาดี เพราะเป็นผักที่อุดมไปด้วยความแซบและคุณค่าทางโภชนาการ ขายได้ตลอดปี

ผักหวานบ้าน


               ส่วนผักหวานอีกชนิดหนึ่งที่เฮาฮู้จักกันดี กะคือผักหวานป่า หรือบางคนเมื่อพูดถึงผักหวานกะสิคึดฮอดผักหวานป่านี่หละ ผักหวานป่าจะเป็นผักที่มีในบางฤดูกาลเท่านั่น  ป่งตามฤดูกาลคือจั่งผักติ้วนั่นหละ จะป่งยอดเฉพาะช่วงปลายฤดูหนาว ไปถึงฤดูร้อน ประมาณเดือน มกราคม-เมษายน ถ้าเป็นทางฝรั่งกะสิเป็นฤดูใบไม้ผลินั่นหละ ผักหวานป่า ซื่อมันกะบอกว่าเป็นผักหวานป่ามักจะเกิดอยู่นำโคกนำป่า เป็นไม้ยืนต้น แต่กะต้นบ่ใหญ่หลาย ช่วงหน้าหนาวใบมันกะสิหล่นหมดต้น พอถึงฤดูใบไม้ผลิมันกะสิป่งยอดอ่อน ออกมาเต็มต้น สมัยก่อนนำโคกนำป่า โดยเฉพาะเทิงภูเทิงเขา สิมีต้นผักหวานหลาย สมัยนี่กะสิเห็นได้ทั่วไปตามตลาดสด หาซื้อได้ แต่ราคาค่อนข้างจะแพง แล้วกะบ่ค่อยสดนำ ผักหวานป่าที่อร่อย จะต้องเป็นผักหวานที่เก็บมาใหม่ๆ ยอดอ่อนๆ เวลาเฮาเอามาเฮ็ดแนวกิน รสชาติมันสิหวาน แล้วกะมีกลิ่นหอมอ่อนๆแบบเฉพาะของผักหวานป่า

ผักหวานป่า


               ข้อควรระวังในการเลือกซื้อผักหวานป่า ถ้าผู้ได๋อยู่ไกลภูไกลเขา ผักหวานมันสิเดินทางไกลกว่าสิฮอดตลาด มันกะอาจสิคึดฮอดบ้าน สิเหี่ยวสิเฉา บ่สดว่าสั่นเถาะ หรือบางที่กะสิเหลืองสิแข็งไป มีพ่อค้าแม่ค้าบางคนกะเอาสารพวกฟอร์มารีน มาหดให้มันซื่น บ่ให้มันคึดฮอดบ้านเร็ว อันนี่ต้องระวัง แต่ตอนนี่โครงการอาหารปลอดภัยช่วยตรวจสอบสารปนเปื้อนในอาหารอยู่เป็นประจำ ปัญหานี่อาจสิน้อยลง แต่ว่าก่อนสินำมาแกง กะควรสิล้างให้สะอาดๆ หลายๆน้ำสาก่อน เพื่อลดสารเคมีตกค้าง อันนี่เฮาต้องใส่ใจ เพราะว่าเฮาบ่ได้ไปเก็บเอง ป้องกันตัวเองไว้ก่อน

             ผักหวานป่านิยมนำมาเฮ็ดแนวกินได้หลากหลายอย่าง บ่ว่าสิเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อยในพริบตา (บ่แม่นรสดีเด้)  ที่นิยมหลายที่สุดกะคือเอามาแกง แกงกะแกงใส่ได้หลายอย่าง เช่นแกงผักหวานใส่ไข่มดแดง (อันนี่มังกรเดียวดายกำลังอยากกิน) แกงผักหวานใส่ปลาย่าง แกงใส่ปลาสด แกงใส่ไก่ แกงใส่เห็ดเฟียงเห็ดขอนขาว หรือสิแกงใส่ฮวกกะได้นำกัน ( แต่แกงผักหวานป่าใส่ฮวกอาจสิหากินได้ยาก เพราะฮวก กับ ผักหวานป่าเป็นอาหารคนละฤดูกาลกัน แต่ตอนนี่กะมีการเลี้ยงฮวกหรือบังคับผักหวานให้ป่งยอดนอกฤดูกะมีคือกัน แต่สิให้ดีเฮาควรกินอาหารตามฤดูกาลดีกว่า) หรือว่าเฮาสินำมาลวกกินกับป่นกับแจ่ว กะแซบคือกัน เอามาผัดกะแซบไปอีกแบบ หรือสินึ่งใส่ปลา นึ่งใส่กบกะแซบได้

ผักหวานป่านอกจากจะได้ซื่อว่าเป็นผักที่มีรสชาติอร่อยที่สุดแล้ว กะยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาน บ่ว่าจะเป็นวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ แล้กะยังมี Fiber(กากใยอาหาร)หลายนำ เหมาะสำหรับผู้ที่ระบบขับถ่ายบ่ค่อยดี(ฮ่วย เว่าเรืองแนวกิดผัดมาเว่าเรื่องถ่ายตั้วหนิ)

          เว่าไปเว่ามากะยาวแล้ว บ่ทันได้เว่าการเอ็ดแกงผักหวานจ้อย ตอนต่อไปเนาะ
                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 444 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 441 ครั้ง
 
 
  03 มี.ค. 2549 เวลา 11:58:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) แกงผักหวาน  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) แกงผักหวานใสไข่มดแดง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
              แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง กะเป็นอาหารชั้นยอดของชาวอีสานเฮา ซึ่งกะสิหากินได้เป็นบางฤดูกาลเท่านั่น ถ้าผู้ได๋ได้กินแล้วสิติดอกติดใจ  โดยเฉพาะผักหวานยอดอ่อนๆสดๆ กับไข่มดแดงใหม่ๆ

    การเฮ็ด แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง เฮ็ดบ่ยาก บ่มีอีหยังซับซ้อน เพราะบ่ว่าสิเป็นผักหวาน หรือไข่มดแดง มันมีความแซบอยู่ในโตของมันอยู่แล้ว ไข่มดแดงบ่ต้องใส่อีหยังมันกะแซบของมันอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อนำของแซบมาแกงใส่ของแซบ ลองเบิ่งมันสิแซบยกกำลังสองหรือไม่ หรือบางครั้งเฮากะเพิ่มคุณค่าทางอาหาร โดยการใส่ ปลาย่าง ใส่เห็ดเฟียง หรือเห็ดขอนขาวอ่อนๆ เป็นแกงรวมๆนี่กะสุดยอด

    ส่วนประกอบ

    1.ผักหวาน(ผักหวานป่า) ยอดอ่อนๆสดๆ จักสองสามกำ กำมือใหญ่ๆ บ้านเฮาเอิ้น กำง่าง

    2.ไข่มดแดง อันนี่ต้องไปแหย่นำกกโก กกหว้า หรือกกม่วงกะได้ เอาจักครึ่งถ้วย ถ้าอยากให้มันออกรสส้มจักหน่อย กะใส่ แม่เป้ง นำ หรือใส่แม่มดแดงนำจักหน่อย แต่ถ้ามีโตดำๆ ให้เลือกออก มันขิว

    3.ปลาย่าง จัก สองสามโต อาจสิเป็นปลาค่อโตใหญ่ๆย่างแล้วกะตากแห้งๆ หรือปลาดุกย่างกะแซบคือกัน แต่ว่า ถ้าเป้นปลาเนื้ออ่อนย่าง เช่น ปลากด ปลากะแยง ปลาเซียม อันนี่แฮ่งแซบสุดยอด

    4.เห็ดเฟียง ไข่อ่อนๆ หรือสิเป็นเห็ดขอนขาวกะได้(เห็ดขอนขาวหรือเห็ดบด บัดใหญ่ เฒ่ามาบัดเปลี่ยนซื่อเป็น เห็ดกระด้าง จ้อย)

    5.ผักอื่นๆ เช่นต้นหอม หัวผักบั่ว กระเทียม พริก ผักอี่ตู่หรือใบแมงลักนี่หละ แต่บางคนกะบ่มักใส่ผักอีตู่ เพราะผักอีตู่ มันมีกลิ่นหอม กลิ่นหอมของผักอีตู่สิไปกลบกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะโตของผักหวาน  แต่บางคนกะมักใส่ให่มันมีกลิ่นหอมของผักอีตู่ หรือบางคนกะใส่ผักติ้วเข้าไปนำ ให้มันออกรสหวานๆส้มๆ

    6.เครื่องปรุงอื่นๆ ได้แก่ เกลือ น้ำปลา ปลาแดก ส่วนผู้ได๋บ่มักกลิ่นปลาแดกกะบ่ใส่กะได้ ใส่แต่น้ำปลากะแซบแล้ว(อย่างที่บอก ผักหวานกับไข่มดแดงมันมีความแซบในโตของมันแล้ว)

    วิธีปรุง

    1.ค่างหม่อ (ตั้งหม้อบนเตาไฟ) ใส่น้ำจักสองสามถ้วย ทุบหัวผักบั่ว พอแตก ถิ่มลงหม้อจัก สามสี่หัว หักบักพริกใส่จักหน่อย(บักพริก บ่ต้องตำเด้อ เพราะถ้าตำใส่ มันสิเผ็ดหลาย เวลาซดฮ้อนๆ มันสิสะมัก ได้ง่าย) เติมเกลือหยอดน้ำปลาพอประมาณ

    2.พอหม้อเดือด ให้บิปลาย่างเป็นต่อนๆ อย่าใส่ทั้งโต มันใหญ่โพดตักกินยาก ใส่ลงไปในหม้อ ใส่ไข่มดแดง(พร้อมแม่เป้ง ถ้ามี) ใส่เห็ดขอนขาวหรือเห็ดเฟียง (ถ้าเห็ดเฟียง ใข่ใหญ่ให้ผ่าครึ่งก่อน ถ้าใส่เหมิดเทิงไข่ ยามกินให้ระวังเพราะมันเย็นซ้า เวลากัดไข่เห็ดเฟียง น้ำแตกโป๊ะ ระวังมันสิลวกลิ้น) ต้มไปอีกจักหน่อย

    3.เมื่อเห็นปลาย่างและไข่มดแดงเริ่มสุกแล้ว ให้เด็ดยอดผักหวานให้สั้นลงจักหน่อย หรือบางคนกะใส่ไปเทิงก่างมันนั่นหละ เวลากินจังค่อยฮูดกินเอา ผู้เฒ่ามักสิกินเทิงก่าง เวลาเคี้ยวสิได้กากใยอาหารหลายๆ เมื่อเด็ดแล้วกะถิ่มผักหวานลงหม้อเลย คนจักหน่อย อาจสิใส่ผักหอมผักอี่ตู่ลงไปพร้อม ถ้ามัก คนให้เข้ากัน

    4.พอน้ำเดือดกะให่ซีมเบิ่ง ถ้ามันจาง กะเติมน้ำปลาลงไป หรือถ้ามันเค็มกะเติมน้ำลงไปเจือจางอีกจักหน่อย ถ้าพอดีแล้วกะยกหม้อลงหรือปิดแก๊ส อย่าต้มไว้โดน เพราะผักหวานมันสุกง่าย ถ้าต้มไว้โดน วิตามินต่างๆจะสลายตัว ขาดคุณค่าทางอาหาร ขาดรสชาติไป

    5.พอเสร็จแล้ว ให้ฟ่าวตักใส่ถ้วย เอาไปกินเลย อย่าสะแกงไว้โดนมันสิเสียรสชาติ แต่กะอย่าสะฟ่าวหลายหละ ก่อนสิซดเข้าปากกะเป่าสาก่อนเด้อ มันสิลวกลิ้น
                                                        

 
 
สาธุการบทความนี้ : 463 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 460 ครั้ง
 
 
  03 มี.ค. 2549 เวลา 14:34:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   1) แกงผักหวาน  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่3)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
Sorry,I can't speak thai

อ่านว่า ซอรี่ ไอ ค้านท์ สะปี๊ก ไท

แปลว่า ขอโทษ ฉัน ขี้ค้าน พูด ไทย

แปลว่า ขอโทษ ฉันขี้เกียจพูดภาษาไทย...พะนะ

ล้อเล่นนะครับ ที่จริงตอนที่เขียนมันคิดได้เป็นภาษาอีสาน คิดได้ก็เลยพิมพ์เลย บางคำไม่รู้จะแปลเป็นไทยยังไง เพราะถ้ามัวแต่จะแปลอยู่ เดี๋ยวไอ้ที่มันคิดได้จะลืมหมดก่อน ต่อไปจะพยายามที่จะเล่าเรื่องเป็นภาษาไทยนะ

แต่ไม่รู้เป็นอะไรนะ ความทรงจำของข้าพเจ้าตอนเด็กๆจะเก็บไฟล์เป็นภาษาอีสานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครมีโปรแกรมแปลงภาษาอีสานเป็นภาษาไทย ก็ช่วยส่งให้ด้วยนะ จะใช้ไปแปลงไฟล์ในสมอง
ล้อเล่น อีกนั่นแหละ....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 326 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 325 ครั้ง
 
 
  26 ต.ค. 2549 เวลา 14:48:56  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ก้อยไข่มดแดง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ไข่มดแดง เป็นอาหารตามฤดูกาลที่ เป็นสุดยอดของอาหารอีสานอีกชนิดหนึ่ง ที่ว่าเป็นสุดยอด กะเป็นสุดยอด ทั้งด้านรสชาติ ด้านคุณค่าทางโภชนาการ สุดยอดในเรื่องการอยู่สูง อยู่เทิงยอดไม้ แต่ด้านความสูง ไข่มดแดงกะยังบ่สุดยอดอีหลี อาหารอีสานที่สูงสุดยอดอันดับหนึ่งอีหลีกะคือ แกงยอดตาล

    ไข่มดแดงที่เฮาได้กินกันนี่ กะเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง มดแดงโตน้อยๆบัดไข่บักใหญ่ แต่บัดคน ผู้บักใหญ่ ใข่บัดน้อยๆ ไข่มดแดง ที่เฮาฮู้จักกันดี มีอยู่ 2 ชนิด นำกัน กะคือ ไข่ผาก กับไข่ใหญ่ ที่เฮากินนี่หละ

    -ไข่ผาก ไข่ผาก เป็นไข่มดแดงชนิดหนึ่ง ที่มดแดงไข่ออกมาเพื่อเจริญเติบโต เป็นมดแดง ออกลูกแพร่หลาน เป็นโตมดแดง ไข่ผากส่วนใหญ่มดแดงจะออกอยู่เหมิดปี แต่บ่เป็นที่นิยมแหย่มากิน เพราะไข่มันน้อย เลือกออกจากแม่มดแดงกะยาก ที่นิยมกะคือแหย่ มาใส่ต้มปลาค่อใหญ่ยามสาปลา ต้มปลาใส่มดแดงพร้อมไข่ผาก

    ไข่ผาก เวลาเจริญเติบโตต่อไป สิกลายเป็นโตมดแดง หรือบางไข่กะสิไปเป็นโตดำๆมีปีกนำ ถ้าแหย่ไข่มดแดง ได้โตดำๆมีปีกนำ ให้เลือกออก มัน ขิว

    -ไข่มดแดงอีกชนิดหนึ่ง กะคือ ไข่มดแดงใหญ่ เป็นไข่ใหญ่ๆ ที่เฮาฮู้จักกันดีนี่หละ ไข่ใหญ่ จะมีขนาดใหญ่กว่าโตมดแดง แล้วกะบ่เจริญเติบโตไปเป็นมดแดงนำ ไข่ชนิดนี้จะเจริญเติบโตไปเป็น แม่เป้ง ซึ่งแม่เป้งจะเป็นมดแดงในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งสามารถบินได้ การบินได้ เป็นกลไกอย่างหนึ่งที่เฮ็ดให้ มดแดงบ่ดับแนว บ่สูญพันธุ์ เพราะแม่เป้ง เมื่อใหญ่เต็มตัว มันสิบินหนีจากฮัง บินไปไกลจนกว่าแฮงสิเหมิด ไปสู่ต้นไม้ต้นอื่น แล้วแม่เป้งกะสิออกไข่ แล้วได้ลูกเป็นมดแดงอีกทีหนึ่ง เฮ็ดให้ออกลูกแพร่หลานต่อไป ก่อนมันสิตาย ด้วยเหตุนี้เอง เฮ็ดให้มดแดงขยายอาณาจักรไปได้ไกล
      
มดแดงนั้น เฮานำมาเป็นอาหาร ได้ทุกช่วงอายุ ของวงจรชีวิต

    -โตมดแดง เอามาตำใส่กล้วยดิบ หรือตำใส่บักจันทร์ หรือตำใส่แนวฝาดๆนั่นหละ หรือว่าสิเอาไปต้มใส่ปลา เป็นต้มส้มมดแดง กะได้

    -ไข่ผาก เอามาก้อยมาแกง มาต้ม ได้

    -ไข่ใหญ่ ที่เฮานิยมกินกัน เอามา ต้ม ผัด แกง ทอด ได้เหมิด หรือสิก้อยกินเลย แฮ่งแซบ

    -แม่เป้ง เอามคั่วกิน มันดี แต่เวลาคั่ว ให่เทน้ำที่ส้มๆมันออกก่อน แล้วค่อยคั่วต่อไป มันจั่งบ่ส้มโพด หรือผู้ได๋มักส้มๆกะบ่เทออกกะได้ หรือเอาสิเอาแม่เป้ง มาแกงใส่หน่อไม้ ใส่อ่อมหวาย กะได้คือกัน

เอาไว้ส่ำนี่ก่อนเนาะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 538 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 537 ครั้ง
 
 
  06 มี.ค. 2549 เวลา 13:40:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) ก้อยไข่มดแดง(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ไข่มดแดง เป็นอาหารที่หากินได้เฉพาะบางฤดูกาล เท่านั้น เพราะมดแดงจะเร่งแพร่พันธุ์หลาย ในฤดูร้อน แต่ว่าบ่ใช่เฉพาะมดแดงใหญ่ที่อยู่ตามต้นไม้เท่านั้นที่เร่งขยายพันธุ์ในฤดูร้อน มดแดงน้อยที่อยู่นำบ้านคนเฮา หรือมดคันกะแพร่หลายคือกัน ลองสังเกตุเบิ่งเวลามื่อได๋ฮ้อนๆ เทิงมดแดงน้อย มดคันสิพากันเดินหลั่งล่วยๆต่อแถวเป็นระเบียบคัก

    ฮังมดแดงที่มีไข่ใหญ่นั้น สิเริ่มมีไข่ตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาว ประมาณเดือน กุมภาพันธ์ สิออกไข่หลายในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ไปจนถึงเดือน พฤษภา มิถุนา โดยเฉพาะยามมีฝนตกใหม่ พุ่นหละ ส่วนแม่เป้ง สิมีหลังมีไข่แล้ว เพราะว่าแม่เป้ง ใหญ่มาจากไข่ใหญ่ ของมดแดง ส่วนไข่ผากจะมีตลอดปี ย้ำอีกทีหนึ่ง ไข่มดแดงทีใหญ่ๆเฮากินนี่ เกิดมาจากมดแดงโตน้อยๆนี่หละเด้อ มังกรเดียวดายเอ้ย บ่แม่นเป็นลูกของแม่เป้งเด๊ แล้วกะแม่เป้งออกไข่แล้วเป็นโตมดแดงเด๊ บ่แม่นออกลูกเป็นแม่เป้ง ลองกลับไปเบิ่งแผนผังอีกทีหนึ่ง ส่วนวงจรชีวิตมันอีหลีนั่น ถ้ามีโอกาสสิไปหาค้นคว้ามาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง

    ต้นไม้ที่มดแดงนิยมเฮ็ดฮัง แล้วกะออกไข่ มักสิเป็นต้นไม้ยืนต้นที่มีใบใหญ่แล้วกะหนา เพราะเฮ็ดฮังง่ายแล้วกะแข็งแรง บ่ว่าสิเป็นกกบักม่วง กกโก กกหว้า คือในเพลงนั่นหละ แต่ว่าฮังมดแดงกะพบได้ทั่วๆไป บนกกไม้ทั่วไปนั่นหละ แต่ว่าถ้าเป็นแถวได๋ที่มีน้ำอยู่ใกล้ๆ เช่น อยู่แถวริมห้วย ริมหนอง ที่มีน้ำอยู่ใกล้ มดแดงมันสิออกไข่ได้ดีกว่า หม่องที่แห้งแล้งคักๆ แต่เมื่อยามมีฝนตกมาใหม่ยามเดือนสี่ เดือนห้า บ่ว่าหม่องได๋กะพอหาแหย่ไข่มดแดงได้กินอยู่ บ่ว่าสิเป็นนำหัวไร่ปลายนา  นำโคกนำป่า นำภูนำเขา กะหลายคัก แต่ว่ากะบ่แม่นว่าฮังมดแดงทุกฮังสิมีไข่คือกันเหมิด ผู้ที่เป็นนักแหย่ไข่มดแดงอีหลีนั่น สิฮู้จักดีว่าต้นไม้ต้นได๋เป็นตามีไข่ หลาย ต้นได๋สิมีแต่ไข่ผาก เวลาไปหาแหย่ไข่มดแดง เขาสิจำไว้ว่าปีก่อนนั้นต้นไม้ต้นได๋มดมันไข่ดี กะจั่งไปแหย่ บ่แม่นแหย่ไปตะพรึดตะพรือ มันเมื่อยซื่อๆ

    การแหย่ไข่มดแดง แต่ละท้องที่กะสิมีความแตกต่างกันบ้าง บางที่กะสิใช้กระต่าน้อย มัใส่ปลายไม้คันหลาวยาวๆ ยาวจนมันแหย่ได้ฮอดปลายไม้พุ่นหละ  แต่บางที่กะสิใช้สวิง หรือผ้ามุ่ง มามัดใส่ปลายไม้ ที่ปลายไม้กะต้องเหลาปลายให่มันสีแหลมๆจักหน่อย ให้มันแทงฮังมดแดงแตกง่าย เวลาแหย่ เฮากะเด่ไม้ ขึ้นไปแทงไข่มดแดงให้มันแตก ไห้ไข่มดแดง พร้อมแม่เป้ง รวมทั้งโตมดนำ ให้มันหล่นลงใส่กระต่าที่ฮองอยู่ เฮาต้องบ่แหย่แฮงเกินไป เพราะไข่มันสิกระเด็นออกนอกกระต่าหรือกระต่าข่วม ต้องค่อยๆเคาะที่ไม้แหย่ให้ปลายไม้มันสั่นให้ไข่มดแดงมันค่อยๆตกลง มีนักแหย่ไข่มดแดงสมัครเล่นบางคน พอแหย่ฮังแตกแล้ว เห็นไข่มันหลาย ดีใจคัก แหย่เหมิดแฮงไข่ข่วมเสียเหมิด อันนี่ต้องระวัง

    ช่วงเวลาที่เหมาะกับการไปแหย่ไข่มดแดงกะคือยามมื่อเซ้า เพราะอากาศบ่ทันฮ่อนหลาย มดสิกัดบ่ทันเจ็บ แต่ถ้าแหย่ยามกังเว็น อากาศฮ้อนๆ เทิงมดกัด เทิงเหงื่อไหล แสบเข้าไปถึงทรวงเลย จุดที่มดแดงมักกัดแล้วเฮ็ดให้แสบที่สุดกะคือ กัดคอ บางคนถือกัดจนคอโปกเหมิด อีกเวลาหนึ่งที่นิยมไปแหย่ กะคือยามมื่อแลง แดดเริ่มอ่อน ตะเว็นรอน คล้อยต่ำ พุ่นหละ

    หลังจากที่เฮาแหย่ได้ในกระต่าได้หลายเติบแล้ว กะเอามาเทลงคุถัง ที่ใส่น้ำพอสมควร ให้แม่มดแดงมันเปียกน้ำ บ่ไต่มากัดคน แหย่ไปแหย่มาเป็นตาพอกินแล้วกะเมือบ้าน เอาด้ายเครือหูก มาแกว่งให้แม่มันจับ เอาออกมาแยกแม่มันไว้ต่างหาก ไว้ถ่าตำไส่กล้วย แยกเอาไข่ออกไว้ส่วนหนึ่ง แม่เป้งกะแยกไว้ต่างหาก เมื่อแยกได้แล้วเฮา กะเอาไปเอ็ดแนวกินได้ตามใจชอบ

    มีอีกวิธีหนึ่งที่นักแหย่ไข่มดแดง เฮ็ดกะคือ บ่อต้องเทไข่มดแดงที่แหย่ได้ลงน้ำ แต่ว่าเทใส่กระด้ง หรือกระต่า แล้วใซ้ แป้งมัน หรือแป้งสิงคโปร์ โฮยลงไป เมื่อแป้งมันถืกไข่มดแดง แม่มดแดงที่สิพยายามขนไข่หนี มันกะสิลื่น กัดไข่บ่ออยู่ บ่สามารถขนไข่หนีได้ มันกะสิไต่หนีไปเอง เหลือตั้งแต่ไข่มดแดงล้วนๆ วิธีนี่มีประโยชน์กะคือ เอาแต่ไข่ จ่งแม่มันไว้แพร่ต่อ แล้วกะไข่มดแดงบ่ได้ถืกน้ำ มันสิเก็บไว้ได้โดน บ่เน่าง่าย ส่งไปขายฮอดกรุงเทพฯได้

                                  

 
 
สาธุการบทความนี้ : 375 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 374 ครั้ง
 
 
  07 มี.ค. 2549 เวลา 13:27:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่2) ก้อยไข่มดแดง(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
อธิบายต่ออีกนิดหน่อยว่า ทำไมมดแดงโตน้อยๆ บัดไข่คือใหญ่คักแท้  ก็เพราะว่า ไข่มดแดง ที่เฮากิน ที่เฮาเห็นเป็นไข่ใหญ่ๆนั่น ที่จริงบ่แม่นไข่มดแดง เอ๋าคือว่าจังสั้น? ไข่มดแดงแท้ๆ บัดว่าบ่แม่นไข่มดแดง กะคือ ไข่…ของคนเฮานี่หละ ที่จริงกะบ่แม่นไข่คน  คือกัน ความจริงกะคือ ไข่มดแดงที่เฮากินกัน มันเป็นระยะโตอ่อน ไปจนถึงระยะดักแด้ ของแม่เป้งนั่นเอง แม่เป้งเป็นโตเต็มวัย ไข่มันกะน้อยๆคือกัน แล้วมันกะค่อยฟักเป็นโต ค่อยใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนเปลี่ยนรูปร่าง เป็นแม่นาง กะคือ แม่เป้งอ่อนโตสีขาวๆนั่นหละ ก่อนสิใหญ่เป็นแม่เป้งต่อไป

กะคือกันกับวงจรชีวิตแมลงทั่วไป ที่มีหลายระยะ แต่ที่สังเกตุเห็น มดแดงมันบ่ลอกคราบ มันสิค่อยๆใหญ่ เปลี่ยนรูปร่างไปเลย(หรือมันสิลอกคราบอยู่ กะบ่ฮู้จัก) เปรียบเทียบใส่กับโตม่อนโตไหม เนาะ ระยะที่เป็นไข่ กะไข่น้อยๆ พอไข่แตกเป็นโต กะสิผ่านช่วง นอนหนึ่ง นอนสอง นอนสาม นอนใหญ่ แล้วกะสุก เฮ็ดฮังกะคือฝักหลอก แล้วกะกลายเป็นดักแด้ ถ้าเฮาบ่เอามาสาว มันกะสิกลายเป็นบี้ ออกไข่ต่อไป แต่ว่าม่อน มันมีรูปแบบวงจรชีวิตแบบเดียว ส่วนมดแดง มันมีหลาย อย่างคือพวกมิ้ม มีมดงาน กะคือมดแดงโตส้มๆนั่นหละ มีมดนางพญา กะคือแม่เป้ง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 547 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 546 ครั้ง
 
 
  08 มี.ค. 2549 เวลา 13:08:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่3) ก้อยไข่มดแดง(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
เว่าแต่เรื่องไข่มดแดงมาหลายมื่อแล้ว บ่ทันได้ก้อยจักเทื่อ ผู้ลังคนกะปั้นข้าวถ่าคุ่ยแล้ว ยามได๋สิก้อยน้อ ผู้ลังคนกะลวกผักสาบ ถ่าแล้ว ลวกดอกแคท่ง ไว้แล้ว บัดผู้ไปหาแหย่ไข่มดแดง บ่ทันกลับมาอยู่  โอ๊ะ..มาแล้ว มาแล้ว…มาเอามาก้อยถ้าแม้….

ก้อยไข่มดแดง

ส่วนประกอบ

1.ไข่มดแดง 1 ถ้วย  อย่าเลือกเอาแม่แดงมันออกเหมิดหลาย จ่งไว้จักหน่อยให้มันมีรสส้ม เพราะว่าก้อยไข่มดแดงบ่ต้องใส่บักนาว มดแดงมันส้มอยู่แล้ว

2.แจ่วผงหรือพริกป่น นี่หละ

3.ข้าวคั่ว สำหรับข้าวคั่วนี่ สมัยก่อนไทบ้านเฮาสิบ่ตำข้าวคั่วใส่กระปุกไว้คือกับสมัยนี้ บางคนกะว่าคนสมัยก่อนขี้คร้าน แต่ความจริงกะคือว่า ข้าวคั่ว ที่คั่วแล้วตำใหม่ๆ มันสิมีกลิ่นหอม ถ้าคั่วไว้โดน มันสิบ่อหอม ดังนั้นคนสมัยก่อนเมื่อถึงเวลาสิเฮ็ดแนวกิน จำพวก ลาบ จำพวกก้อย เขาจั่งค่อยคั่วข้าวคั่ว คั่วหน่อยๆพอเฮ็ดกินเป็นครั้งคราวเอา มันจั่งหอม บ่คือสมัยนี้ คั่วข้าวคั่วแต่ละทีบักหลาย แล้วกะใซ้เครื่องปั่น ปั่นใส่กระปุกไว้กินเป็นเดือน ความหอมของข้าวคั่วกะสิลดลง นอกจากเรื่องความหอม แล้วการคั่วข้าวคั่วไว้โดน มีโอกาสสูงที่ข้าวคั่วสิเกิดรา แล้วรากะสิสร้าง ท๊อกซิน ที่ชื่อว่า อะฟลาท๊อกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญ อันนี่เฮาควรระวัง ถ้าเป็นไปได้ ควรสิเฮ็ดตามคนโบราณเฮา ที่บ่คั่วข้าวคั่วไว้ ยามสิเฮ็ดลาบ เฮ็ดก้อยจั่งค่อยคั่วตำเอา แต่ว่าแจ่วผง เฮาได้ใซ้ดู๋ อันนี่กะคั่วไว้ เพรากะปุกหนึ่งกินบ่กี่วันกะเหมิด

4.น้ำปลา หรือน้ำปลาแดก

5.ผักหอมต่างๆ เช่น หัวผักบั่ว ผักซีจีน สะระแหน่ เป็นต้น


วิธีปรุง

1.เทแจ่วผง ข้าวคั่ว น้ำปลา ลงไปในถ้วยไข่มดแดง ที่เฮาล้างสะอาดแล้ว คนให้เข้ากัน ผู้ได๋มักเผ็ดกะใส่แจ่วหลายๆ แต่ต้องระวังอย่าสะใส่น้ำปลาหลาย เพราะมันเค็มง่าย มันสิไปใกล้บรบือโพด (ทางสารคาม ถ้าเฮ็ดแนวกินเค็ม เขาสิว่าอยู่ไกล้บรบือ เพราะแต่ก่อน บรบือ ต้มเกลือหลาย)

2.ซอยหัวผักบั่ว ผักซีจีน สะระแหน่ลงไป คนให้เข้ากัน หรือบางคนกะสิใส่ครก ยั่วให้ไข่มดแดงแตกจักหน่อย แต่ว่าทางที่ดีบ่อต้องตำดอก เวลากินเฮาจั่งค่อยปั้นคำข้าวสีใหญ่ๆ จ้ำแฮงๆไข่มดแดงมันกะสิแตกเอง (สูตรนี่บ่ให้ใส่ผงชูรสเด้อ รสชาติมันดีอยู่แล้ว บ่ต้องชูอีก)

3.แบ่งใส่ถ้วย หาพาข้าวลง กินกันเลย แต่ว่าถ้าสิให้แซบต้องกินกับผัก ผักที่เอามากินกับก็ต้องเป็นผักตามฤดูกาล ได้แก่ ลวกผักสาบ (อย่าลวกเปื่อยหลายมันสิเซาขม) ลวกดอกแคท่ง ยอดผักติ้ว ผักเม็ก ผักกะโดน ผู้ได๋มักเผ็ดกะหักบักพริกหน่วยกินกับ โฮ้…ซี้ด….เผ็ดๆ แซบคัก แซบคัก แต่อย่าสะกินเพลินหลาย เดี๋ยวกัดพุงแก้มจะของ สิได้น้ำตาตกใน เด้..

ปล.ข้อควรระวัง ถ้าผู้ได๋ ท้อง ไส้ บ่ค่อยดี อย่าสะกินหลายๆเด้อ ก้อยไข่มดแดง เพราะมันดิบ มันสิเฮ็ดให้ยื่ง เจ็บท้องได้ หรือตดซู่กันดม อยู่เหมิดมื่อ…


                                      

 
 
สาธุการบทความนี้ : 377 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 376 ครั้ง
 
 
  10 มี.ค. 2549 เวลา 08:40:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 


เผลอไปแป๊บเดียว ครบรอบหนึ่งปีแล้วที่ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องก้อยใข่มดแดง และกะครบรอบหนึ่งปีที่สิเข่าสู่ฤดูกาลแหย่ไข่มดแดงอีกแล้ว

พอดี เมื่อวาน(6 มี.ค. 50) หลังจากเลิกงานข้าพเจ้าได้อยู่บ้านเฉยๆ บ่ได้ไปทางได๋ กะเลยย่างอ้อมบริเวณบ้านเบิ่งไปเทิงกกบักม่วง เห็นฮังมดแดงฮังใหญ่ๆอยู่หลายฮัง กะเลยคึดว่ามันคงสิฮอดยามแหย่ไข่มดแดงแล้ว กะเลยไปหากะต่ามามัดใส่ไม้ส่าว ลองแหย่เบิ่ง ปรากฏว่า ในฮังมดแดงมีไข่บักหลาย มีแม่เป้งพร้อม กะเลยทำการแหย่จริงๆจังๆ ได้ไข่มดแดงเต็มถ้วยบักใหญ่ กะเลยได้กินเข่าแลงกับก้อยไข่มดแดง แซบบักคัก กะยังว่า เสียดายบ่มีผักหวานมาแกงใส่ คันจั่งสั้นสิแซบคัก

เป็นจั่งได๋น้อ ซุมอยู่ทางกรุงเทพ กรุงไท คึดอยากแหน่บ่น้อไข่มดแดง ถ้าสนใจกะไปเยี่ยมไปยามทางสารคามได้เด้อ สิไปหาแหย่ไข่มาสู่กิน หรือ ถ้าอยากกินแกงใส่ผักหวาน กะสิพาไปยามพ่อใหญ่เล็กทางเขาวง กาฬสินธุ์ กะได้ ได้ยินข่าวว่าทางพู่นผักหวานเพิ่นหลายสั่นดอก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 328 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 327 ครั้ง
 
 
  07 มี.ค. 2550 เวลา 22:19:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
หน้านี้แหละที่มดแดงจะออกไข่เยอะ แถวบ้านแหย่กินเกือบทุกวัน

ถ้าต้นไม้ไหนมีรังมดแดง ช่วงนี้ส่วนใหญ่จะมีไข่ แต่ที่แน่ๆ ก็ต้องเอาไม้แหย่ดูเหมือนบ่าวหน่อว่านั่นแหละ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 407 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 407 ครั้ง
 
 
  31 มี.ค. 2550 เวลา 12:47:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่16)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
โฮ้... บ่าวหน่อ หาเรื่องยากให้กันแล้วบ้อ หะเนี่ย

แต่ว่า.. ถ้าบ่ให้แหย่ที่ฮังมดแดง แล้วสิไปแหย่อีหยังหละ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 265 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 265 ครั้ง
 
 
  03 เม.ย. 2550 เวลา 21:23:36  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่19)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ให้แหย่ได่แต่ฮังมดแดงอย่างเดียวเด้อ กระบี่โลหิต อย่างอื่นบ่ให้แหย่


ตี้... นึกว่าสิให่แหย่อั่นนั่น ตกใจเหมิด

 
 
สาธุการบทความนี้ : 291 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 291 ครั้ง
 
 
  05 เม.ย. 2550 เวลา 22:30:07  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   2) ก้อยไข่มดแดง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่21)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
อั่นนั่น แมนอีหยัง อ้ายกระบี่โลหิต  ช่วยชี้ชัดแหน่ครับ ว่าอั่นนั่นแมนอีหยัง


กะ ฮังมดแดง นั่นหละ อย่าคึดเลิกไปหลายเด้อ บ่าวหน่อกะดาย....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 393 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 392 ครั้ง
 
 
  08 เม.ย. 2550 เวลา 21:33:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   4) ลาบแย้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ลาบแย้      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
   บัดนี้กะมาฮอดรายการลาบแย้ แล้ว ลาบสัตว์เลื้อยคลาน ตระกูลเดียวกับ ไดโนเสาร์

ก่อนอื่น เฮาต้องไปหาแย้มาสาก่อน บ่อต้องเอาหลายดอก จัก เจ็ดแปดโต กะพอ ถ้าเป็นยามฝนตกใหม่จั่งซี่ ไปหาขุด ไล่เอากะได้บ่ยาก ฝนตกใหม่ๆจั่งซี่ แย้ มันสิผุนฮู หรือผันฮู เกี้ยงม่อยล่อย เป็นที่สังเกตุได้ง่าย ว่าฮูได๋เป็นฮูแย้ บ่แม่นฮูจิโป่ม บ่แม่นฮูแมงเงา แย้โตผู้สิฮูใหญ่ๆเกี้ยงๆบ่มีขี้ขวย ส่วนแย้โตแม่ฮูสิมีขี้ขวยจักหน่อย เอ๋า..ฮู้ได้จั่งได๋ว่าโตได๋แย้ผู้ โตได๋แย้แม่ วิธีสังเกตุกะคือ แย้ผู้สิมีลำโตใหญ่ ล่ำสัน แถบสีข้างลำโต สิสีสดใส มีสีแดงสดใส แถบดำกะดำงาม ส่วนแย้แม่สิโตน้อยกว่า แล้วกะแถบสีอยู่ข้างลำโตสิสีซีด บ่ค่อยงามส่ำแย้โตผู้

การไปไล่แย้ ควรสิไปนำกันจัก สอง สาม คน ยามก่นแล้วแย้แล่นออกแปวสิได้ลัดซ่อยกัน เอาหนังสะติ๊กไปนำเด้อ ลังเทือแย้มันแล่นเข้าพุ่มไม้สิได้ยิงเอา เอาเสียม ดวงเข้าๆจักหน่อย สิได้ก่นง่าย การย่างไปหาไล่แย้ เฮาต้องเหลียวมองไกลๆ มองไปข้างหน้าจัก 50-100 เมตร ถ้าเห็นแย้แล่นเข้าฮู กะไปก่นเอาเลย ถ้าผู้ได๋เหลียวแต่อยู่ไกล้ๆ สิบ่เห็นว่าแย้มันแล่นไปทางได๋ เพราะแย้มันหูดี ได้ยินเสียงคนย่างตั้งแต่ไกลๆ มันแล่นหนีเหมิด

เวลาก่นแย้ กะต้องก่นอย่างระมัดระวัง เพราะแย้มันแล่นไว บางโตกะแล่นออกแปว ต้องแล่นไล่อีก บางโตกว่าสิได้ต้องขุดตั้งหลายฮู แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่ใช้หาแย้ โดยบ่ต้องก่นบ่ต้องไล่ กะคือไปห่างเอา อั่นนี่กะดีคือกัน

พอเฮาได้แย้มาแล้ว ถ้าได้หลายกะเอามาขังไว้เฮ็ดกินมื่อลุน หรือบ่กะเฮ็ดแนวกินหลายๆอย่าง นอกจากลาบแล้วกะอาจสิปิ้งกินเลย หรือ หมกแย้ใส่ดอกกะเจียว หรือ ผัดเผ็ดใบกระเพรา กะแซบหลาย

ส่วนการเฮ็ดลาบแย้ นั่นมีวิธีการลาบ ดังนี้

1.เอาแย้มาเคาะหัว ให้มันสิ้นชีพ แล้วกะเผาไฟ พอให้เกล็ดมันไหม้ จักหน่อย บ่แม่นเผาให้มันสุกเด้ หลังจากนั้นกะเอามาผ่าท้อง แบ๋ขี้ ออกให้เรียบร้อย ล้างน้ำให้สะอาด

2.เอาแย้ที่ล้างดีแล้ว มาใส่หีบ ย่างไฟให้มันสุก แต่บ่ต้องเอาแห่มหลาย เอาพอหอมๆ พอสุกแล้ว เอามาฟักให้ละเอียด แล้วกะเอาใส่ครกตำให้กระดูกมันมุ่น และเนื้อมันพุจักหน่อย

3.ต้มน้ำใส่ปลาแดกจักหน่อย เอามาคนใส่แย้ที่ฟักไว้ ระวังอย่าสะคนน้ำหลาย เดี๋ยวน้ำมันหลายโพด มันสิบ่แซบ

4.คั่วข้าวคั่วตำใหม่ๆหอมๆ ตำแจ่วผงหอมๆ แล้วกะเทใส่ อย่างละพอประมาณ บีบบักนาว หรือบักเว่อร์(อันนี่จักว่าสิเขียนว่าจั่งได๋ ให้เข้าใจว่าบักเว่อ กะแล้วกัน) ใส่ให้มันส้ม คนให้เข้ากัน

5.ซอยหัวผักบั่ว ผักชีหอม ต้นหอม ใส่ลงไป แล้วกะที่ขาดบ่ได้ กะคือซอยใบบักเว่อร์ ใส่จัก สองสามใบ อาหารประเภทลาบของชาวอีสานเฮา ถ้าขาดความหอม ของใบบักเว่อร์ มันบ่ครบสูตร

6.คนให้เข้ากันแล้วกะซีม เบิ่ง ถ้ายังบ่ทันแซบกะปรุงแต่งรส ตามต้องการ ถ้าแซบแล้ว กะตักใส่ถ้วย หาพาข้าวลงกิน

ผู้ลังคนกะลวกผักแก่นส้ม-แก่นขม รอแล้ว มา..มา..มากินข้าวกับลาบแย้ นำกันเด้อ….

 
 
สาธุการบทความนี้ : 402 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 401 ครั้ง
 
 
  15 มี.ค. 2549 เวลา 16:01:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   5) ผักกุ่ม  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) ส้มผักกุ่ม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ระวัง..ระวัง..

ระวังตกต้นกุ่ม เด้อ อย่าสะปีนไปหม่อหลาย ง่ามันสิพาหักเด้

ส้มผักกุ่ม-ส้มผักก่าม เฮาสิหากินได้เฉพาะฤดูแล้งนี้ เท่านั้น

ส่วนฤดูกาลอื่น กะสิมีคือกัน แต่ว่า สิบ่ได้กินดอกมัน สิได้กินแต่ยอด แต่กะแซบคือกัน แต่บ่มันดีคือดอก

วิธีการเฮ็ดกะบ่ยาก ส้มผักกุ่ม แค่เอาดอกผักกุ่มที่ เก็บมาได้ มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วกะ แช่ดอกผักกุ่ม ดอกผักก่าม ใว้ในน้ำ ทิ้งไว้จัก 2 คืน ให้เบิ่งว่า สีใบของมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีด จากนั้นกะเอาขึ้นมา ใส่เกลือแล้วกะใส่น้ำข้าวหม่า (น้ำข้าวหม่าที่หม่าไว้ดนดน บ่แม่นดลหม่า) แช่ไว้จักคืนหนึ่ง กะเอามากินได้แล้ว แต่กะระวังเรื่องความสะอาดนำ เดี๋ยวมันสิเน่า

วิธีการกินกะเอาขึ้นมากินเลย หรือผู้ลังคน มักรสส้ม กะเอามาก้อย ใส่เกลือ ไส่บักนาวบีบลงไปนำ กะแซบไปอีกแบบ

กินส้มผักกุ่ม กับก้อยไข่มดแดง แซบคัก

ปล.มื่อก่อนนั่นไปหาแหย่ไข่มดแดง แหย่ไปแหย่มา บัดได้แต่แม่เป้ง จักว่าเป็นแนวได๋ แหย่ไข่มดแดง บัดได้แม่เป้ง คือบ่ว่าไปแหย่แม่เป้ง เนาะ ...คือยามไปซ่อนฮวกนั่นหละ ไปซ่อนฮวก บัดได้ แต่แมงอีด แมงละงำ คือบ่เลือกถิ่มหละหือ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 488 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 486 ครั้ง
 
 
  16 ส.ค. 2549 เวลา 09:13:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) ก้อยกะปอม  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ก้อยกะปอม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
เว่าเรื่องก้อยกะปอม แต่ก่อนนั่น  เว่าให้ผู้ลังคนฟังว่าสิพาไปกิน ก้อยกะปอม ผู้ลังคนกะสั่นหัว แถมมาว่าเฮากินอีหยังไปทั่วไปทีบ เป็นตาขี้เดียดแท้ เพราะเพิ่นคึดว่า ก้อยกะปอม สิเป็นคือก้อยกุ้ง ก้อยปลาซิว หละตี้ ที่เอากุ้ง เอาปลาซิวโตเป็นๆ มาก้อยใส่ข้าวคั่ว ใส่แจ่ว กุ้งเต้น โด่งเด่ง โด่งเด่ง กะเลยคึดว่าเฮาสิเอากะปอมดิบๆมาก้อย  แต่ที่จริงแล้ว ก้อยกะปอมบ่แม่นจั่งซั่น เฮาเฮ็ดสุกอย่างดีพุ่นหละแหม๋ แต่ที่เอิ้นก้อยกะเพราะว่า เครื่องปรุงส่วนใหญ่มันสิปรุงเป็นก้อย บ่แม่นก้อยดิบๆ(บ่คือก้อยงัวเด้ ก้อยงัวต้องเอาดิบๆมันจั่งบ่หยาบ บ่คาว)

ก่อนเฮาสิเฮ็ดก้อยกะปอม ก่อนอื่นเฮาต้องไปหากะปอมมาสาก่อน วิธีการไล่ล่ากะปอมที่ข้าพเจ้าฮู้จักกะมีอยู่สองสามวิธี กะคือ

1.ไปคล้องเอา วิธีนี่เฮาสิใช้ไม้คล้องกะปอม กะคือเฮ็ดบ้วงผูกปลายไม้ไผ่สียาวๆเติบ หรือผู้ลังคนขี้คร้านเหลาไม้ไผ่ กะเอาไม่ลำปอ ลำใหญ่ๆกะได้คือกัน เวลาไปหาคล้องกะปอม เฮากะต้องใช้วิธี มองไกล คือจั่งไปไล่แย้นั่นหละ เหลียวไปต้นไม้ไกลๆเติบ เพราะว่าขี้กะปอม มันสิลงมาหากินอยู่ต่ำๆ ถ้ามันตื่นคน มันจั่งสิไต่ขึ้นต้นไม้ที่สูง วิธีที่สิเฮ็ดให้กะปอม บ่ตระหนกตกใจง่ายกะคือ เฮาต้องผิวปากไปนำ ย่างไปนำผิวปากไปนำ อาจสิผิวเป็นทำนองได๋กะได้ ลูกทุ่ง สตริง หมอลำ ขี้กะปอมมันมักเหมิด กะปอม พอมันได้ยินเสียงผิวปากของคน มันกะสิเคลิ้ม ตอดเงาง๊อกๆ เฮากะเอาบ้วงไปคล้องคอ แล้วกะ ซิดปั๊บ ขี้กะปอมกะติดบ้วง อ้อนต้อน ปลดใส่ข้องเลย

2.วิธีที่สองนี่ วัยรุ่นชอบใช้ เพราะมันรุนแรงดี กะคือ ยิงเอา อาจสิใช้หนังสะติ๊ก หรือเป่าพลุ กะได้ เวลาเห็นกะปอมกะยิงเลย แต่ควรสิยิงตรงหัวมันเด้อ ถ้ายิงโตมัน มันขี้แตก เน่าง่าย เอามาก้อยบ่แซบ ข้อดีของวิธียิงเอากะคือ ถึงแม้กะปอมสิแล่นขึ้นต้นไม้สูงปานได๋ เฮากะยิงถึง  บางทีกะปอมโตเดียว ใช้ลูกกระสุนเหมิดเป็นหอบ โดยเฉพาะกะท่าง หรือกะปอมก่าแหล่ มันสิแล่นขึ้นปลายไม้สูงเร็ว แต่ข้อเสียกะคือ กะปอมมันสิตายมันบ่สด เท่าไปคล้องเอา

แต่บางทีในการออกล่าแต่ละที เฮากะใช้ทั้งวิธีที่ 1 และที่ 2 ร่วมกัน หรือเอาทั้งเสียม ไปหาก่นแย้นำ ผสมผสานกันไป เอาทุกอย่าง บางทีกะไล่นกขุ่ม หรือนกคุ่ม ไปนำ บางทีได้งูสิง กะเอามาต้มคือกัน

3.วิธีล่ากะปอมวิธีที่ 3 เหมาะสำหรับคนที่บ่มีเวลาไปหาอยู่หากินยามกังเว็น เพราะยามกังเว็นต้องเฮ็ดเวียกเฮ็ดงาน กะใช้วิธีนี่ คือ วิธีใต้กะปอม ไปหาใต้ยามกลางคืน กะปอมนี่กะแปลก มันอาศัยอยู่เทิงต้นไม้ใหญ่กะจริง แต่เวลากลางคืนมันนอน นันสิบ่นอนอยู่สูง หรือมันย่านนอนหลับตกต้นไม้บุ๊หนิ มันสินอนนำกิ่งไม้ต่ำๆ เวลาเฮาไปใต้ กะสิเอาได้ง่ายๆ จับเอาเลย วิธีนี่เอากะสได้โตเป็นๆเอามาขังไว้กินหลายมื่อได้ ยามกลางเว็นกะไปทำงาน ยามกลางคืนกะไปใต้กะปอม แต่ว่าเวลาไปใต้ กะบ่เอาแต่กะปอมดอก ถ้าเห็น อึ่ง เห็นเขียดกะเอาคือกัน

วิธีการไล่ล่ากะปอมทั้งสามวิธีที่กล่าวมา กะแล้วแต่ผู้ได๋ถนัดวิธีได๋ กะใช้วิธีนั่น หรือสิใช้วิธีผสมผสานกันกะได้บ่มีข้อห้าม

แต่ว่าอย่าสะไปล่ามาเทือละหลาย หลายเด้อ เอาพออยู่พอกิน อย่าสะเอามาจนมันดับแนวหละ

เมื่อเฮาล่ามาได้หลายเติบแล้ว เฮากะเข้าบ้าน เอากะปอมที่หาได้ มาเฮ็ดแนวกิน กะปอมหรือขี้กะปอมนั้น สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น เอามาปิ้งกินเลยกะแซบ หรือสิตากแห้งไว้ทอด กะดี ผัดเผ็ดกะปอมกะแซบบ่ค่อย หรือสิเอามาก้อย เฮ็ดก้อยกะปอม ที่สิเฮ็ดอยู่นี่หละ ก้อยสุกเด้ บ่แม่นก้อยดิบ ก้อยกะปอม ใส่บักม่วงน้อย บักม่วงน้อยที่หน่วยแก่ๆ… เอ๋า…ผัดว่าบักม่วงน้อยมันคือแก่ บักม่วงน้อยมันกะต้องอ่อนตั๊ว.. คือ เด็กน้อยมันกะอ่อน ..มันบ่แก่..บ่แม่นจั่งซั่น..บักม่วงน้อยในที่นี่หมายถึง บักม่วงน้อย บ่แม่นบักม่วงหน่วยน้อย เป็นพันธุ์บักม่วงน้อย บ่แม่นพันธุ์บักม่วงใหญ่ เอาบักม่วงน้อย ที่หน่วยใหญ่ๆ เหิ่มๆ นั่นหนา
                                                                                          

 
 
สาธุการบทความนี้ : 1080 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 1078 ครั้ง
 
 
  22 มี.ค. 2549 เวลา 13:13:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   6) ก้อยกะปอม  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) ก้อยกะปอม(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
หลังจากที่เฮาไปหาไล่กะปอม มาได้หลายพอสมควรแล้ว ขณะเดินทางเมือบ้าน เห็นต้นบักม่วงน้อย ที่มีหน่วยใหญ่ๆ กะให้เอาค้อนฟาดให้มันหล่น จักห้าหกหน่วย ..แต่ก่อนที่สิเอา.. กะขอเจ้าของเขาแหน่หละ ถ้าเจ้าของเขาบ่อยู่ กะเว่าขอแล้วกะตอบเอาเองโลด ว่า ..เก็บเอาโลด บ่แพงดอก ..เมื่อมาฮอดบ้านกะจัดการยำบักม่วงน้อย ก้อยกินเผ็ดๆสาก่อน หลังกินก้อยบักม่วงแล้ว มันกะสิสะวายท้อง หิวข้าว กะไปหาซื้อก๋วยเตี๋ยวมากิน อิ่ม แล้วกะนอนเว็นเลย….

ฮ่วย..ฮ่วย.. กะปอมที่ไปหามาได้เอาไปไว้ไส มันสิบ่เน่าเหมิดก่อนติ เอามาก้อยถ้าแม้…

ลืมไป.. ลืมไป.. ลืมว่าไปหากะปอม มาเฮ็ดก้อยกะปอม บ่แม่นกินก้อยบักม่วงน้อย แล้วไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมากินจ้อย เอามา เอามา เอาขี้กะปอมมาลอกหนังถ่าแม้…..

วิธีการเฮ็ดก้อยกะปอมกะมีดังนี้

1.เอาขี้กะปอมที่เฮาไปหาคล้องมาได้ มาเคาะหัวให้มันสิ้นใจ ระวังมันสิกัดมือเอาเด้อ เจ็บเติบอยู่เด้ จากนั้นกะเอามาลอกหนังออกให้มันเรียบร้อย แต่สมัยก่อน เวลาไปโคกไปไฮ่ บ่มีน้ำล้างหลายกะบ่ลอกหนังกะได้ ใช้วิธีเผาเทิงโต แล้วกะขูดเกล็ดออก คือขูดเกล็ดแย้ นี่กะได้ หลังจากนั้น กะแบ๋ท้อง เอาขี้มันออก แต่ถ้าโตได๋ เป็นโตแม่ มันมีไข่ กะเลือกเอาไข่มันไว้ถ้าหมกแน่เด้อ (เอ๋า..สิฮู้ได้จั่งได๋ว่า โตได๋ โตเถิ้ก โตได๋โตแม่ วิธีสังเกตุง่ายๆกะคือ โตเทิ้ก สิโตใหญ่ๆ ยามอยู่นำต้นไม้ สิมีสีสดไส คอแดงจ่ายว่าย ที่เฮาเอิ้นว่า ขี้กะปอมคอแดงนั่นหละ ส่วนโตแม่ สีสิออกคล้ำๆลายๆโตน้อยๆบ่งาม เท่าโตผู้)

2.หลังจากเฮาลอกหนังขี้กะปอม แบ๋ขี้ออกดีแล้ว กะเอามาล้างน้ำให้สะอาด เอามาใส่หีบ หรือใส่เหล็กย่างกะได้ เอามาปิ้งให้มันสุก สุกแล้วสิมีกลิ่นหอม แต่ว่าขั้นตอนการปิ้งขี้กะปอม มาเฮ็ดก้อยกะปอมนั้น บ่ต้องใส่เกลือเด้อ บ่คือปิ้งกินเลย ที่ต้องใส่เกลือก่อน เพราะถ้าใส่เกลือนำเวลาปิ้งสุกแล้ว บี๋หางมันออกมาซีม มันแซบ กะสิเอามากินกับข้าวเหมิดก่อน บ่ได้ก้อยจ้อย

3.พอเฮาปิ้งสุกดีแล้ว (อย่าเอาแห่มหลายเด้อ) เฮากะเอามาขึ้นเขียง ใช้มีดอีโต้ทุบๆจักหน่อย แล้วกะฟัก ป๊ก ป๊กๆๆๆๆๆๆ ให้มันแหลกจักหน่อย หลังจากนั้นกะเอามาใส่ครก ตำจักหน่อย ให้ซิ้นมันพุ ให้กระดูกมันแหลก แล้วกะเทใส่ชาม

4.เตรียมเครื่องปรุงต่างๆ ได้แก่ คั่วข้าวคั่วตำดีๆ ตำพริกผง ซอยตะใคร้ หัวผักบั่ว ผักชีจีน และที่ขาดบ่ได้กะคือยำบักม่วงน้อยให้ละเอียด ถ้าย่านมันเปรี้ยวหลายกะปั้นน้ำมันออกจักหน่อย แต่ทางทีดีกะควร สิคั้นน้ำส้มๆมันออกก่อน ให้มันบ่ส้มคัก แล้วกะบักม่วงสิอ่อนดีนำ ผู้ได๋มักส้มหลายกะใส่หลายๆ หรือถ้าบ่มีบักม่วงน้อย กะใส่บักม่วงใหญ่กะได้

5.เอาอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ใน ข้อ 4 มาคลุกใส่กะปอมที่ฟักไว้ใน ข้อ 3  คลุกให้เข้ากันดีๆ หยอดน้ำปลาแดกจักหน่อย หรือน้ำปลากะได้ หรือผู้ลังคนย่านบ่แซบ กะใส่ผงนัว หรือผงชูรสจักหน่อยกะได้ แต่บ่แนะนำให้ใส่ดอก มันสิเสียรสชาติ คลุกให้เข้ากันดีๆแล้วกะซีมเบิ่ง

ข้อแตกต่างของวิธีทำ ระหว่างก้อยกะปอมกับลาบแย้ วิธีการส่วนใหญ่กะเฮ็ดคล้ายๆกัน แต่ลาบแย้เฮาสิต้มน้ำปลาแดก คนน้ำจักหน่อย ส่วนก้อยกะปอมบ่คนน้ำ เฮ็ดแห้งๆผงๆ

6.เมื่อซีมแล้ว ว่าแซบแล้ว กะเด็ด สะระแหน่ โฮยจักหน่อย ตักใส่จาน หาพาข้าวลงเลย

มา ..มา.. เอาลวกดอกกระเจียวมา บักพริกหน่วยมาพร้อมเด้อ มากินข้าวกับก้อยกะปอมนำกัน….
    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 534 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 532 ครั้ง
 
 
  23 มี.ค. 2549 เวลา 13:34:00  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   7) หมกเขียดน้อย  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) หมกเขียดน้อย      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
   เว้าถึง เขียดน้อย เนาะ กะเป็นอาหารอีสานเฮาชนิดหนึ่งที่หากินได้หลายยามช่วงฤดูร้อน เขียดน้อยเป็นหนึ่งในหลายๆชนิดของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตระกูลเขียด ตระกูลกบที่คนอีสานเฮากินเป็นอาหาร เป็นอาหารโปรตีนชั้นยอด ซึ่งสัตว์ในตระกูลนี่ที่เฮากินกะมี โตใหญ่ๆกว่าหมู่กะคือ กบ (กบเอ้บๆนี่หละ) รองลงไปกะคือเขียดโม้ หรือเขียดอีโม้ น้อยลงไปอีก กะมีเขียดจินา หรือเขียดจ่านา เขียดบักแอ๋ เขียดบักหมื่น เขียดขาคำ แล้วกะเขียดน้อย ที่เว่าถึงนี่หละ นอกจากกบเขียดที่กล่าวมาแล้วกะยังมีเขียดที่คนบ่ค่อยนิยมนำมากิน แต่ว่าบางท้องที่กะสิกินอยู่ กะมีเขียดตมปาด เขียดขิก ขี้คันคาก(อันนี่ข้าพเจ้าบ่กินเด้อ ขี้เดียด)

แล้วกะยังมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอีกตระกูลหนึ่งที่เฮากินกัน กะคือตระกูลอึ่งอ่าง อึ่งที่เฮากินกะมีหลายชนิด เช่น อึ่งยาง (อึ่งยางในที่นี่บ่แม่นอึ่งของปลอมเด้  บ่แม่นอึ่งพลาสติก เป็นอึ่งยางแท้ๆที่เอิ้นอึ่งยางกะเพระว่าตามผิวหนังมัน สิมียางเหนียวๆ เวลาเฮาจับกะสิติดมือเฮาเหนียวๆล้างออกกะยาก) อึ่งเพ่า อึ่งลื่ง อึ่งบักแดง เป็นต้น รอให้ฮอดยามต้มอึ่งก่อน จั่งสิมาเฮ็ดสู่กิน

สำหรับการไปไต้เขียดน้อยนั้น นิยมกันไปหาไต้ยามฤดูร้อน ช่วงมีนา เมษานี่หละ แต่ว่าเวลาไปไต้ เฮากะบ่อเอาแต่เขียดน้อยดอกว้า อาจสิได้ เขียดโม้ เขียดขาคำ นำอยู่ ที่เอิ้นเขียดขาคำ กะเพราะว่าตรงโคนขาของมันสิมีสีเหลืองๆคือทองคำ กะเลยเอิ้นว่าเขียดขาคำ บ่แม่นขาเขียดเป็นทองคำ การไปใต้เขียดน้อย สมัยก่อนเฮาสิไต้ขี่กระบอง หรือบ่อกะหอบไม้ลำปอไปนำ ฮอดหม่องแล้วจั่งจุดไฟอีกที่หนึ่ง แต่ว่าสมัยนี่เฮาใช้ไฟจากแบตเตอรี่ ไปส่องไต้หาเอา การไต้เขียดน้อยนั่น ถ้ามื่อได๋อากาศฮ้อนๆเอ้าๆคัก กะสิมีเขียดออกมาหลาย โดยเฉพาะในคืนเดือนมืด การไปไต้เขียดกะสินิยมไปกันเป็นกลุ่ม ไปเป็นหมู่ บางที่ไปกันเหมิดคุ้ม แตกแซวๆ ม่วนคัก ไล่คุบเขียดไป ไล่คุบเขียดมา คุบพลาดไปถืกแก้มผู้สาว โอ้.. ไค่แหน่ บ่คุบไปถืกอั่นนั่น…(แน่ แน่ อย่าคิดลึก คุบถืกมือผู้สาว สั่นดอกว้า) พอไต้ได้ผู้ละหลายเติบแล้วกะพากันเมือบ้าน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 509 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 507 ครั้ง
 
 
  16 ส.ค. 2549 เวลา 20:36:01  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   7) หมกเขียดน้อย  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) หมกเขียดน้อย(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
เขียดน้อยที่เฮาไต้ได้ เฮาสิเอามาขังไว้จักคืนสาก่อน สิบ่เฮ็ดกินเลย ขังใว้ให้มันขี้ออกสาก่อน ถ้าเอามาเฮ็ดกินเลย มันสิแหย๋ เขียดน้อย เฮานิยมเอามาหมก อาจสิหมกใส่ตะไคร้ หัวหอม ผักอี่ตู่ ธรรมดากะได้ หรือ สิหมกใส่ปลีกล้วย กะแซบคือกัน หรือว่าสิเอามาเฮ็ดต้มส้มเขียดน้อยใส่ผักติ้วกะแฮ่งแซบหลาย

การเฮ็ดหมกเขียดน้อยกะเฮ็ดบ่ยาก ผู้ลังคนกะสงสัยว่า เขียดน้อยไปไต้มาได้บักหลายเป็นร้อยเป็นพันโต เฮ็ดจั่งได๋จั่งค่อยสิหยิกหัวให้มันตายได้สะนะสะนาย บ่อต้องไปหยิกหัวมันดอก แค่เทเกลือลงไปใส่จักหน่อยมันกะตายเหมิดแล้ว จากนั่นกะจั่งค่อยล้างน้ำออกดีๆ เวลาเฮาเฮ็ดหมก บ่ว่าสิหมกหยังกะตาม เฮาต้องปรุงขณะที่มันยังดิบอยู่ มันซิมบ่ได้ ฉะนั้นเวลาปรุง เฮาต้องกะประมาณเครื่องปรุงแต่ละชนิดที่เติมลงไปให้พอดี มันจั่งสิแซบ เครื่องปรุงที่ใส่เฮากะต้องเอาตะไคร้ ใบบักกรูด หัวกระเทียม หัวผักบั่ว บักพริกแห้ง มาตำใส่กันให้มันแหลก เติมเกลือและน้ำตาลจักหน่อย พอตำเสร็จแล้ว กะเอามาเทใส่เขียดที่เฮาล้างใว้ดีแล้ว เด็ดต้นหอม ผักอี่ตู่ ใส่ลงไป อาจสิใส่บักพริกสดลงไปนำกะได้ จากนั้นกระเติมน้ำปลา หรือน้าปลาแดกจักหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นกะเอาใบตองกล้วยมาห่อเฮ็ดหมก บ่ต้องเฮ็ดหมกใหญ่หลายตองสิแตก
  
พอหมกเรียบร้อยแล้วกะเอาไปเข้ากระบวนการเฮ็ดให้สุก ซึ่งกะมีวิธี เฮ็ดให้สุกอยู่ 3-4 วิธี กะคือ วิธีที่ 1 เฮ็ดให้สุกโดยการเอาหมก ตั้งบนไฟเลย วิธีนี่กะสิเอาหมกเขียดที่เฮาเฮ็ดใว้ ตั้งเทิงถ่านไฟอ่อนๆจักโดนเติบ ลองยกขึ้นเบิ่ง ถ้าหมกได๋ น้ำหนักเบาขึ้นจากเดิมหลายเติบแสดงว่า หมกนั่นสุกแล้ว วิธีนี่สิได้หมกเขียดที่มีกลิ่นหอมของใบตองกล้วยนำ แต่กะต้องระวังบ่ให้มันไหม้ หรือหมกแตก ส่วนผู้ได๋ขี้คร้านก่อไฟ เพราะที่บ้านมีแต่เตาแก๊ส กะใช้วิธีที่ 2 กะคือต้มเอาเลยกะได้ การต้มนั่นกะให้ใส่น้ำท่วมแค่ครึ่งหมกอย่าให้น้ำหลายเกิน หรือสิใช้วิธีที่ 3 นึ่งใส่หวด หรือใส่ซึง เอา อั่นนี่กะง่ายดีสุกง่ายดี หรือผู้ได๋มีเตาไมโครเวฟ กะเข้าไมโครเวฟเลยง่ายดี

พอเฮ็ดสุกแล้ว กะเอามาเปิดใส่จาน ปั้นข้าวฮ้อน คำใหญ่ๆ คุ่ยเลย แซบ เป็นตาหน่าย


                                        

 
 
สาธุการบทความนี้ : 459 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 457 ครั้ง
 
 
  16 ส.ค. 2549 เวลา 20:52:30  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   8) คั่วจินูน  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) คั่วจินูน      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
อาทิตย์ก่อนนั้น ก่อนที่ข้าพเจ้า สิเดินทางลงไปประชุมวิชาการทางเมืองบางกอก ยามมื่อแลงกะเลยลองเดินอ้อมเฮือน เลาะเบิ่งต้นบักม่วง ว่าปีนี้ต้นบักม่วงอยู่รอบเฮือน มันคือบ่ค่อยเป็นหน่วยน้อปีนี้ แต่เหลียวไปเห็นยอดบัม่วงอ่อน บัดมีฮอยคือจั่งมีแมงมากัดกินใบบักม่วงอ่อน ขณะกำลังคึดอยู่ กะเลยมีเด็กน้อยคนหนึ่งมาถาม ว่าเบิ่งอีหยังน้อ กะเลยบอกว่า เบิ่งฮอยแมงจินูนกัดใบบักม่วงอ่อน เด็กน้อยคนนั้นกะเลยบอกว่า ถ้าอยากกินคั่วจินูน มื่อแลงให้ไปเฮือนตูข้อยเด้อ..สิพาไปไต้แมงจินูนมาคั่ว

ได้ยินจั่งสั้นแล้วกะเลยคึดต่ออยู่ดอกว่า แมงจินูนอีหยังสิมากินยอดบักม่วง เพราะตั้งแต่จะของน้อยๆ เคยไปหาไต้แมงจินูนนำทุ่งนา กะสิไปหาใต้นำต้นบักขาม ต้นบักเกลือ หรือต้นบักโก ไปจั่งสั้น บ่เคยไปใต้แมงจินูนนำต้นบักม่วง จักเทือ แต่กระนั้นกะดี เมื่อมีโอกาส มีคนมาชวน ไหนเลยจะพลาดได้ เพราะว่าตั้งแต่ใหญ่ขึ้นมา ไปหาเล่าหาเรียน มาเฮ็ดงาน กะบ่ได้ไปหาไต้แมงจินูน ดนคักแล้ว กะเลยไปตามคำเชิญ

การไปใต้แมงจินูนสมัยนี่กะบ่คือสมัยก่อน สมัยก่อนเฮาสิใช้แสงสว่างจาก ตะเกียงเจ้าพายุ หรือถ้าบ่มี กะสิใช้ไม้ลำปอ หอบไป เวลาถึงต้นไม้ต้นได๋ที่คึดว่าสิมีแมงจินูน กะจั่งค่อยใต้ไฟขึ้น จูดไม้ลำปอขึ้น แล้วกะ ปูสาด ลงรอบๆกองไฟ แล้วกะใช้ไม้ยาวๆ เคาะง่าไม้ให้แมงจินูนมันตกลง พอแมงจินูนมันตกต้นไม้ มันย่านมันจุก มันกะสิบินขึ้นไปหาแสงสว่าง กะคือกองไฟที่เฮาดังไว้ แล้วมันกะสิตกลงไกล้ๆกองไฟ กะคือตกลงสาดที่เฮาปูไว้ หลังจากนั้น เฮากะเก็บเอาโตแมงจินูนใส่ในคุถัง ที่มีน้ำอยู่ เฮ็ดให้มันบ่สามารถบินหนีได้ พอได้หลายเติบ พอสิได้คั่วพอหม้อแล้วเฮากะกลับบ้าน

แต่ว่าการใต้แมงจินูนสมัยเดี๋ยวนี้ เฮาสิใช้แสงสว่างจากไฟแบตเตอรี่เป็นหลัก ส่วนวิธีการต่างๆ กะสิเฮ็ดคือกัน แต่ต้นไม้ที่ไปหาแหย่นั้นกะสิมีต้นบักม่วงเป็นหลัก เพราะว่าทุกมื่อนี่คนปลูกต้นบักม่วงหลาย ส่วนต้นบักขามส้ม ต้นบักเกลือ สิหายากแล้ว เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการไปใต้แมงจินูนกะคือช่วงเวลาหัวค่ำ ประมาณจักทุ่ม เศษๆ เพราะว่าถ้าไปดึกหลาย แมงจินูนมันกินใบไม้อิ่มแล้ว มันกะสิบินไปหาหลบซ่อนอยู่ในดิน กะสิไต้บ่ได้ พราะว่าแมงจินูนนี่มันสิขึ้นมาหากินใบไม้ เฉพาะเวลายามกังคืน ส่วยยามเดิกและยามกังเว็นมันสิไปหาเฮ็ด ฮูอยู่ในดิน กะเลยมีการหาแมงจินูนอีกวิธีหนึ่งกะคือ ก่นจินูน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 281 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 279 ครั้ง
 
 
  17 ส.ค. 2549 เวลา 21:33:08  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   8) คั่วจินูน  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) คั่วจินูน(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
จินูน หรือ แมงจินูน  เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่คนอีสานเฮานำมาเฮ็ดกินเป็นอาหาร ซึ่งกะสิหากินได้ในฤดูร้อน ช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน โดยแมงจินูน ที่เฮากินกัน กะมีหลายชนิด และแต่ละชนิดกะสิหาได้ ต่างวิธีกัน แต่ เมื่อหามาได้แล้ว กะสินำมาเฮ็ดแนวกิน ที่คล้ายๆกัน นั่นกะคือนำมา คั่ว แต่บางคน กะเอามาทอด กะแซบ คือกัน แต่ว่าเฮาสิได้รับไขมันส่วนเกินจากน้ำมันที่ทอด บ่ดีคือคั่ว ที่ปราศจากไขมัน การคั่วกะอาจสิคั่วใส่เกลือเฉยๆ กะได้ หรือสิหั่น ตะไคร้ ใบบักกรูดใส่นำ กะแฮ่งหอมแซบ

ประเภทและวิธีการหาแมงจินูนแต่ละอย่างกะสิพอสรุปได้ ดังนี้

๑.แมงจินูนแดงน้อย ลักษณะกะสิมีโตสีแดงแต่โตบ่ใหญ่เท่าได๋ ชนิดนี้จะมีปริมาณหลาย หาได้โดยวิธีการใต้เอา นำกกบักขาม กกโก กกเกลือ กกม่วง เป็นต้น

๒.แมงจินูนหม่น หรือ แมงจินูนแดง ที่เอิ้นแมงจินูนหม่น กะคือ เวลาเฮาไปใต้นำกกไม้ เวลากลางคืน แมงจินูนชนิดนี้ สิมีแป้งสีขาวๆปกคลุมปีกไว้ เฮ็ดให้เฮาเห็น เป็นสีหม่นๆ แต่ว่าเมื่อมันไปเฮ็ดฮู แป้งมันกะสิลบ เห็นปีกเป็นสีแดง กะเลยเอิ้นว่าแมงจินูน แดง การหากะหาได้โดยการไปหาก่น นำฮู นำตีนโคก โดยเฮาสิสังเกตุ ว่าเป็นขวยจินูน กะคือ มันสิเป็นขวย เพาะเยาะแพะแยะ ข้างๆต้นไม้ต้นน้อยๆ นั่นหละขวยจินูนแดง ส่วนถ้าเป็นขวย แต่บ่อยู่ข้างต้นไม้น้อย อย่าไปก่น บ่แม่นขวยจินูน

๓.แมงจินูนแดงใหญ่ อั่นนี่มีเป็นบางท้องที่ กะคือมันสิมีลักษณะคล้ายๆกับแมงจินูนแดงหรือแมงจินูนหม่น นี่หละแต่โตสิใหญ่กว่า โตใหญ่กว่าโป้มือพุ่นหละ วิธีหากะคือ ไปหาก่นเอาคือกัน

๔.แมงจินูนทอง หรือแมงจินูนเหลี่ยม หรือแมงเหลี่ยม กะเอิ้น แมงชนิดนี้ สิมีสีเขียวมรกต เหลี่ยมแวววาวสวยงาม โตใหญ่เติบ หาได้โดยไปหาต่อยเอานำกกบักม่วง กกกระถินณรงค์ กกบักขามแป เป็นต้น

๕.แมงจินูน อื่นๆ เช่น แมงจินูนดำ นำกกยอ กกคูน แมงจินูนดำน้อย นำกกขาม หรือแมงจินูนอื่นๆอีกแล้วแต่ แต่ละท้องที่สิมี

แมงจินูน หรือจินูน นอกจากสิเอามาคั่วแล้ว กะยังสามารถนำมาก้อย เป็นก้อยจินูน ได้คือกัน แต่กะบ่เป็นที่นิยมแพร่หลาย เท่ากับการคั่ว ดอก

ข้อควรระวัง ในการกินคั่วแมงจินูน กะคือ เวลาเฮาเข้าห้องส้วมยามมื่อเช้า เฮาสิล้างส้วมยากจักหน่อย เพราะว่า ปีกแมงจินูน มันสิบ่ถืกย่อย มันสิฟูอ่องล่อง อยู่ ต้องใช้น้ำราดหลายๆ วิธีการแก้ไข กะคือ ก่อนกินคั่วแมงจินูน เฮาควร เด็ดปีกมันออก สาก่อน........แล้วกะเคี้ยวให้มันแหลกๆ.....


นี่คือคั่วแมงจินูน



นี่คือคั่วแมงจินูนทอง หรือแมงเหลี่ยม

                                          

 
 
สาธุการบทความนี้ : 580 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 578 ครั้ง
 
 
  17 ส.ค. 2549 เวลา 21:37:01  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่10)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 


เอารูปเห็ดยูคามาให่เบิ่ง ว่ามันสิคือเห็ดหอมอีหลีบ่

 
 
สาธุการบทความนี้ : 823 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 823 ครั้ง
 
 
  20 พ.ค. 2551 เวลา 21:32:23  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่11)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 


ปีนี้ป่ายูคาหลังบ้านข้าพเจ้า เห็ดยูคาเกิดดี คอนกะต่าเข้าไปเก็บคราวเดียวกะได้เต็มกะต่าแล้ว กะเลยไปเอิ้นไทบ้านเพิ่นมาเก็บนำกัน ได้ผู้ละบักหลาย ได้กินเห็ดยูคากันเหมิดบ้าน กะยังว่า

 
 
สาธุการบทความนี้ : 460 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 460 ครั้ง
 
 
  20 พ.ค. 2551 เวลา 21:36:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่14)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 


     แกงจั่งได๋จั่งสิบ่ขมวะติ๊ ถ้าสิแกงบ่ให่มันขมกะต้องเฮ็ดให่มันเซาขมสาก่อนจั่งค่อยแกง การเฮ็ดให่มันเซาขมนี่กะมีการเฮ็ดได้ แต่ว่ากะแล้วแต่ผู้มัก ว่าผู้ได๋มักจั่งได๋ ผู้ลางคนกะมักให่มันขมหลายๆ โดยเฉพาะผู้เฒ่าๆ เช่น พ่อใหญ่มหาบัติ เป็นต้น แต่ว่าคนหนุ่มๆจั่งข้าพเจ้ากะสิบ่อมักขมหลายดอก ขมหลายกินบ่ได้

    วิธีการที่สิเฮ็ดให่เห็ดยูคามันเซาขมได้นั้นกะต้องเอาเห็ดที่เฮาเก็บมาได้มาล้างน้ำออกดีๆก่อน เพื่อบ่ให่มันแย๋ ล้างจักสองสามน้ำ แล้วกะมาอาศัยวิธีทางฟิสิกส์ และกะปฏิกิริยาทางเคมี (พุ่นแหล่ว เว่าเป็นวิชาการจักหน่อย)
    วิธีทางฟิสิกส์ กะคืออาศัยความร้อน กะคือเอาเห็ดยูคามาต้มด้วยความร้อนนั่นเอง เอาเห็ดยูคามาต้มให้เดือด ผู้ได๋มักขมกะต้มน้ำเดียวจักเคิ่งชั่วโมง แต่ผู้ได๋บ่มักขมหลายกะต้มจัก สอง-สามน้ำกะแล้วกัน แม่นสิต้มโดน เห็ดมันกะบ่เปื่อยดอก เห็ดชนิดนี่มันเปื่อยยาก แต่การต้นนั้นข้าพเจ้าแนะนำให่ดังไฟใช้ฟืนต้มเด้อ เพราะถ้าต้มเตาแก้สมันสิเปลืองแก้สโพด จ่งแก้สใว้เติมรถยนต์ซะ น้ำมันแฮ่งแพง
     หลังจากต้มได้ที่แล้วกะหยิ่นน้ำขมมันออก แล้วกะล้างด้วยน้ำเย็นอีก น้ำขมๆที่หยิ่นออก ผู้ได๋มักน้ำขมๆ กะเอาไปกินโลด บ่ว่าต๊ะพ่อใหญ่ดลหละมั๊ง พ่อใหญ่มหากะมักคือกันนั่นหละน้ำขมๆ ส่วนข้าพเจ้ามักน้ำขมๆกะจริง แต่เป็นน้ำขมที่มีฟองนำดอกว้า
    
    

 
 
สาธุการบทความนี้ : 299 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 299 ครั้ง
 
 
  23 พ.ค. 2551 เวลา 20:59:09  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่15)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
    ส่วนการใช้ปฏิกิริยาทางเคมีนั่น กะเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเฮา ข้าพเจ้าเองกะบ่สามารถบอกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาประเภทได การใช้ปฏิกิริยาทางเคมีกะต้องใช้วิธีทางฟิสิกส์กะคือวิธีแรกเป็นโตเร่ง ส่วนสารเคมีที่เอามาเฮ็ดให่มันเซาขมนั่น กะคือเอา ยอดผักกะโดน ผักกะโดนเตี้ยเอามาห่อหัวหอยนี่หละ  เอายอดผักกะโดนมาต้มใส่กับเห็ดยูคา มันสิจืดเร็วขึ้น เทคนิคนี้ข้าพเจ้ากะได้ยินมาแต่ทางอำเภอบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์ พุ่นหละ แต่กะลองมาเฮ็ดเบิ่งแล้วกะได้ผลดี เห็ดที่เฮาต้มแล้วกะบ่ขมหลาย แล้วกะยังบ่เปื่อยยุ่ยอีกนำ ทั้งๆที่ต้มสอง สามน้ำกะตาม ลองเอาไปเฮ็ดเบิ่งเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 532 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 532 ครั้ง
 
 
  23 พ.ค. 2551 เวลา 21:14:58  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่19)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
แบบนี้ กะเทแชมพูหรือแฟ๊บใส่จักหน่อย ตีๆคนๆ จักคราว น้ำต้มเห็ดยูคา มันกะเป็นฟองแล้ว คือสิถืกใจถืกลิ้นกระบี่โลหิตอยู่ดอกเนาะ


     ถ้ามันเฮ็ดง่ายปานนี่กะเฮ็ดน้ำขมๆมีฟองให่มังกรเดียวดายกินแหน่เด้อบักต๊อกเอ้ย ลาวคือสิมักคัก

    
     มื่อนี่เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ขึ้นหน้าหนึ่ง ชาวอำเภอราษีไสล จังหวัดศรีษะเกษ ไปเก็บเห็ดได้บักหลายจนใส่ถงปุ๋ยแบกเอาวะโลด เบิ่งไปเบิ่งมา เป็นเห็ดยูคา ที่พ่อใหญ่มังกรเดียวดายลาวมัก ป๊าด เก็บได้หลายอีหลี กะเลยไปหาเบิ่งอยู่ป่ายูคาหลังบ้านจะของเบิ่งว่าเห็ดมันสิเกิดอีกบ่ กะเกิดอีกอยู่ตั๊วหละ เก็บมาได้คุถังหนึ่ง เอามาต้ม แล้วกะลาบกิน แก้มเบียร์  แซ๊บ แซบ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 480 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 480 ครั้ง
 
 
  28 พ.ค. 2551 เวลา 21:47:18  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   9) เห็ดยูคา  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่20)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 


     เห็ดยูคา นอกจากเฮาสินำมาแกงกินได้แล้ว เมนูอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมากกะคือ ลาบเห็ดยูคา โดยเฉพาะ ลาบเห็ดยูคาแกล้มกับเบียร์ ให่พ่อใหญ่มังกรเดียวดายกินจักจานคือสิถืกปากเพิ่นอยู่ดอก เพิ่นเฒ่าแล้ว มักของขม ชมคนสาว คือนิสัยของผู้เฒ่า พะนะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 409 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 409 ครั้ง
 
 
  28 พ.ค. 2551 เวลา 21:58:20  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   10) บักหวดข่า  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
อันนี่ กะ บ่เห็นควรด้วย เด้อ อย่าไปเติมเลย คำว่าสีนั่นหนะ เอิ้น บักหวดข่า ดีที่สุด

คำเตือนอีกอย่างหนึ่งสำหรับ การกิน บักหวดสี โอ๊ะๆๆ บ่แม่น บักหวดข่า

สำหรับผู้ได๋ท้องผูก ขี้แก่น อย่าสะกินบักหวดข่า หลาย โดยเฉพาะ หน่วยสีแดงๆ เพราะว่า มันสิเฮ็ดให้ขี้แก่นกว่าเก่า ท้องผูกยิ่งกว่าเก่า เพราะบักหวดข่า มันมีรสฝาด เสริมความแก่น ของอุจจาระ เป็นอย่างดี ถ้ากินหลาย มันสิได้ใช้สิ่ว กิ้มออก

มีพ่อใหญ่อันหนึ่ง บ้านเพิ่นอยู่ทางขอนแก่น พุ่นหละ เพิ่นท้องผูก ขี้แก่น ว่าสั่นเทาะ เพิ่นกะเลย ไปโรงพยาบาล หาหมอ หมอกะเป็นหมอไทย เนาะ หมอกะเลย สั่งยาระยบายให้พ่อใหญ่ แล้วกะแนะนำว่า "คุณตาต้องรับประทานผักและผลไม้เยอะๆนะคะ ท้องจะไม่ได้ผูก" แล้วกะให้ไปรับยา ที่ห้องยา  เภสัชกรที่ห้องยา จ่ายยาให้แล้ว กะแนะนำต่ออีกว่า "คุณตาต้องรับประทานผักและผลไม้เยอะๆนะคะ ท้องจะไม่ได้ผูก" เอ๋า แนะนำคือกันอีก

หลังจากพ่อใหญ่ เลากลับบ้านแล้ว เพิ่นกะไปไถไฮ่ ปลูกมัน ได้ห่อข้าวแล้วกะพาหลานไปไฮ่ พอฮอดเวลากินข้าวเที่ยง เพิ่นจำความหมอกับเภสัชแนะนำได้ ว่าให้กินผักกับผลหล่าไม้ หลายๆ ท้องสิบ่ได้ผูก เพิ่นกะเลยให้หลานไปหาเก็บผัก มาหลายๆมากินกับปลาแดกบอง แล้วกะเก็บผลหล่าไม้ มานำเด้อ พ่อใหญ่สิได้กินหลายๆ

หลานกะเลยไปหาเก็บผัก แต่ว่าฤดูกาลนี้ แล้วกะอยู่นำโคกนำป่านำ หลานกะเลยเก็บผักได้แต่ ผักกะโดน มาหอบหนึ่ง ผลหล่าไม้ กะได้แต่ บักหวดข่า มีแต่หน่วยเหิ่ม แดงจ่ายหว่าย มาอีกหอบหนึ่ง

พ่อใหญ่กะเฮ็ดตามคำแนะนำของหมอเป็นอย่างดี กินผักหลายๆ กะกินผักกะโดน ไปหอบหนึ่ง กินผลไม้หลายๆ กะกิน บักหวดข่า ไปอีกหอบหนึ่ง แล้วกะคึดในใจ "มึงลองเบิ่ง... บาดเนี่ย มันสิท้องผูกอีกบ่ หมอกะบอก เภสัชกะบอก ให้กินผักกับผลไม้หลายๆ ท้องสิได้บ่ผูก กินอย่างละหอบปานนี้ มันลองเบิ่ง..."

ตกมื่อลุนมา ยามมื่อเช้า เบ่งจนดากสิสีก พ่อใหญ่เลาสูนหลาย "บ๊า...เทิงหมอ เทิงเภสัช มันตั๋วกูตั๊วหนิ...ให้กินผักกับผลหล่าไม้หลายๆท้องสิบ่ผูก เฮากินเทิงผักกะโดน เทิงบักหวดข่าไปอย่างละหอบ ขี้มันแก่นกว่าเก่าอีก......


 
 
สาธุการบทความนี้ : 316 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 315 ครั้ง
 
 
  18 ส.ค. 2549 เวลา 20:47:42  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   11) ต้มอึ่ง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ต้มอึ่ง      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
พอฮอดเดือนห้าเดือนหก มา อาหารอย่างหนึ่งที่คนเฮาคึดฮอด กะคือ ต้มอึ่ง ปิ้งอึ่ง โดยเฉพาะมื่อได๋ฝนตก กะ ภาวะนาให้ฝนตกแฮงๆ สิได้ไปหาไต้กบ ไต้อึ่ง เพราะว่าอึ่ง หรืออึ่งอ่าง มันสิออกมาผสมพันธุ์ และกะวางไข่ นำบวก หรือหนองที่มีน้ำโห่งหลายๆ ถ้ามื่อได๋ฝนตกแฮงๆ อึ่งกะสิมาจับคู่ผสมพันธุ์กันเป็นจำนวนมาก เสียงฮ้องเซ็งแซ่ จนผู้ได๋เฮือนอยู่ไกล้ นอนบ่หลับพุ่นหละ เพราะว่าหนวกหูหรืออยากไล่ เสียงอึ่งฮ้อง เฮาเรียกลักษณะที่มีอึ่งมารวมกันหลายๆ แล้วกะโคมกัน ฮ้องแฮงๆ ว่า อึ่งตกมวก เวลาไปไต้อึ่ง ถ้าพ่อหม่องอึ่งตกมวก เอาบ่หวาดบ่ไหว บางคนได้เป็นถุงปุ๋ย  

อึ่ง จัดเป็นสัตว์ประเภท สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ คือกันกับพวกกบพวกเขียด นั่นหละ อึ่งที่เฮากินกันกะมีหลายสายพันธุ์ เท่าที่ฮู้จักกะได้แก่ อึ่งลื่ง อึ่งเพ่า อึ่งยาง แล้วกะอึ่งบักแดงน้อย หรือบางหม่องกะเอิ้นเขียดบักแดง อึ่งลื่ง กับอึ่งเพ่า ส่วนใหญ่สิหาได้โดยการไปหาไต้เอา ยามฝนตกแฮงๆ ยามอึ่งตกมวก ส่วนอึ่งยางสิไปหาไต้ยามฝนบ่ตก ไต้นำข้างโพน หรือบางทีไปไต้ยามไปหาไต้ขี้กะปอม แล้วกะไต้อึ่งนำข้างโพน ไปนำ การไปหาอึ่งอีกอย่างหนึ่ง กะคือ ไปหาก่นอึ่ง ไปหาก่นนำโคก

การก่นอึ่งนี่กะต้องอาศัยความชำนาญและกะความอดทนอีหลี เพราะว่าฮูมันลึก บางฮู ก่นจนสุดด้ามเสียมกะบ่ถึง กะยังวะ ถ้าผู้ได๋แฮงบ่ดี ก่นได้สามโต กะเป็นลมแล้ว ผู้เฒ่าเพิ่นว่าซุมนี่ ตั้งแต่น้อยๆ ฮ้องไห่ ดน เด็กน้อยผู้ได๋ฮ้องไห้ดน เพิ่นว่า มันสิก่นแย้ ก่นอึ่งบ่ถึง (จักว่าแม่นอีหลีบ่บุ๊ เห็นผู้ลังคน ตั้งแต่น้อยๆไห่ดนคัก บัดใหญ่ขึ้นมา บัดก่นแย้เก่งคัก)

ในบรรดา อึ่ง สามสี่ชนิดที่กล่าวมา มี อึ่งเพ่า โตใหญ่กว่าหมู่ แต่ว่ากะหยาบกว่าหมู่คือกัน เวลาต้มต้องต้มดนดน เปลืองฟืนเปลืองถ่าน ส่วน อึ่งลื่ง อึ่งยาง โตน้อย แต่ว่ากระดูกบ่แข็ง ต้มเปื่อยง่ายกว่า นอกจาก เฮาสิเอาอึ่งมาต้มส้ม เฮ็ดต้มส้มอึ่งแล้ว การประกอบอาหารจากอึ่งอีกอย่างหนึ่ง ที่เป็นที่นิยม กะคือ ปิ้งอึ่ง กะคือเอาอึ่ง มาโฮยเกลือปิ้งกินหอมๆนี่หละ ปีที่แล้วได้มีโอกาส ขับรถผ่านไปทาง อำเภอปักธงชัย อำแภอวังน้ำเขียว จังหวัดโคราช ประมาณเดือนพฤษภาคมนี่หละ สังเกตเห็น มีคนวางขายอีหยัง ปิ้งอีหยัง สีดำๆ พอเข้าไปเบิ่งใกล้ๆ โอ้ ปิ้งอึ่ง ตั๊วหนิ โตเป็นๆกะมี แสดงว่าแถวนั้นอึ่งคือสิเป็นตาหลายเนาะ

การเฮ็ดแนวกินจากอึ่งอีกอย่างหนึ่ง ที่สมัยนี้หากินค่อนข้างยากแล้ว นั่นกะคือ ปลาแดกอึ่ง เอ๋า คือเอิ้นปลาแดกอึ่ง คือบ่เอิ้น อึ่งแดก เอาปลามาเฮ็ด กะเอิ้น ปลาแดก บัดเอาอึ่งมาเฮ็ด ขั่นบ่เอิ้นว่า อึ่งแดก (อั่นนี่กะบ่เข้าใจคือกัน อาจสิเป็นเพราะว่า คนสิฮู้จักและคุ้นเคย กับปลาแดก ดีกว่า เวลา เอาอึ่งมาเฮ็ด กะเลยเอิ้น ปลาแดกอึ่ง ให้คนเข้าใจว่ามันเฮ็ดคือกันกับปลาแดก) การเฮ็ดปลาแดกอึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่เพิ่นเว่าให้ฟังว่า ปลาแดกอึ่ง เฮ็ดแล้วมันกะบ่แซบกว่าอึ่งสดๆดอก แต่ว่า มันเป็นการถนอมอาหารไว้กิน ในฤดูกาลที่บ่มีอึ่ง เพราะว่าอึ่ง มันสิหาได้ แค่ฤดูกาลเดียว กะคือในช่วงต้นฤดูฝน พอไปหาไต้อึ่งมาได้หลายๆ กินบ่หวาดบ่ไหว กะเลยต้อง เอามาเฮ็ด ปลาแดกอึ่งไว้กินตลอดปี เพราะสมัยก่อนแนวกินบ่หลาย บ่มีเขียงหมู เขียงงัว นำข้างทาง หลายคือซุมื่อนี่ หรือบางบ้านกะเฮ็ดปลาแดกอึ่ง ไว้ถ้าไปหาแลกข้าว เพราะว่าบ้านจะของมีตะโคกตะป่า เฮ็ดนาบ่ได้หลาย กะพอได้ปลาแดกอึ่งนี่หละ ไปหาแลกข้าวทางบ้านเพิ่น ที่มีนาอุดมสมบูรณ์

ปลาแดกอึ่ง วิธีเฮ็ดกะคือกันกับการเฮ็ดปลาแดกจากปลานี่หละ หลังจากที่เฮาไปไต้อึ่งมาได้หลายๆแล้ว กะเอามาหมักใส่เกลือ ใส่ฮำอ่อน แล้วกะหมักใส่ไหใว้ จักเดือน สองเดือนกะเป็นแล้ว บ่คือปลาแดกจากปลา ที่จะต้องให้ดีกะต้องหมักไว้จักห้าหกเดือนขึ้น มันจั่งค่อยสินัว สิแซบ

การกินปลาแดกอึ่ง นั้น กะบ่คือการกินปลาแดกจากปลาอีหลีดอก เพราะบางคน แค่ได้ยินชื่อกะขี้เดียดแล้ว ปลาแดกอึ่งว่าหนิแหม๋ เป็นตาขี้เดียดแท้ สิเอามาเฮ็ดปลาแดกอึ่งบอง กะคือเป็นตาขี้เดียดแท้ ที่จริงบ่แม่นจั่งซั่น บ่ได้เอาปลาแดกอึ่งมาเฮ็ดปลาแดกอึ่งบองดอก บ่ได้เอาปลาแดกอึ่งมาใส่ตำบักฮุ่งดอก ปลาแดกอึ่ง ต้องเอามาปิ้ง หรือ หมก สาก่อนจั่งค่อยกิน ผู้ได๋สิไปกินปลาแดกอึ่งดิบเนาะ เป็นตาขี้เดียด ต้องเอามาห่อใบตอง แล้วกะปิ้งสุกๆ เอาข้าวฮ้อนๆจ้ำ กะแซบดีคือกัน อันนี่เป็นภูมิปัญญา การถนอมอาหารของชาวอีสานบ้านเฮาสมัยโบราณ ส่วนสมัยนี้ สิมีคนเฮ็ดบ่น้อ ปลาแดกอึ่ง กะดาย หรือว่าอึ่งบ่หลายพอสิได้เฮ็ดปลาแดก ตั้งแต่หามาต้มกินกะยากแล้ว

เว้าไปเว้ามา กะเหมิดเวลาหลายแล้ว บ่ทันได้ต้มอึ่งอีกตามเคย คาเว้าเรื่องปลาแดกอึ่ง อยู่กะเลยบ่ทันได้ต้มอึ่ง เอาไว้มื่อลุน สิหาเวลามาต้มอึ่งสู่กินดอก ไปหาไต้มาได้ก่อน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 312 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 311 ครั้ง
 
 
  18 ส.ค. 2549 เวลา 20:51:26  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   11) ต้มอึ่ง  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) ต้มอึ่ง(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
หลังจากเฮาไปหาไต้อึ่ง มาได้แล้ว หรือถ้าบ่ได้ไปไต้ กะอาจสิไปหาซื้อมาแต่ตลาดกะได้ บ่ว่าสิเป็นอึ่งชนิดได๋ อึ่งลื่ง อึ่งเพ่า อึ่งยาง เอามาต้มได้เหมิด โดยเฉพาะ อึ่งโตได๋ที่มีไข่เต็มท้อง นั่นหละแซบ แล้วกะเป็นที่หมายปองของคนกิน จนบางเทือต้องยาดอึ่งแม่ไข่กันพุ่นหละ แต่กะต้องระวังนำคือกัน อึ่งบางโต ท้องใหญ่ๆอ้วนๆ เห็นแล้วเป็นตามีไข่ บัดเอาซ้อนสักท้อง แตกออกมา มีแต่แมงเม่า ฟูเต็มถ้วยต้มอึ่ง อันนี่กะมี เฮ็ดให้เสียรสชาติของการกินต้มอึ่งเหมิด เพราะว่าเวลาหลังฝนตกแมงเม่ากะสิออกมาบินเต็มไปเหมิด ซึ่งแมงเม่า กะเป็นอาหารที่โปรดปราณ ของอึ่ง คือกัน

บัดนี้กะมาถึงขั้นตอนการเฮ็ดต้มอึ่งสักที

เครื่องปรุง

สำหรับเครื่องปรุงที่ใช้ในการเฮ็ดต้มอึ่ง กะคือกับการ เฮ็ดต้มส้มทั่วไป ซึ่งกะได้แก่ ตะไคร้ ใบบักกรูด หรือใบบักหูดบ้านเฮานี่หละ หัวข่า(เอาข่าแก่ๆกะได้) กระเทียม หัวผักบั่ว ผักหอม ผักซี เหล่านี้ เป็นผักที่เฮ็ดให้หอม แล้วกะกลบความคาว ความกุย ของอึ่ง เอ้อลืม บักพริกนำเด้อ สิได้ออกเผ็ดจักหน่อย แล้วกะอย่าลืม ใบบักขาม ใบบักขามส้มอ่อนๆ จักกำหนึ่ง  เครื่องปรุงรส กะมี เกลือ กับน้ำปลา กะพอ แต่ผู้ลังคน ย่านบ่แซบ กะอาจสิใส่ รสดี หรือ คะนอร์ต้มยำ ลงไปนำอันนี่กะบ่ผิดกติกา เพราะว่ากติกา การเฮ็ดอาหารอีสาน บ่มีสูตรตายโต เฮ็ดจั่งได๋กะได้ ว่าแต่ แซบ  

วิธีปรุง

๑.เอาอึ่งที่เฮาหามาได้ มาล้างน้ำให้สะอาด ให้ขี้ดิน ขี้หยังเหยี่ย ที่ติดอยู่ออกให้เหมิด แล้วกะเอามาเฮ็ดให้อึ่งเสียชีวิตก่อน(บางคนกะบ่ต้องเฮ็ดให้มันสิ้นชีพก่อนกะมี เอาเทลงหม้อน้ำเดือดเลย แต่ข้าพเจ้าว่า มันโหดโพด กะเลยต้องเฮ็ดให้มันสิ้นใจก่อนจั่งเทลงหม้อ) การฆ่าอึ่ง กะบ่ยากบ่ทรมารหลาย ผู้ลังคนกะสงสัยว่า สิเอาไม้เคาะหัวอึ่งให้มันตาย คือเคาะหัวแย้ หัวกะปอม มันคือสิเป็นตายากแท้ จักว่าหม่องได๋เป็นหัวอึ่ง หม่องได๋ เป็นคอ จักว่าสิเคาะหม่องได๋ มันบ่ต้องยากปานนั้นดอก แค่เอาเกลือโฮยลงไปใส่โตอึ่ง แล้วกะซาวให้เข้ากัน เท่านั้นอึ่งกะสิ้นชีพแล้ว เพราะเกลือสิไปดูดเอาน้ำที่อยู่ผิวหนังของอึ่งออก ทำให้อึงเกิดสภาวะ Dehydrate อึ่งกะสิช๊อกตาย อย่างบ่ทรมารเท่าเทลงในน้ำเดือด (การประหารชีวิตแบบนี้ ใช้ได้กับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทุกชนิด บ่ว่าสิเป็น อึ่ง กบ เขียดจิโม้ เจียดจินา เขียดน้อย เขียดขาคำ รวมไปฮอด ขี้ตมปาด พุ่นหละ)

๒.ข้างหม้อ โดยใส่น้ำประมาณครึ่งหม้อ อย่าฟ่าวใส่น้ำหลาย จั่งค่อยเถี่ยนน้ำทีหลัง ถ้าต้มไปแล้วน้ำมันบก หลังจากนั้น กะทุบหัวตะไคร้ หรือบางคนกะปุ้มใบตะไคร้ใส่พร้อม ทุบหัวข่า ใส่ลงไป เอาหัวผักบั่ว หัวผักเทียม มาหมกไฟจักหน่อยจั่งค่อยถิ่มลงหม้อ จี่บักพริกแห้งใส่จักสี่ห้า หน่วย แล้วกะใส่เกลือลงจักช้อนโต๊ะ อย่าพึ่งใส่หลาย จั่งค่อยเติมทีหลังถ้ามันจาง

๓.ต้มหม้อให้เดือด โดยเชื้อเพลิงที่เอามาใช้ในการต้มอึ่ง ที่ดีกะคือ ฟืน หรือถ่าน ถ้าต้มเตาแก้ส มันบ่ดี ไฟมันแฮงโพด อึ่งบ่เปื่อยดี พอน้ำเดือด จน ฟดเละๆ แล้ว กะเอาอึ่งที่เฮาเตรียมใว้ เทลงไปในหม้อ ปิดฝา ต้มไว้ โดยระวังอย่าให้ไฟมอด หรือหม้อปูม ถ้าหม้อปูม กะเปิดฝาออกจักคาว เวลาในการต้ม ถ้าเป็นอึ่งลื่ง หรืออึ่งยาง ใช้เวลาประมาณสามสิบนาที กะเปื่อยแล้ว แต่ถ้าเป็นอึ่งเพ่า โตใหญ่ๆต้องใช้เวลาหลายขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั่น เวลาบ่เป็นที่ตายโต เฮาต้องทาว ตักขึ้นมาเบิ่งเองว่า มันเปื่อยหรือยัง

๔.เมื่ออึ่งใกล้สิเปื่อย เฮากะใส่ใบบักขามอ่อน ที่เตรียมไว้จักกำ แต่ถ้าย่านมันบ่ส้ม กะทุบหน่วยบักขามดิบลงใส่นำกะได้ แต่กะอย่าให้ส้มคักหลายเด้อหละ กินแล้วมันสิไข้หลี (ขี้ไหล) ใส่ใบบักหูด ลงไปต้มต่ออีกจักหน่อย

๕.เมื่อทาวอึ่งขึ้นมาเบิ่ง ว่ามันเปื่อยดีแล้ว กะเริ่มซีม เบิ่ง ถ้ามันจางกะใส่น้ำปลาลงไป ถ้ามันเค็มกะเติมน้ำลงไปอีก ถ้ามันบ่นัวกะใส่รสดี หรือผงชูรส ลงไป ถ้าแซบแล้ว กะหั่นต้นหอม ต้นผักชีลงไป แล้วกะปงหม้อลง จากนั้นเฮากะสิได้ ต้มอึ่งที่หอม แซบ ส้มป่อยหล่อย ถืกปากผู้เฒ่า ตักใส่ถ้วย กินได้ทันที แต่กะให้ระวังแหน่หละ โตได๋ท้องใหญ่ๆ อย่าสะคึดแต่ว่า อึ่งไข่หลายเด้อ บัดเอาซ้อนสักท้องแตก เดี๋ยวสิมีแต่แมงเม่าฟูเต็มถ้วย เดี๋ยวสิหาว่าบ่เตือน


เฮาสิสังเกตได้ว่าการเฮ็ดต้มอึ่ง ต้องใช้เวลานานพอสมควร ต้องใจเย็นๆอยากกินของแซบ ต้องใจเย็นๆอย่าใจร้อน เพราะว่าถ้าต้มอึ่งบ่เปื่อย ปรุงรสให้แซบปานได้ กะกินบ่แซบ เพราะอึ่งมันหยาบ ต้องใจเย็นๆ ยามซดกินกะต้องใจเย็นก่อนสิซดกะเป่าให้มันเย็นก่อนเด้อ เดี๋ยวมันสิด้วกดิ้น เด้

สมัยก่อน สมัยเป็นหนุ่ม กินสุราขาวแกล้มกับต้มอึ่ง โฮ้...แซบเป็นตาหน่าย แต่ซุมื่อนี้ กินสุราขาวบ่ได้ เพราะเป็นโรคกระเพาะ กะเลยหันมาดื่มเบียร์ แกล้มต้มอึ่ง แซบคือกัน  มา..มา..มากินต้มอึ่ง นำกันเด้อ....


อันนี่ ต้มอึ่ง ใส่เขียดน้อยนำ

                            

 
 
สาธุการบทความนี้ : 434 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 433 ครั้ง
 
 
  18 ส.ค. 2549 เวลา 20:56:54  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) หมกฮวก      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
พอเข้าหน้าฝนมา อาหารอีสานที่เฮาคึดฮอดกะคงหนีบ่พ้น หมกฮวก โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝน ที่ในท่งนาบ่ทันได้ดำนา ฝนตกมาใหม่บรรดา กบ เขียด กะสิมีการผสมพันธุ์แล้วกะวางไข่ แล้วกะสิเกิดเป็นฮวก ให้คนเฮาได้ไปหาส่อนมาเฮ็ดแนวกิน

ฮวก หรือ ในภาษาไทยเอิ้นว่า ลูกอ๊อด นั่น เป็นระยะตัวอ่อนของสัตว์ในกลุ่มสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนี่ สิวางไข่ในน้ำ แล้วกะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนในน้ำ กะคือระยะลูกอ๊อด กะคือ ฮวก นี่เอง บ่ว่าสิเป็นสัตว์ในกลุ่มนี่ชนิดได ต่างกะมีตัวอ่อนเป็นฮวกคือกันเหมิด แต่เฮาสิฮู้จักดีที่สุดกะคือ ฮวกกบ ซึ่งเป็นฮวกที่แซบที่สุด และคนเฮากะนิยมกินมากที่สุด คือกัน แต่ฮวกชนิดอื่น กะกินได้คือกัน เช่น ฮวกเขียดโม่ ฮวกเขียดจ่านา ฮวกเขียดตมปาด ส่วนฮวกอึ่ง กะกินได้บางครั้ง แต่บ่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร เพราะโตมันสีดำ บ่เป็นตากิน ส่วนฮวกขี้คันคากอย่าไปกินมันเด้อ มันตายเบื่อ

การหาฮวก เฮาสิไปหาได้โดยการไปหาส่อนเอา เฮาเอิ้นว่า ไปส่อนฮวก โดยใช้สวิงส่อนกะได้ หรืออาจสิใช้ผ้ามุ้งส่อนกะได้คือกัน ในการไปส่อนฮวกแต่ละที เฮากะบ่ได้จำเพาะเจาะจงว่าสิส่อนเอาแต่ฮวกดอก ถ้าส่อนถืก เขียดจินา แมงละงำ แมงอีด แมงขี่เต่า แมงหอม เฮากะเอาคือกัน และฮวกที่ส่อนกะเอาหลายอย่างคือกันบ่ว่าสิเป็นฮวกกบ ฮวกเขียดโม่ ฮวกเขียดจินา แต่ว่าถ่าได้แต่ฮวกกบแฮ่งดีหลาย โดยปกติแล้ว ฮวกกบ กับ ฮวกเขียดโม่ มักสิเกิดก่อนหมู่ เมื่อมีฝนตกลงมา เดือนหกเดือนเจ็ด ฝนตกมีน้ำโห่ง ตามใฮ่นา กบ กะสิมาไข่แล้วกะกลายเป็นฮวก ส่วนฮวกเขียดจินา สิมีหลายในช่วงเดือนแปด เดือนเก้า ยามฝนตกหลายๆ ส่อนฮวกเขียดจินา นำข้างคันแท ที่มีน้ำเต็ม โฮ..เอาฮวกเขียดจินามาแกงใส่หน่อไม้ส้ม แซบเป็นตาหน่าย

ฮวก ที่เฮาไปหาส่อนมาได้ นอกจากเฮาสิเอามาเฮ็ด หมกฮวก แล้ว เฮากะยังสามารถเอาฮวกไปประกอบอาหารได้หลายชนิด บ่ว่าสิเป็น อ๋อฮวก แกงฮวกใส่หน่อไม้ส้ม แกงฮวกใส่ผักหวานบ้าน แกงฮวกใส่บักน้ำบักแนบ หรือสิเอามาเฮ็ด ป่นฮวก กินกับหน่อไม้เซิ่ม กะแซบคือกัน แต่ที่คนเฮาฮู้จักมากที่สุดกะคือ หมกฮวก นี่หละ

หลังจากที่เฮาไปหาส่อนฮวกมาได้แล้ว เฮากะต้องมาทำการ ไส่ขี่ฮวก เสียก่อน โดยการบีบที่ท้องของฮวก ให่ขี่มันแตกเป๊าะ เอาขี่มันออกก่อน เพราะว่าถ้าบ่ไส่ขี่มันออก เวลาเอามาหมกหรือมาแกงมันสิแหย๋ โดยเฉพาะ ฮวกกบ กับ ฮวกเขียดจิโม่ เพราะว่าฮวกมันกินขี้ดินและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร ขี้มันเลยแหย๋ ส่วนฮวกเขียดจินา บ่ต้องไปพยายามไส่ขี่มันดอก ท้องมันน้อย ขี้บ่หลาย เวลาเอามาเฮ็ดแนวกินมันกะบ่แหย๋ แต่เสียอย่างเดียวฮวกเขียดจินา มันโตน้อย ต้องส่อนให้ได้หลายๆมันจั่งสิอิ่ม พอไส่ขี่ฮวกได้แล้วเฮากะล้างน้ำออกดีๆสาก่อน ส่วน แมงอีด แมงละงำ แมงขี่เต่า แมงหอม ที่ส่อนติดมานำ กะเลือกมาใส่นำกัน อย่า เลือกถิ่มเด้อ เสียดาย ของมันแซบ

สำหรับวิธีการเฮ็ด หมกฮวก นั้น วิธีการเฮ็ด กะคือ การเฮ็ดหมกทั่วไป สำหรับเครื่องปรุง กะใส่แค่เกลือ จักเล็กน้อยเท่านั่น บ่ต้องใส่หลายมันสิเค็ม และสิ่งที่ขาดบ่ได้สำหรับการเฮ็ดหมกฮวก กะคือ ผักอีตู่ ถ้าหมกฮวกขาดผักอีตู่ มันบ่ครบสูตร เครื่องปรุงอย่างอื่น กะมี บักพริกดิบมาหักใส่นำจักสองสามหน่วย หัวผักบั่วมาทุบใส่นำกะดี  เอาคลุกเคล้าใส่กันแล้วกะเอามาห่อใส่ใบตองเป็นหมก สำหรับตองที่เอามาห่อกะใช้ได้ทั้งใบตองกล้วย หรือใบตองกุง ใบตองซาด กะได้คือกัน

หลังจากเฮ็ดหมกแล้ว หลังจากนั้นกะต้องเอามาเฮ็ดสุก โดยการเอามาหมกไฟ เอามาตั้งบนถ่านไฟ ให้มันสุก วิธีการเบิ่งว่าหมกฮวกมันสุกหรือยัง กะโดยการทดลองยกเบิ่ง ถ้าหมกได๋น้ำหนักเบาขึ้น กะแสดงว่าสุกแล้ว หมกได๋ยังหนักๆอยู่คือเก่า แสดงว่าบ่ทันสุกต้องค่างไฟต่ออีกจักคราว

เมื่อหมกฮวกสุกดีแล้ว กะจัดการเอาลงมา เขยออกกิน กลิ่นหอมห่วย  เอาปั้นข้าวเหนียว คุ่ย คำใหญ่ๆ หักบักพริกใส่นำ ซี๊ด....เทิงเผ็ด เทิงแซบ มา มา มากินข้าวกับหมกฮวก นำกัน
                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 475 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 473 ครั้ง
 
 
  19 ส.ค. 2549 เวลา 20:26:54  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) อ๋อฮวก      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
นี่อ๋อฮวก



บ่แซบปานได๋ดอก มันเค็ม              

 
 
สาธุการบทความนี้ : 453 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 452 ครั้ง
 
 
  19 ส.ค. 2549 เวลา 20:39:12  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   12) หมกฮวก  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่9)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ขนาดเค็มปานนี้ กะยังซดเอาตายว่าน้อ

........แต่ว่าการเฮ็ดแนวกินมันบ่ยากดอก คันซีมเบิ่งว่ามันเค็ม เฮากะเอาน้ำตื่มลงไป แล้วกะซีมใหม่ คันมันจางกะเอาน้ำปลาหรือเกลือลงไปอีก ซีมเบิ่งใหม่ คันมันเค็ม กะตื่มน้ำลงไปอีก ซีมเบิ่งอีก คันจางกะใส่น้ำปลาลงไปอีก ซีมเบิ่งเรื่อยๆจนมันแซบพุ่นหละ
เฮ็ดไปเฮ็ดมากะระวังน้ำสิล้นหม้อเด้อหละ.....

 
 
สาธุการบทความนี้ : 465 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 465 ครั้ง
 
 
  13 ส.ค. 2550 เวลา 09:14:39  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   13) คั่วแมงเม่า  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) คั่วแมงเม่า      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
มื่อวานนี่(๒๙ พฤษภา ๔๙) ขณะที่ข้าพเจ้าขับรถไปฮอดเฮือน เวลาประมาณ สองทุ่ม พอลงรถไป เหลียวไปเบิ่งหลอดไฟหน้าบ้าน แม่นอีหยังน้อคือมาตอมหลอดไฟหลายคักแท้ ซ่ำจึ่มกึ่ม เต็มไปเหมิด ที่แท้แล้วมันคือ แมงเม่านั่นเอง สำพอ ตอนผ่านเฮือนคนอื่นมา เป็นหยังเพิ่นจั่งบ่เปิดไฟ หรือว่าไฟฟ้าดับ ที่เพิ่นบ่เปิดไฟ กะย่อนว่าบ่อยากให้แมงเม่ามาตอมไฟนั่นเอง เพราะว่าแมงเม่ามันมาแต่ละเทือ บ่แม่นมาเทื่อละสิบยี่สิบโต มันมาเหมิดบ้านมันเลย เป็นล้านๆโต มาพร้อมๆกัน กวาดออกกะบ่สะนะสะนาย แต่พอสังเกตดีๆแล้วแมงเม่าที่มาในมื่อนี่มันบัดเป็นแมงเม่าใหญ่ กะเลยคึดฮอดสมัยตอนน้อยๆ ที่เวลามื่อได๋ฝนตกกะมักสิได้กินคั่วแมงเม่า กะเลยหากาละมังใส่น้ำมาต่งแมงเม่า ได้พอสมควรกะเลยเอาไปคั่วมากิน มันดีคักเว่ย

แมงเม่า หรือ แมลงเม่า เป็นระยะชีวีตช่วงหนึ่งของปลวก ซึ่งแมงเม่าสิมีเฉพาะช่วงฤดูฝนเท่านั่น และแมงเม่ากะมักสิออกมาในมื่อได๋ฝนตก มื่อได๋ฝนบ่ตกแมงเม่ากะสิบ่ค่อยออกมา ในช่วงที่เป็นแมงเม่าของปลวกนี่ เมื่อมันบินออกจากฮังปลวกมาแล้ว มันสิมีชีวิตอยู่ช่วงสั่นๆเท่านั้น พอมาตอมไฟ แล้วปีกมันกะสิหล่น แล้วกะสิหาหม่นลงดินหาหม่องวางไข่ แล้วกะตายไป แต่โดยธรรมชาติของแมงเม่าแล้ว มันสิเป็นแมลงที่ชอบแสงไฟหลายกั่วหมู่ ถ่าเห็นแสงไฟอยู่หม่องได๋มันสิบินไปหาทันที ถึงแม้ไฟสิไหม้ปีกมันมันกะยอมตาย ขอให้ได้ไปเล่นไฟ มันเป็นพวกที่ชอบเล่นกับไฟ (บ่แม่นเล่น กับไฟ ที่แปลว่า ไม้ขีด เด้อ เดี๋ยวสิแปลไปเป็นไทยว่า พวกที่ชอบเล่นไม้ขีด)

แมงเม่า มีหลายชนิดด้วยกัน กะคือกันกับปลวกนั่นหละ มีทั้งปลวกโพน ปลวกเป็นหัว และกะปลวกที่ขอนไม้ แต่ว่า ชาวบ้านเฮาสิมักจำแนก แมงเม่าออก เป็น สองจำพวก กะคือ แมงเม่าขี่หมา กับ แมงเม่าใหญ่ ที่เฮาเอามาคั่วกินได้กะคือ แมงเม่าใหญ่ ส่วนแมงเม่าขี่หมามันกินบ่ได้ มันคันคอ มันบ่แซบ แต่ว่าแมงเม่าขี่หมามันสิออกมาหลายกว่าแมงเม่าใหญ่ แม่นฝนสิตกค่อย หรือตกแฮง กะสิเห็นแมงเม่าขี่หมามาตอมไฟตลอด แต่ว่าหมู่บ่ใหญ่ ปริมาณบ่หลาย แต่ว่าถ้าเป็นแมงเม่าใหญ่นั้น ถ้าฝนบ่ตกแฮงอีหลีมันสิบ่ออกมา แต่ว่ามื่อได๋ยามกลางเว็นฝนตกแฮงๆ ยามค่ำมากะสิเห็นแมงเม่าใหญ่ออกมาบินเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันกะเป็นอาหารของสัตว์พวกกบ เขียด อึ่ง ขี้คันคาก กับแก้ ขี่กะปอม เป็นต้น

การหาแมงเม่า กะหาได้โดยการ ไต้แมงเม่า ในสมัยก่อน สมัยที่บ่ทันมีไฟฟ้าใช้ สมัยที่ข้าพเจ้าน้อยๆอยู่ จำได้ว่า มื่อได๋ มีแมงเม่าใหญ่ออกมา เฮากะสิเอาถาดพาเข่า หรือกาละมังกะได้ มาใส่น้ำจักเล็กน้อย มาตั้งใว้นอกชาน แล้วกะเอาตะเกียงไต้ไฟมาตั้งไว้กลางถาด หลังจากนั้นกะมอดตะเกียงดวงอื่นที่อยู่ในบ้าน ให้เหลือตะเกียงดวงเดียวที่เฮาไต้แมงเม่านี่หละ สมัยก่อน แค่แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันก๊าส ดวงเดียว แสงสว่างกะหุ่งไปบักไกลพุ่นเด้ แมงเม่าเห็นแสงไฟมันกะบินมาตอม พอมาตอมไฟจักคาวมันเมื่อย หรือมันบินไวโพด กะเกิดการเสียหลัก บินตกลงน้ำในกาละมัง บินขึ้นบ่ได้จ้อย เอาไปเอามา หลายต่อหลาย ได้แมงเม่าเต็มกาละมังกะมี แต่ว่าสมัยปัจจุบันนี่ มีไฟฟ้าใช้แล้ว ฮอดบ่ได้ไต้ มันกะบินมาเอง มาตอมหลอดไฟ กวาดหนีบ่หวาดบ่ไหวพุ่นหละ การไต้กะไต้โดยการ เอากาละมังที่มีน้ำไปตั้งไว้ใต้หลอดไฟ ท่อนั่นหละแมงเม่ากะสิบินตกเต็มแล้ว หรือ หน้าบ้านผู้ได๋ เป็นเดิ่นที่ลาดปูนไว้ ถ้าแมงเมามาลงหลายๆกะเอาฟอยไปกวาดต้อมเอาโลด สมัยนี่จั่งแม่นง่าย แต่กะบ่ค่อยมีคนหากินปานได๋ดอกแมงเม่า ทุกมื่อนี่ เด็กน้อยกะบ่มักกิน ย่อนว่ามันมักกินแต่ขนมนั่นหละเด็กน้อยซุมื่อนี่ ฮู้จักบ่บุ๊ ว่าคั่วแมงเม่าเป็นจั่งได๋

 
 
สาธุการบทความนี้ : 309 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 306 ครั้ง
 
 
  19 ส.ค. 2549 เวลา 20:45:42  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   13) คั่วแมงเม่า  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) คั่วแมงเม่า      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
หลังจากเฮาได้แมงเม่ามาหลายพอสมควร เฮากะเอามาเทใส่หม้อ จัดการคั่วเลย แต่อย่าใส่เกลือหลายๆเด้อ มันสิเค็ม เพราะการคั่วแมลงต่างๆ มันเค็มง่าย การคั่วแมงเม่า ต้องใช้เวลาโดนเติบ ช่วงแรกๆมันสิมีน้ำออกมาหลาย กะให้คั่วต่อไปจนมันแห่งพุ่นหละจั่งค่อยปงลงจากไฟ กะเอามากินได้ รสชาติของคั่วแมงเม่า มันกะสิออกเป็นรสมันๆ แซบดี คันใส่เกลือหลายกะสิเค็มๆมันๆ แต่ถ้าหากกินหลายเกินไปอาจสิเฮ็ดให้เมาให้วินได้ โดยเฉพาะกินคั่วแมงเม่าแกล้มเหล้าขาว โฮ้..เมาดีเป็นตาหน่าย และกะระวังแหน่ แมงเม่าบางที มันกะเฮ็ดให้ แฮดคอ คันคอ กะให้กินพอประมาณเด้อ

ในสมัยก่อน คั่วแมงเม่า เป็นอาหารตามฤดูกาลที่ดีอย่างหนึ่ง เอามากินกับข้าวกะแล้วคาบอยู่ แต่ว่าถ้ามันได้หลาย กินบ่เหมิด กะสามารถเอาคั่วแมงเม่า ที่สุกแล้ว ไปตากแดด เป็น คั่วแมงเม่าแห้ง เก็บไว้กินได้หลายมื่อคือกัน เฮือนได๋ไต้แมงเม่าได้หลาย กะเอาไปหาส่งพี่น้อง สู่กันกิน เป็นวัฒนธรรมการเป็นอยู่ที่ดีของชาวอีสานเฮา

มื่อคืนนี่กะคั่วไว้หลายอยู่ดอกแมงเม่า แต่บ่ฮู้ว่าซุมอยู่เฮือนสิเอาออกตากให้บ่บุ๊หนิ แต่ว่าผู้ได๋อยากสิกิน คั่วแมงเม่า กะส่งที่อยู่ เบอร์โทร ไว้เด้อ มื่อแลงสิไปหาไต้แมงเม่ามาคั่วตากแห้งส่งไปให้ซีมดอก

เอาไปลองซีมเบิ่งจักจาน อย่ากินหลายโพดเด้อ มันสิฮาก



                                          

 
 
สาธุการบทความนี้ : 507 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 505 ครั้ง
 
 
  19 ส.ค. 2549 เวลา 20:48:39  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   14) ลาบนกขุ่ม  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ลาบนกขุ่ม      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ก่อนเฮาสิได้เฮ็ดลาบนกขุ่ม เฮาต้องไปหานกขุ่มมาสาก่อน วิธีการไปหานกขุ่ม กะไปหาได้หลายวิธี บ่ว่าสิเป็น ไปห่างนกขุ่ม ไปไล่นกขุ่ม หรือไปไต้นกขุ่ม เป็นต้น

นกขุ่ม หรือ นกคุ่ม แม้มันสิเป็นนก แต่มันบ่ค่อยสินิยมชมชอบการบินสักเท่าได๋ ชีวิตส่วนใหญ่มันสิอาศัยอยู่ตามพื้นดิน บ่คือนกชนิดอื่นๆที่ชอบอาศัยอยู่เทิงต้นไม้ เทิงหลังคาบ้าน แต่กะบ่ใช่ว่านกขุ่มสิบินบ่เป็นเด้ บินได้อยู่ และนกขุ่มตามภาคอีสานบ้านเฮา กะสิหาได้ในช่วงฤดูร้อน เท่านั้น เริ่มมาตั้งแต่หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว กะสิเริ่มเห็นว่ามีนกขุ่ม ตามหัวไร่ปลายนา ตามป่าละเมาะ ส่วนฤดูการอื่นบ่ฮู้ว่ามันอพยพไปอยู่ประเทศได๋

จากที่เฮาฮู้ธรรมชาติของนกขุ่มว่า เป็นนกที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน หาเขี่ยอาหารกินคือไก่ บินได้บ่ไกลชอบแล่นหลายกว่าบิน แล้วกะยามนอน กะเฮ็ดหม่องนอนนำพื้นดิน ข้างกอหญ้า เป็นหม่อง ต่องหล่อง แต่งแหล่ง เป็นที่สังเกตได้ว่า หม่องได๋ เป็นหม่องที่นกขุ่มนอน  เมื่อเฮาฮู้ธรรมชาติดังนั้นแล้ว กะเลยมีวิธี หานกขุ่ม ได้หลายๆวิธี เช่น

1.การห่างนกขุ่ม อุปกรณ์ที่ต้องมี กะคือ ซิง เป็นซิงห่างนกขุ่ม ซึ่งสิมีขนาดน้อยกว่าซิงห่างไก่ การไปหาห่างนกขุ่มนี่ เฮาจะต้องมีการสำรวจก่อนว่า หม่องได๋ ดอนได๋ มีฮอยนกขุ่มมาหากิน เฮาจั่งค่อยไปห่าง ห่างนำหม่องฮอยมันหากินนั่นหละ แต่ว่าต้องใช้ซิงหลายๆอันจักหน่อย ห่างลัดกันไว้ ผู้ลังคนกะเอาข้าวเปลือก หรือข้าวสารไปโฮย ล่อไว้กะมี ผู้ลังคนกะฮ้อง เฮ็ดเสียงนกขุ่มอืด ฮ้อง อืด อืด ล่อมันมากะมีคือกัน บางทีต้องรอคอยเป็นค่อนมื้อกะมีกว่าสิห่างได้ แต่มื่อได๋หมาน ห่างคาวเดียวกะได้แล้ว

2.การไต้นกขุ่ม อุปกรณ์ที่ต้องมีกะคือ ไฟส่องสว่าง อาจสิเป็น แบตเตอรี่ หรือตะเกียงแก๊ส กะได้ อีกอย่างหนึ่งกะคือแห แห ตึกปลานี่หละ เอาใว้ไปหว่านเอานกขุ่ม การไปหาไต้นกขุ่มกะต้องไปหาเบิ่งหม่องฮอยมันนอนไว้แต่ยามกังเว็น อย่างที่เฮาฮู้ว่านกขุ่ม มันนอนอยู่นำพื้นดิน หม่องได๋มีกอหญ้า กอเฟียง หรือนำแจคันแทนา เฮากะเอาไฟไปหาแยงเบิ่ง ถ้าเห็นมันนอน กอดจอด แกดแจด อยู่กะให้ใช้แหหว่าน คลุมเอาเลย วิธีนี่สิได้นกขุ่มทีละหลายโต เพราะว่ามันสิมักนอน อยู่เป็นกลุ่ม ทีละสามสี่โต

3.การไล่นกคุ่ม วิธีนี่วัยรุ่นชอบใช้ แต่ส่วนใหญ่สิไปไล่นกขุ่มโดยบังเอิญ เวลาไปหาไล่แย้ คล้องกะปอม ย่างไปเห็นนกขุ่มบินปี๊ออกจากกอหญ้า กะแล่นไล่เลย นกขุ่มมันเป็นนกที่บินบ่ได้ไกล้ บินแต่ละครั้ง ข้ามได้ท่งนาเดียว พอบินลงงานนาแล้ว กะแล่นต่อไปอีก งานนาหนึ่ง เวลาคนแล่นนำไปทัน มันกะสิบินต่ออีก คนกะแล่นไล่อีก บินบ่เกินสามสีครั้งนกขุ่มมันกะสิเหมิดแฮง บินต่บ่ได้ พอคนแล่นนำทันกะย่างเลาะหาใกล้ๆหม่องนกขุ่มบินลง กะสิเห็น นกขุ่มหมอบอยู่ กะคุบเอาเลย วิธีนี้ ผู่เฒ่าใช้บ่ได้ เพราะว่า กว่านกขุ่มสิเหมิดแฮง คนกะสิเป็นลมก่อน


พอเอาได้นกขุ่ม มาแล้ว กะจัดการหลกขนให้หล่อนๆ แล้วกะลนไฟให่ขนน้อยมันออกดี หลังจากนั้นกะผ่าท้องแบ๋ขี้ออกให้เรียบร้อย แต่ระวังแหน่เด้อ ยามเปิดฝาข่องออก ค่อยๆเปิด เดี๋ยวนกขุ่มบินหนี สิได้กินลาบก้านกล้วยใส่ขี่เขียงเด้…

วิธีการเฮ็ดลาบนกขุ่ม กะบ่ยาก เฮ็ดคล้ายๆลาบแย้นั่นหละ กะคือ ต้องเอานกขุ่มไปปิ้งก่อนจั่งเอามาฟักให้แหลก ถ้าได้บ่หลายกะไปหาตัดก้านกล้วย มาฟักใส่จั่ง สี่ห้าก้าน แต่ว่าบ่ต้องขูดขี่เขียงใส่นำเด้อ มันสินัวโพด ต้มน้ำปลาแดกคน แล้วกะปรุงคือวิธีปรุงลาบ นั่นหละ แต่อย่าลืมเด้อ ข้าวคั่ว ต้องคั่วใหม่เด้อ มันจั่งหอม แล้วกะอย่าลืม ซอยใบเว่อร์ ใส่นำมันจั่งค่อยหอม

ปรุงแล้วกะหาลงกินเลย เก็บผักมากินกับหลายๆ ท้องสิบ่ได้ผูก แต่ผักกระโดน อย่าสะกินหลาย มันฝาด

คุ่ยลาบนกขุ่ม คำใหญ่ๆ โฮ้ …แซบอีหลี… แมงตาแตก เฮ็ดจั่งได๋กินกะแซบ….                                                                

 
 
สาธุการบทความนี้ : 385 ครั้ง
จากสมาชิก : 4 ครั้ง
จากขาจร : 381 ครั้ง
 
 
  21 ส.ค. 2549 เวลา 17:02:32  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   15) ลาบหมาน้อย  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่2)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ลาบหมาน้อย นอกจากที่เฮาสิเฮ็ดโดยเอาป่นปลาค่อมาผสมแล้ว กะอาจสิเอาป่น อีหยังกะได้แล้วแต่เฮาสิหาได้ตามฤดูกาล บ่ว่าสิเป็น ป่นกบ ป่นเขียด ป่นฮวก หรือถ้าเป็นยามเห็ดเกิด กะเอาป่นเห็ดใส่กะได้ บ่ว่าสิเป็น ป่นเห็ดแทด ป่นเห็ดไค ป่นเห็ดละโงก ป่นเห็ดมันปู ป่นเห็ดปลวกน้อย ป่นเห็ดเฟียง กะได้คือกัน หรือสิเอาแมงดามาตำใส่ป่นก่อน กะหอมดี แซบไปอีกแบบ หรือบางคน กะเอาบักเขือขื่นมาปาดใส่นำ กะแซบไปอีกแบบ

ในสมัยก่อน เครือหมาน้อยสิเกืดอยู่ตามดง ตามป่า เวลาเข้าโคก หาเก็บเห็ด กะสิได้เครือหมาน้อยกลับออกมานำ ซึ่งในการเข้าโคกแต่ละครั้ง เฮากะสิบ่จำเพาะเจาะจงไปหาอย่างได๋อย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าพบอีหยังที่สามารถกินได้กะเอามาคือกัน บางทีเข้าโคกครั้งเดียว ได้เทิงเห็ด อีรอก ดอกกระเจียว เครือหมาน้อย ได้ฮอดบักต้องแล่ง บักก้นครก มาฝากลูกฝากหลาน พุ่นหละ ได้ฟืนมาดังไฟพร้อม

แต่ในสมัยนี้ ถ้าอยากกินลาบหมาน้อย บ่ต้องเข้าโคกเข้าป่ายาก เพราะว่า เครือหมาน้อย มีปลูกอยู่ตามบ้านคนแล้ว มีปลูกอยู่ทั่วไป มื่อได๋อยากกินกะไปหาขอเอาอยู่นำเฮือนผู้เพิ่นมีต้นกะได้ หากินได้ซุยาม

แต่เดียวนี่กะสิหากินยากแหน่ เพราะว่าคนขี่คร้านเฮ็ด หากินนำร้านอาหารอีสานกะบ่มี เพราะขั้นตอนการเฮ็ดมันมีหลายขั้นตอน แต่ว่าถ้าอยากกินอีหลี กะไปหามาย่องกินโลดเด้อหมาน้อย แต่ว่าถ้าเป็นหมาอีหลี ต้องไปทางบ้านท่าแร่เด้อ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 336 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 336 ครั้ง
 
 
  23 ส.ค. 2549 เวลา 08:37:44  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   16) ซุบเห็ดตะไค  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) ซุบเห็ดตะไค      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
พอเข้าหน้าฝนมา อาหารประเภทหนึ่งที่เริ่มสิมีหลายและหากินได้ง่าย กะคือ เห็ด ที่เริ่มได้กินแล้วในตอนนี่ กะมีแกงเห็ดเผิ่งทาม ป่นเห็ดแทด แกงเห็ดตะเผาะ ซุบเห็ดไค หรือเห็ดยูคาที่มังกรเดียวดายเล่าไว้แล้วกะเกิดคือกัน ส่วนเห็ดอื่นๆกะเริ่มเกิดหลายแล้ว บ่ว่าสิเป็นเห็ดปลวก เห็ดละโงก เห็ดถ่าน เห็ดน้ำหมาก เห็ดก่อ เห็ดหน่าหล่อง เห็ดหน่าแหล่ เห็ดมันกบ เห็ดมันปู เห็ดหำฟานหรือเห็ดหำพระ เห็ดขี่ดังงัว โอ้ย สาระพัดเห็ด

เห็ด เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พืช ไม่ใช่สัตว์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักร เห็ดรา ซึ่งเท่าที่ข้าพเจ้าฮู้จัก เห็ดมีมากมายหลายชนิดคักจนบ่สามารถฮู้เหมิดพุ่นหละ ทั้งเห็ดที่กินได้ ทั้งเห็ดตายเบี่ย ทั้งเห็ดที่เกิดอยู่นำขี่ดิน เห็ดที่เกิดนำขอนไม้ เกิดนำโคก เกิดนำนา จนไปฮอดเกิดนำเสื่อผ้าคนที่บ่ค่อยซักเสื้อพุ่นหละ แต่เห็ดที่ชาวอีสานเฮาใช้เป็นอาหารกะมีหลากหลาย ที่ข้าพเจ้าฮู้จักกะสิพอจำแนกตามสถานที่ที่มันเกิดหรือสถานที่หาได้ จำแนกกลุ่มคร่าวๆ ดังนี้(อันนี่กะแยกตามความฮู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้า บ่สามารถเอาไปเป็น Reference ได้ดอก จัดแบบม่วนๆและกะอ้างอิงจังหวัดสารคามเด้อ สารคามบ่มีภูเขา เด้อสิบอกให่)

๑.กลุ่มเห็ดที่เกิดบนดิน กะแยกได้ตามสถานที่ดังนี้

-เห็ดที่เกิดตามท่งนา กะได้แก่ เห็ดแทด เห็ดทา เห็ดตะป้อ เห็ดตะปู้ เห็ดกลุ่มนี่สิเกิดในช่วงต้นฤดูฝนช่วงเดือนหกเดือนเจ็ด ไปหาเก็บได้นำนำท่งนาที่บ่ทันได้ฮุด หรือนำคันแทนา เห็ดพวกนี่กะนิยมนำมาแกง มาหมก หรือมาต้มป่นกะแซบคือกัน นอกจากนั่นกะยังมี เห็ดปลวกน้อยหรือเห็ดปลวกไก่น้อย ที่มักเกิดอยูนำโพนตามหัวไร่ปลายนา หรือนำไกล้ๆฝั่งห่วย โดยมากจะเกิดในช่วงกลางฤดูฝน และเห็ดที่มักเกิดตามท่งตามนาอีกชนิดหนึ่งกะคือ เห็ดเผิ่งทาม (เป็นจั่งได๋ เดียวสิเว่าตอนต่อไป แกงเห็ดเผิ่งทาม)

-เห็ดที่เกิดตามโคกตามป่า เห็ดกลุ่มนี่ ถ่าบ้านได๋บ่มีโคกมีป่าสิหากินบ่ได้ กะได้แก่ เห็ดละโงก เห็ดไคหรือเห็ดตะไค เห็ดเผิ่งหวาน เห็ดเผิ่งฝ่าย เห็ดน้ำหมาก เห็ดก่อ เห็ดหน่าหล่อง เห็ดหน้าแหล่ เห็ดถ่าน เห็ดขี่ดังงัว เห็ดมันกบเห็ดมันปู เห็ดหำพระหรือเห็ดหำฟาน เห็ดปลวกจิก เห็ดปลวกตาบ เห็ดปลวกขาเต่า เห็ดเห็ดปลวกไก่น้อย โฮ้ ไล่บ่เหมิดดอกมันหลายแนว แต่เห็ดในโคกนี่ต้องระวัง เพราะเห็ดตายเบี่ยกะหลายคือกัน

๒.กลุ่มเห็ดที่เกิดอยู่ในดิน กลุ่มนี่กะได้แก่ เห็ดตะเผาะ ทั้งเห็ดตะเผาะขน และเห็ดตะเผาะหนัง มันสิเกิดอยู่ในดิน สิบ่โผล่ขึ้นมา เวลาหาต้องใช้เสียมก่นเอา หรือ เอามือควัดเอา กลุ่มเห็ดเผาะนี่ เกิดทั้งอยู่นำโคก และกะนำท่งนา ซึ่งตามท่งนาเห็ดเผาะสิเกิดอยู่ใต้ต้นสะแบง ต้นบาก ต้นกระยอม ฉะนั้นเวลาไปหาเก็บเห็ดเผาะ กะให้มุ่งไปที่ต้นสะแบง หรือ ต้นบาก ต้นกระยอมเลย สิไปหานำใต้ต้นบักทัน จ้างให่กะบ่มี

๓.กลุ่มเห็ดที่เกิดนำต้นไม้ ขอนไม้ หรือกิ่งไม้ ได้แก่ เห็ดขอนขาว เห็ดกระด้าง เห็ดหูหนู  เห็ดแค่น เห็ดหอม เป็นต้น เห็ดกลุ่มนี่ บ่ค่อนเน่าง่าย เฒ่าแล้วกะแข็งไปเลย บ่เน่าบ่เปื่อย เช่น เห็ดขอนขาว พอเฒ่ามากะเป็นเห็ดกระด้าง แห่งปานได๋กะเอามาแช่น้ำแล้วกะต้ม ฟัก ซุบได้ตลอดปี เห็ดแค่น กะคือกัน แห่งปานได๋กะเอามาต้มซุบได้ เห็ดกลุ่มนี่เกิดอยู่เหมิดปี บ่ต้องรอกินตามฤดูกาลกะได้

๔.กลุ่มเห็ดที่เกิดบนที่เฉพาะ หรือตามแหล่งเฉพาะ เช่น เห็ดเฟียง มักสิเกิดนำกองเฟียง(บางทีกะเกิดนำกอกล้วยกะมีดอกว้า) เห็ดเพ็กกะเกิดนำเหง่าเพ็ก เห็ดไผ่กะเกิดนำเหง่าไผ่ เห็ดยูคากะเกิดนำป่ายูคา แต่ว่าเห็ดหอมขั่นบ่ได้เกิดนำต้นหอม เนาะ เป็นต้น

๕.กลุ่มเห็ดที่มีการเพาะปลูก เช่น เห็ดเฟียง เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดขอนขาว เห็ดหอม เป็นต้น สิมีการเพาะปลูกตลอดปี เป็นอาชีพของชาวบ้านที่ทำรายได้ ได้ดีอย่างหนึ่ง แต่ทุกมื่อนี่การเกษตรก้าวหน้า เพาะได้ฮอดเห็ดตะไค เห็ดปลวก กะยังวะ เก่งคัก คนทุกมื่อนี่

๖.เห็ดอื่นๆ (บ่ฮู้ว่าสิจัดจั่งได๋ กะเลยเอาไว่ว่า เห็ดอื่นๆ สั่นดอก)

 
 
สาธุการบทความนี้ : 337 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 335 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2549 เวลา 21:13:26  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   16) ซุบเห็ดตะไค  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) ซุบเห็ดไค(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ว่าสิฟ่าวเฮ็ดอยู่ดอก ซุบเห็ดตะไค กะดาย แต่ว่าช่วงนี่บ่มีเวลาไปหาเก็บ ขนาดเวลาสิไปหาซื้ออยู่ในตลาดกะแทบสิบ่มี ยากตั้งแต่นำฟุตบอลโลก บ่ได้หลับได้นอน จักว่าไปยากนำอีหยังเขากะด้อกะเดี้ย เขาเต๋กันอยู่ เยอรมัน พุ่นตั้งบักไกล กะยังมาเฝ่าเบิ่งเขาอยู่เนาะ คนไทยเฮากะดาย แต่ว่ามันกะเป็นความสนุกสนานอีกอย่างหนึ่งหละเนาะ ฟุตบอลโลกกะดาย สี่ปีมีเทือเดียว อีหยังที่นานๆมีเทือ กะมักสิเฮ็ดให่คนตื่นเต้นได้อยู่ดอกเนาะ แต่ว่าอีหยังที่ได้เห็น ที่ได้สัมผัสอยู่ซุมื่อ ความตื่นเต้นกะสิหน่อยลงเนาะ เช่น อีอยู่เฮียน เป็นต้น (เว่าเล่นซื่อๆดอก อย่าสะเอาไปคึดหลายเด้อ ผู้ลังคน)

เว่าพื่นเห็ดไค หรือเห็ดตะไค นี่เนาะ กะเป็นเห็ดยอดนิยม ชนิดหนึ่ง เป็นเห็ดระดับแนวหน้า ในวงการเห็ดอีสานเฮา (เว่าไปปานนักฟุตบอลเด้หนิ) ถ้าเทียบกับฟุตบอลชั้นนำกะสิเทียบได้ระดับ เบคส์แฮม หรือ บัลลัค พุ่นหละ เวลาไปหาเก็บเห็ด ถ้าผู้ได๋เก็บได้เห็ดตะไคหลาย กะเอาไปอ้างหมู่ได้ ส่วนเห็ดที่เป็นยอดนิยม ในระดับเดียวกัน กะคือ เห็ดละโงก เห็ดปลวก ส่วนเห็ดที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง กะสิเป็น เห็ตตะเผาะ ส่วน เห็ดที่ไกล้แขวนสตั้ต คาดว่าสิเป็นเห็ดขี่ดังงัว ถ่าเก็บเห็ดอื่นได้หลาย แทบสิบอกอยากก้มลงเก็บผุ่นหละ เห็ดขี่ดังงัว แต่ถ่าเก็บเห็ดอย่างอื่นบ่ได้ กะจั่งสิเก็บเอามัน เขาเรียกว่าเห็ดตัวสำรอง แต่บางครั้ง ตัวสำรองอย่างเห็ดขี่ดังงัว กะสามารถที่สิไปเพิ่มรสชาติให้แกงเห็ดแซบขึ้นได้ กะอาจสิกลายเป็น ซุปเปอร์ซับ กะได้

เว่าไปหลายแฮ่งสิเป็นภาษาฟุตบอลเข่าไปทุกขณะ วนกลับมาภาษาเห็ดเถาะเนาะ ที่ข้าพเจ้าจัดระดับให่เห็ดตะไค เป็นเห็ดชั้นแนวหน้า กะเพราะว่า ความโดดเด่นของเห็ด ของมันสิอยู่ที่กลิ่น กลิ่นที่หอมของเห็ดตะไค สิเป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัว บางครั้งเวลาเฮาไปหาเก็บเห็ดย่างไปไกล้ๆโพนเฮากะสิได้กลิ่นหอมโชยมาก่อน หรือเวลาเฮาเอามาจี่ สิซุบ กลิ่นหอมของเห็ดตะไคจี่ กะสิโชยไปไกล ผู้อยู่เฮือนไกล้กะอยากกินนำพุ่นแหล่ว นอกจากกลิ่นหอมแล้ว รสชาติของเห็ดไค กะบ่แม่นใช่ย่อย รสดี รสแซบ บ่ว่าสิเอาไปซุบ เอาไปแกง กะแซบคือกัน เหตุนี่เอง จึงบ่หน้าแปลกใจที่ราคาของเห็ดตะไค ตามท้องตลาด สิมีราคาแพงเป็นสองร้อยบาทต่อกิโล แต่ว่าข้าพเจ้ากะบ่ค่อยซื้อกินดอกว้า ของบ่มีเลือดมียาง สู่ลาบงัวบ่ได้ สั่นดอก

เว่าถึงว่าการประกอบอาหารจากเห็ดตะไคนั่น กะเฮ็ดได้หลายอย่าง เช่น แกงรวมกันกับเห็ดอื่นๆที่เฮาเก็บมาได้ แต่ว่าเห็ดไค ถ้ามีแต่มันอย่างเดียว มันสามารถเอาซุบ เป็นซุบเห็ดไค ที่เห็ดอย่างอื่นบ่สามารถเฮ็ดได้คือเห็ดตะไค ซึ่งกะสามารถเอามา ต้มแล้วจั่งซุบกะได้ แต่บ่เป็นที่นิยม เพราะว่ากลิ่นหอมของเห็ดไคสิเหมิดไป คนส่วนใหญ่กะเลยนิยมเอาเห็ดไค มาจี่หรือย่างไฟให่มันสุกก่อนจั่งเอามาซุบ มันจั่งมีกลิ่นหอม แต่สำหรับข้าพเจ้าเองนิยมสิไปหลอยกินเห็ดไคที่เขาจี่ไว่ถ่าซุบนั่นหละมันจั่งแซบดี ยามเขามาถามหากะตอบว่าแมวลักกิน (แมวบ้านได๋บุ๊หนิกินเห็ด..)

เว่าไปเว่ามากะบ่ทันได้ซุบอีกหละมื่อนี่ เวลาหน่อย เพราะว่าหลอยเวลาเฮ็ดงานมาฝอย เอาไว่ซ่ำนี่ก่อนเนาะ สิฟ่าวไปเฮ็ดเวียกก่อน เดี๋ยวสิโดนเขาไล่ออก เอาไว่พ่อกันใหม่เนาะ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 286 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 284 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2549 เวลา 21:18:12  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   16) ซุบเห็ดตะไค  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่3) ซุบเห็ดตะไค (ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
มาถึงการเฮ็ดซุบเห็ดตะไคเสียทีเนาะ ว่าสิเฮ็ดมาหลายมื่อแล้ว สำหรับการเฮ็ดนั้นกะสามารถเฮ็ดได้หลายวิธี เช่น เอาเห็ดตะไคมาต้มใส่น้ำปลาแดกแล้วเอามาซุบ หรือ แกงเห็ดตะไคไส่นำกันกับเห็ดอื่นๆที่เฮาไปหาเก็บมาได้ แล้วพอสุกแล้วกะทาวเอาแต่เห็ดตะไคมาซุบ เห็ดอื่นกะกินเป็นแกงเห็ด ส่วนวิธีที่นิยมที่สุด กะคือ เอาเห็ดตะไคมาจี่หรือย่างไฟให้สุกหอมแล้ว จั่งค่อยเอามาซุบ ส่วนวิธีเฮ็ดนั่นกะมีดังนี้

๑.ไปหาเก็บเห็ดมา อั่นนี่ต้องเข่าโคกเข่าป่าไปหาเก็บมา เก็บเอาแต่ดอกหนุ่มๆเด้อ ส่วนดอกเฒ่าที่มันหอมๆอย่าไปเก็บเอามา จ่งไว้ให่มันแพร่พันธุ์ต่อไป  ส่วนบ้านได๋บ่มีโคกบ่มีป่า กะไปหาเก็บอยู่ตลาดกะได้ นำตลาดเซ้าตลาดแลง แต่ว่าราคาของเห็ดตะไคสิแพงจักหน่อย บ่ถืกคือเห็ดเฟียง แต่ถ่าหาซื่อเห็ดตะไคบ่ได้ กะซื่อเห็ดเฟียงไปซุบโลด


๒.เมื่อได้เห็ดมาแล้ว ควรสิได้จักสิบดอกขึ้นไปเด้อ  แล้วกะต้องเอามาล้างน้ำให้สะอาดเสียก่อน เพราะถ้าบ่ล้าง เวลาเอามาเฮ็ดแนวกิน มันสิแหย๋ แต่ว่า เห็ดตะไคกะล้างบ่อยากดอก บ่คือเห็ดปลวกไก่น้อย แม่นสิล้างดีปานได๋กะยังแหย๋อยู่คือเก่า ล้างหล่อนแล้วกะวางไว้ให้สะเด็ดน้ำก่อน

๓.หลังจากเห็ดตะไคสะเด็ดน้ำดีแล้ว กะไปจี่ หรือใส่เหล็กย่าง ย่างเทิงถ่านไฟกะได้ อย่าสะใช้ไฟแฮงหลายมันสิไหม้ก่อนสุก ขณะปิ้งกะปิ้นดู๋ๆ ปิ้งจนเห็ดตะไคสุก สิมีกลิ่นหอม ห้อม หอม หอม ฮ่วย ฮวย ได้กลิ่นแล้วน้ำลายไหลจ้ากๆพุ่นหละ ผู้ลังคนอดบ่ได้ กะบี๋มาซีมเบิ่งจักหน่อยกะได้ แต่อย่าซีมหลายเด้อหละ ซั่ววะสิได้ซุบ หลือสองดอก สิกินบ่อิ่มเด้อ ในขณะที่ปิ้งเห็ด เฮากะเอาบักพริกดิบ มาจี่จักห้าหกหน่วย เอาหัวผักบั่วจี่ใส่จักหัวกะดี

๔.เมื่อจี่เห็ดไค บักพริกดิบ พร้อมแล้ว กะเอาบักพริกที่จี่แล้วมาตำ ใส่กระเทียมจักหน่อย ใส่หัวผักบั่วที่จี่ไว่ ตำใส่กันให้แหลก แล้วกะเอาเห็ดตะไคที่จี่แล้วมาตำใส่กันให่มุ่นดี

๕.พอทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว กะมาปรุงรส ด้วยน้ำปลาแดกหรือน้ำปลากะได้ ถ้ามันผงหลายกะเอาน้ำหยอดจักหน่อย ผู้ลังคนมักส้ม กะบีบน้ำบักนาวใส่นำ หลังจากนั่นกะซีมเบิ่ง ถ้าแซบแล้วกะโอ เค ถ้ามันบ่นัวปานได๋กะเทผงชูรสใส่จักหน่อย หลังจากนั่นกะเด็ดผักหอมหรือสะระแหน่ใส่นำเพื่อกลิ่นหอม

๖.ซุบแล้วๆกะตัก ซุบเห็ดตะไค ใส่ถ่วย หาพาเข่าลง เก็บผักกะถินมา หน่อข่าอ่อนที่ต้มใว้กะเอามากินกับคือกันเด้อ เข่าที่นึ่งไว่โดนหลายจนเยี่ยยแล้ว กะเอามาอุ่นไหม่แหน่เด้อ สิได้ปั้นเข่าฮ้อนๆ คุ่ยกับซุบเห็ดตะไค หอมฮ่วยฮวย แซบอีหลี


มา มา มาเด้อ ซุผู้ซุคน มากินเข่ากับซุบเห็ดตะไคนำกัน เฮียนได๋มีลวกผัก กะถือมานำเด้อ

โอะ โอะ เกือบลืม ก่อนสิกินเข่ากะให่ แก้เบียร์จักแก้วสองแก้วก่อนเด้อ ส่มปากมาหลายมื่อแล้ว.......

 
 
สาธุการบทความนี้ : 363 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 361 ครั้ง
 
 
  24 ส.ค. 2549 เวลา 21:24:34  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่4)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
หม่องผลิตลูกแป้งที่ข้าพเจ้าฮู้จักและเคยเอามาใช้แล้วกะได้เหล้าโทที่รสชาติดีพอสมควรกะคือ ลูกแป้งของอำเภอบรบือ อยุ่ที่นั่น มีขายตลอดปี มีทั้ง แป้งเหล่าโท แป้งเหล่าหวาน แป้งเข่าละหมาก เคยเอาไปเฮ็ดเหล่าโท อยู่เทิงชมรมคือกัน

การดื่มเหล่าโทนั่น ผู้ที่บ่ค่อยได้ดื่มประจำต้องระมัดระวัง อย่าดื่มหลายเกินไป เพราะเหล่าโท มันสิมีรสหวาน ทานง่าย ผู้ลังคนกะกินเอากินเอา แต่ว่าในรสที่หวานนั่น ปริมาณแอลกอฮอล์กะมีหลายคือกัน โดยเฉพาะเหล่าโทที่หมักโดนๆ น้ำใสติ่งหลิ่ง กินลงไปออกฮ้อนท้องย่าว กินง่ายๆแต่เมาหลาย อันนี่ต้องระวัง เพราะว่าในเหล่าโทเฮาบ่ได้วัดปริมาณแอลกอฮอล์ เฮาคำนวนปริมาณแอลกอฮอล์ที่กินลงไปบ่ได้ บ่คือเบียร์ ที่มีการคำนวนปริมาณแอลกอฮอล์ได้ว่า มื่อนี่สิให่ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นเท่าได๋ จั่งสิบ่ผิดกฎหมาย กะบ่ให่กินเกิน

ปริมาณแอลกอร์ฮอล์ที่มีประโยช์ต่อร่างกายนั่น มื่อหนึ่งบ่ควรเกิน 1 drinks ซึ่ง 1 drinks เท่ากับปริมาณแอลกอฮอ์ 12 กรัม หรือ เทียบกับ

-วิสกี้ บรั่นดี หรือสุรา 30-40 ซีซี.หรือประมาณ 1 ช้อนโตะ
-ไวน์ 120 ซีซี.
-เบียร์ทั่วไป 360 ซีซี. หรือประมาณกระป๋องหนึ่ง ถ้าเป็นเบียร์ไลท์ กะจั่งค่อยเป็น 1 ขวด

สำหรับเหล่าโท บ่สามารถคำนวนได้ ขึ้นอยู่กับว่า หม่องได๋สิเฮ็ด เหล่าแก่ เหล่าอ่อน กะให่ประมาณเอาเองกะแล้วกัน

แต่ในทางกลับกัน สำหรับผู้ที่ดื่ม แอลกอฮอล์ ตั้งแต่ 3-4 drinks ต่อวันขึ้นไป กลับมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆมากขึ้น เช่น โรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต โดยเฉพาะโรคตับเด้อ ฉะนั้น เฮาสิดื่มน้อยดื่มหลาย กะให้ลองเปรียบเทียบผลดีกับผลเสียเอาเองกะแล้วกัน เด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 497 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 496 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2549 เวลา 10:07:38  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่9)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
บ่ให่กระบี่โลหิตฮู้หม่องไว้กะดีแล้ว แต่ว่าหม่องเอาเบียร์แช่เย็นไว้ บอกลาวแหน่เด้อ ลาวมั๊ก มักตั๊ว

 
 
สาธุการบทความนี้ : 24 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 24 ครั้ง
 
 
  26 ส.ค. 2549 เวลา 22:38:48  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   17) สาโท  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่14)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ข้าวที่เหมาะแก่การเอามาหมักเหล้าโท ที่นิยมใช้กัน กะคือ ข้าวเก่า
ข้าวเก่า ในที่นี่บ่ได้หมายถึงข้าวที่นึ่งไว้จนเก่าจนบูดเด้ แต่เป็นข้าวเหนียวเก่าค้างเล้าที่บ่ทันได้เอามากิน เป็นข้าวที่เกี่ยวแล้วมาบ่ต่ำกว่า 1 ปีหรือ 2 ปีขึ้นไป จนข้าวเก่าที่สีออกมา มันเป็นสีเหลืองพุ่นหละ

เหตุผลที่เฮานิยมเอาข้าวเก่ามาหมักสาโทกะอาจสิเพราะว่า ข้าเก่าเมื่อเฮาเอามานึ่งกินมันสิมีสีเหลือง แล้วกะแข็งนำ กินบ่แซบ เอานิยมกินข้าวใหม่ ที่ขาวๆอ่อนๆหอมๆหลายกว่า กะเลยเอาข้าวเก่ามาเฮ็ดเหล่าโท หรืออีกเหตุผลหนึ่งที่นิยมเอาข้าวเก่ามาเฮ็ดเหล้าโทกะอาจสิเป็นเพราะว่า ในข้าวเก่า วิตามินหรือเกลือแร่ต่างๆในข้าวอาจสิสลายโตไปเหมิดแล้วเหลือไว้แต่แป้ง เหมาะกับการหมักของเชื้อราที่มาย่อยสลาย(อันนี่เดาเอาเด้อ)

เหล้าโทที่หมักมาจากเข้าเก่า สิได้น้ำเหล้าที่เหลืองอุ่ยหุ่ย น่ากินดี
สำหรับข้าวอีกอย่างหนึ่งที่เอามาหมักเหล้าโทแล้วสิได้น้ำเหล้าที่มีสีสวยงามน่ากิน นั่นกะคือ ข้าวก่ำ เหล้าโทจากข้าวก่ำ แซบอีหลีเด้อ สิบอกให่ สมัยที่ข้าพเจ้ายังทำงานอยู่อำเภอนาเชือก ชาวบ้านเอาเหล้าโทข้าวก่ำมาให้ซีม ซีมเหมิดเหยือกหนึ่ง แซบคัก โฮ้...เมาจนแผ่นดินปิ้นพุ่นหละเว่ย

 
 
สาธุการบทความนี้ : 991 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 991 ครั้ง
 
 
  28 ส.ค. 2549 เวลา 08:52:13  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่0) แกงหน่อไม้      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ช่วงนี่กะเข่าหน้าฝนเต็มโตแล้ว ทางอีสานบ้านเฮากะฝนฟ้าตกดีแล้ว ผู้ลังคนกะได้ดำไฮ่ดำนาแล้ว แต่ว่าการดำนาซุมื่อนี่จั่งแม่นสำบาย ดำสองสามมื่อกะแล้วเหมิดท่ง เพราะว่ามีการจ้างแรงงานมาดำ ค่าจ้างดำนากะจั่งแม่นแพงโพด ลงทุนตั้งแต่จ้างไถ มาจ้างดำอีก กว่าสิแล้วนาแต่ละท่งกะต้องเหมิดเงินไปหลายหมื่น ติดหนี้กองทุนหมู่บ้านไปตามๆกัน ปีหน้าข้าพเจ้าว่าสิย้ายบ้านไปอยู่บ้านอื่นซะดอก เพราะว่าบ้านที่อยู่มันมีจำนวนหลังคาเฮือนหลายโพด กองทุนหมู่บ้านบ้านละล้านบาท พอมาแบ่งปันกันแล้วถืกครัวเรือนละบ่กี่พัน บ่คือบ้านที่อยู่ไกล้ๆ เหมิดหมู่บ้านมีทั้งเหมิดแค่สิบหลังคาเรือน กองทุนหมู่บ้านมาแบ่งกันได้เฮือนละแสน ปีหน้ากะเลยว่าสิพาลูกพาเมียย้ายไปอยู่บ้านนั่นซะดอก สิได้ติดหนี้มาจ้างคนดำนาได้หลายขึ้น

ว่าสิเว่าเรื่องแกงหน่อไม้ ขั่นเลยไปฮอดกองทุนหมู่บ้าน สำหรับแกงหน่อไม้ พอมาฮอดหน้าฝน โดยเฉพาะช่วงได๋ฝนตกฮึมๆ หน่อไม้เกิดดีเป็นตาหน่าย ในฤดูกาลนี้ กะถือว่าหน่อไม้กะสิเป็นอาหารยอดนิยม แม่บ้านกะสิมักเฮ็ด เพราะว่าหน่อไม้หาได้ทั่วไป บ่ได้ซื้อ บ่ได้หา เป็นการประหยัดรายจ่ายของครอบครัวได้อีกส่วนหนึ่ง ที่ว่าบ่ได้ซื้อในที่นี่บ่แม่นไปหาลักเอาเด้ บ่คือ สมัยที่ยังเรียนอยู่ ท่านมังกรเดียวดายชอบไปหาลักสับหน่อไม้ อยู่ไกล้ๆเรือนไทย ข้างหอ ลักหักเอามื่อละหอบ ถ้ายามย่างมากะทำท่ามาหาย่างเล่นเสยพุ่นแหล่ว นั่นมันสมัยก่อนเนาะ สมัยนี้อยู่ทางบ้านบ่อึดแหล่วหน่อไม้ ไปหาสับเอานำท่งนำท่า กินบ่หวาดบ่ไหว

เว่าเรื่องหน่อไม้แล้ว กะเป็นอาหารอีสานตามฤดูการที่ทุกคนคงได้กินเป็นประจำ หน่อไม้นั่นนอกจากสิเอามาเฮ็ดแกงหน่อไม้แล้ว กะยังสามารถนำมาเฮ็ดอย่างอื่นอีก เช่น เฮ็ดหน่อไม้เซิ่ม หน่อไม้เซิ่มกินกับป่นกบน้อย แซบเป็นตาหน่าย หรือสิเอาหน่อไม้มาเผาแล้วเขี่ยนต้มใส่ยานางมาซุบ เป็นซุบหน่อไม้ หรือสิเอามาเฮ็ดเป็นหน่อไม้ส้ม ไว้เฮ็ดแกงหน่อไม้ส้ม หรือเฮ็ดซุบหน่อไม้ส้ม อั่นนี่กะแซบบ่ค่อย หรือบางหม่องกะเอาหน่อไม้ไปเฮ็ดหน่อไม้ปี๊บ ถนอมอาหารไว้กินนอกฤดูกาลได้อีกนำ

เว่าพื่นประโยชน์ของหน่อไม้ และประโยชน์ของไม้ไผ่นั้น มีมากมายอีหลี ถ่ามีเวลาคงได้เอามาเล่าสู่กันฟังเนาะ ส่วนมื่อนี่เอาแกงหน่อไม้ไปยั่วน้ำลายคนอยู่ทางกรุงเทพ เบิ่งสาก่อน มื่อลุนสิได้มาเล่าเรื่องวิธีเฮ็ดทีหลัง

 
 
สาธุการบทความนี้ : 476 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 474 ครั้ง
 
 
  01 ก.ย. 2549 เวลา 11:00:50  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่1) แกงหน่อไม้(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ห่างหายไปโดน ตั้งแต่ช่วงฟุตบอลโลกแล้ว ยังบ่ทันได้มาเล่าเรื่องราวที่ถิ่มไว่ กะคือเรื่อง แกงหน่อไม้ พอดีช่วงที่ผ่านมาฝนกะถิ่มช่วงพอดี มันแล้งฝนบ่ค่อยตก หน่อไม้กะเลยบ่ได้เกิด มาฮอดช่วงนี่เข่าปลายเดือนกรกฎาคม ผ่านมื่อเข้าพรรษามาหลายมื่อเติบแล้ว หลายหมู่บ้านฝนแล้งหลายกะพากันเสี่ยงเซียงข่อง เซียงข่องกะบอกแม่นอยู่ตั๊วหละ ว่าฝนสิตกมื่อ เก้าค่ำสิบค่ำ พอฮอดมื่อฝนกะตกอีหลีตั๊วหละ แฮงพร้อม พอมีน้ำมีหนองให้คนได้ดำไฮ่ดำนา ชาวนากะพอมีกำลังใจ หลังจากที่หลายๆคนทนรอฝนบ่ไหว ผู้ลังคนกะใช้เครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำนำห้วยนำหนอง พอได้ดำนา ผู้ลังคนนาบ่อยู่ไกล้ห้วย บ่ฮู้สิเฮ็ดจั่งได๋ กะพากันหลกกล้าแห้ง ไถนาแห้ง ดำนาแบบผงๆ เลย ดำนาแบบสักหลุ่ง เนาะผู้เฒ่าเพิ่นว่า ดำนาผงไว้ ซามฝนตกมาไส่ นี่แหละชีวิตชาวนาอีสานเฮา ต้องรอฟ้ารอฝน แล้วแต่โชคชะตา แต่ว่าอาชีพชาวนาอีสานเฮานี่กะเป็นอาชีพที่ช่วยประเทศเฮาได้หลาย ในความคึดของข้าพเจ้านั้น ชาวนาอีสานเฮานี่หละ คือภาคการผลิตที่แท้จริง อุตสาหกรรมต่างๆนั้น เป็นเพียงภาคการผลิตที่เทียมเท่านั้น เพราะในอุตสาหกรรมหลายๆอย่างส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ ต้องอาศัยเทคโนโลยีและวัตถุดิบจากต่างชาติ เพียงแค่มาอาศัยประเทศไทยเป็นหม่องผลิต และใช้แรงงานชาวไทยเท่านั้น หลายๆคนดูถูกชาวไร่ชาวนา ว่าเป็นคนขี้เกียจ คอยแต่อาศัยรัฐบาลให้ความช่วยเหลือ บ่คือพวกนายทุนพวกมีเงินมีคำ ที่เสียภาษีให้ประเทศปีละหลายๆ หารู้ไม่ว่า ชาวนานี่หละคือผู้ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศที่แท้จริง สร้างรายได้ปีละมหาศาล เพราะว่ามูลค่าการส่งออกเข่าแต่ละปีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

นี่แหละข้าพเจ้าจึงภาคภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่เป็นชาวนา เป็นชาวนาโดยกำเนิด เติบโตมาได้ย่อนเข่าในนา มีโอกาสได้ไปหาร่ำหาเรียน กะเพราะว่าเข่าอยู่เทิงเล่า(แต่ก่อนปิดเทอมแต่ละเทือ หรือกลับบ้านแต่ละเทือ เป็นอันว่าต้องไฮ่เข่าใส่กระสอบไปขายโลด) ถึงแม้เดียวนี้สิเฮ็ดนาบ่ค่อยเป็นกะตาม เพราะ บรรพบุรุษบ่ออยากให้ลูกเป็นชาวนาคือพ่อ คือแม่ เพิ่นว่า เป็นชาวนามันลำบาก เพิ่นกะเลยบอกใส่หูตลอดเวลาว่า “พ่อกับแม่ บ่มีสมบัติอีหยังสิให่ลูกได้ในอนาคตดอก สิ่งที่พ่อกับแม่สิให้ลูกได้กะมีแต่การที่สิส่งลูกเรียนนี่หละ สิเฮ็ดนาส่งลูกเรียน ถ้าสูอยากได้สมบัติจากพ่อจากแม่ ให้สูตั้งใจเรียนเอา” นี่เป็นคำที่บิดาของข้าพเจ้าคอยบอกคอยเตือนลูกชายทั้งสี่ของท่าน เพราะท่านบ่อยากให้ลูกเป็นชาวนาคือท่าน ย่านลูกลำบาก ข้าพเจ้ากะเลยเฮ็ดนาบ่เป็น คาแต่ไปหาเรียน แต่ว่ามาจนทุกมือนี่กะยังต้องพึ่งเข่าจากเล่าของมารดา ที่เป็นผู้เฮ็ดไว่อยู่คือเก่า นั่นหละ เพราะว่าไปกินเข่าอยู่ไสกะบ่อ่อนบ่เหนียวดีคือเข่านาอี่แม่กะยังวะ เพิ่นกะเลยต้องเฮ็ดนาต่อไป เฒ่าแล้วอายุหลายแล้วกะยังไปเฮ็ดนา ปั้นคันแทอยู่ท่วนๆอยู่ ยามลูกไปหาได้แต่ยืนเบิ่งเพราะว่าบ่มีแฮงสิไปปั้นซ่อย บอกว่าให้เอานาให่คนอื่นมาเฮ็ดซะ กะบ่ยอม บอกว่าสิเฮ็ดเอาเอง ผู้อื่นเฮ็ดมันบ่คัก ย่านเขาดูแลนาให้บ่ดี บ่คือจะของเฮ็ดเองพะนะ นี่หละหนอผู้เฒ่าบ้านเฮา ฮักไฮ่ฮักนาคัก ข้าพเจ้ากะได้แต่คึดว่าในชีวิตนี้เฮาสิเฮ็ดคือท่านได้บ่บุ๊

เอ๋า ว่าสิเว่าเรื่องแกงหน่อไม้ บัดเลยเถิดไปฮอดการเฮ็ดไฮ่เฮ็ดนาพุ่น จักว่าจ่มไปอีหยังเนาะ ฮึว่าจะของเฒ่าแล้ว เลยจ่มดี บ่ทันเฒ่าน้า เหลียวเบิ่งจะของยามแยงแว่นยามได๋ กะคือจั่งหนุ่มๆอยู่คือเก่า(หล่อพร้อม ผุ่นแหล่ว) คันจั่งซั่น เอาไว้มื่อลุนกะแล้วกัน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 540 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 538 ครั้ง
 
 
  01 ก.ย. 2549 เวลา 11:03:37  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่3) แกงหน่อไม่(ต่อ)      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
เว่าถึงหน่อไม้ นี่กะคึดสงสัยอยู่ตลอดว่า หน่อไม้ เป็นหน่ออ่อนของต้นไผ่ เกิดนำกอไผ่ เป็นหยังจั่งบ่เอิ้นว่า หน่อไผ่ บัดหน่อขิง หน่อข่า ขั่นเอิ้นว่าหน่อขิง หน่อข่าอยู่ หรือ สิคือ ไข่ นั่นติ ไข่ของเป็ดกะเอิ้นว่าไข่เป็ด ไข่ของไก่กะเอิ้นว่าไข่ไก่ บัดว่าไข่ของคนแท้ๆ สังมาเอิ้นว่าไข่.....วะติ๊

เว่ากันม่วนๆเนาะ อย่าสะไปสงสัยปานนั่นเทาะ เพิ่นพาเอิ้นว่าหน่อไม้ กะเอิ้นว่าหน่อไม้นำเพิ่นโลดเถอะเนาะ

เว่าถึง กอไผ่ หรือไม้ไผ่ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญ และกะผูกพันกับชีวิตชาวอีสาน อย่างสิขาดบ่ได้ ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ไม้ไผ่มีประโยชน์ต่อชีวิตคนเฮาหลาย ตั้งแต่เกิดจนตายกะว่าได้ ตั้งแต่เกิดจั่งได๋วะติ๊ เกิดมา หมอตำแยกะใช้ติวไม้ไผ่ตัดสายแห่หรือสายสะดือ เพราะว่าแต่ก่อนบ่มีมีดหมอเนาะ เกิดมากะเลยต้องเจอติวไม่ไผ่เลย นอกจากเฮาสิใช้ไม้ไผ่มาเป็นอาหารแล้วกะคือเอาหน่อไม้นั่นหละมากิน เฮากะยังเอาไม้ไผ่มาเฮ็ดประโยชน์ต่างๆมากมาย เช่น เอาไม่ไผ่มาเฮ็ดเครื่องใช้ไม้สอย บ่ว่าสิเป็น เอามาสานกระบุง สานกะต่า สานข่อง สานไซ สานกระด้ง สานจ่อ สานก่องเข่า สานหวด สานมวย หรือสิเอามาสานฝาแอ้มเฮือนกะได้ เอามาเฮ็ดพื้นเล่า พื้นเฮือน มาเฮ็ดตั่ง เฮ็ดเตียง เป็นว่าของใช้ในครัวเรือน ในสมัยก่อนล้วนแต่เฮ็ดมาจากไม้ไผ่ทั้งนั้น นอกจากไม้ไผ่สิเอามาเฮ็ดของไช้แล้ว กะยังสามารถเอาไปล้อมฮั้ว ล้อมสวนกะได้ เอาไม้ไผ่แห้งมาเฮ็ดฟืนกะได้ เอามาดังไฟฝิงกะได้ เอากระบอกไม้ไผ่มาใส่น้ำกิน หรือ เอากระบอกไม้ไผ่อ่อน มาเฮ็ดบั้งเข่าหลาม กะแซบ หรือในด้านการละเล่นของชาวอีสาน กะใช้ไม้ไผ่หลายคือกัน เช่น ขาโถกเถก กะเฮ็ดมาจากไม้ไผ่ เฮ็ดบั้งโป๊ะ ไว่ถ่ายิงกันเล่นกะได้ หรือสิเอาไม้ไผ่มาเฮ็ดว่าว เฮ็ดสะนู หรือเครื่องคนตรีของชาวอีสานเฮา บ่ว่าสิเป็นโหวด เป็นแคน ล้วนแล้วแต่เฮ็ดมาจากไผ่ เอาเป็นว่าไม้ไผ่เฮ็ดได้ซุอย่างซุแนวกะแล้วกัน ไล่บ่อเหมิดดอก เอาเป็นว่ามื่อลุนจั่งมาไล่แข่งกันว่าไม้ไผ่เอาไปเฮ็ดหยังได้แหน่

สำหรับหน่อไม้ กะมีหลายประเภท เพราะว่า กอไผ่กะมีหลายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ กะสิมีประโยชน์แตกต่างกันไป ก่อนสิเล่าเรื่อง แกงหน่อไม้ ถ้าบ่ฮู้จักว่าหน่อไม้ หรือกอไผ่มีชนิดได๋บ้าง มันกะคงบ่เป็นที่เข้าใจ กะสิขอเว่าคร่าวๆเท่าทีข้าพเจ้าฮู้จักและกะเคยกิน เป็นไม้ไผ่ในท้องถิ่นจะของ แต่จริงๆแล้วกอไผ่มีหลายพันธุ์หลายแนวกว่านี่หลาย กะสิขอยกโตอย่าง ได้แก่

-กอไผ่บ้าน ที่เรียกกอไผ่บ้าน อาจสิเป็นเพราะมักสิปลูกเฉพาะอยู่นำบ้านคน นำไฮ่นำนาบ่มี หรือสิเอิ้นเพราะว่าไผ่ชนิดนี้ มีลำขนาดใหญ่ กอกะใหญ่ ในสมัยก่อนแถวสารคามสิเปรียบเทียบของที่ใหญ่ๆว่าใหญ่ส่ำบ้าน กะเลยเอิ้นไผ่ชนิดนี้ว่ากอไผ่บ้าน(อั่นนี่เป็นสมมติฐานของข้าพเจ้าเอง) ประโยชน์ของไผ่ชนิดนี้ สิหลายกว่าไผ่อื่นๆ เพราะว่าเครื่องจักสานต่างๆล้วนแล้วที่สิเฮ็ดมาจากไม้ไผ่บ้านแทบทั้งสิ้น อาจสิใช้ไม้ไผ่อื่นๆร่วมนำบ้าง ส่วนหน่อไม้ไผ่บ้าน กะสิหน่อบักใหญ่ แต่รสชาติสิบ่ค่อยแซบปานได๋ บางหมู่บ้านสิบ่ค่อยกิน สิจ่งไว้เป็นลำไว้ใช้ประโยชน์ แต่ถ้ามีหลายกะเอามาเฮ็ดหน่อไม้ส้มกะดีคือกัน ส่วนลำอ่อนของกอไผ่บ้าน เฮามักสิตัดมาเฮ็ดบั้งเข่าหลาม ยามออกพรรษามีเข่าดอ เอาเข่าใหม่มาเฮ็ดบั้งเข่าหลาม กะดี

-กอไผ่บง ไผ่บง กะเป็นไผ่ที่มีการใช้ประโยชน์หลายอีกชนิดหนึ่ง เพราะเป็นไม้ไผ่ที่มีลำแข็งแรง แล้วกะปล้องตัน เอามาเฮ็ดเสาฮั้ว หรือล้อมฮั้วกะดี เอามาเฮ็ดตั้งเฮ็ดเตียง ได้ กอไผ่บงส่วนใหญ่เฮาสิปลูกตามหัวไร่ปลายนา เลาะฝั่งห่วย ป้องกันตลิ่งพังได้ดี ไผ่บง เป็นไผ่ที่ปลูกง่าย หน่อกะหลายนำ หน้าฝน ออกหน่อเต็มไปเหมิด ส่วนในเรื่องรสชาติของหน่อไม้ไผ่บง กะอยู่ในระดับปานกลาง สามารถเอามาเฮ็ดแนวกินได้ซุแนว บ่ว่าสิเป็น เฮ็ดหน่อไม้เซิ่ม เฮ็ดแกงหน่อไม้ เฮ็ดซุบหน่อไม้  เฮ็ดหน่อไม้ส้ม ด้วยคุณสมบัติที่เป็นหน่อไม้ที่หาง่าย เกิดหลาย หน่อไม้ไผ่บงกะเลยเป็นหน่อไม้ที่นิยมชนิดหนึ่ง

-กอไผ่ป่า ไผ่ป่าเป็นกอไผ่ที่ให้ประโยชน์กับคนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับไผ่ชนิดอื่นๆ เนื่องจากว่ามันต้นน้อย มีหนามหลาย ที่เอามาเฮ็ดประโยชน์ได้ กะคือตัดกอไผ่ป่าเทิงกอ เอาไปเฮ็ดเฝือยล่อปลาเข่ามาอยู่ ตามห้วย หนอง เมื่อปลาเข้ามาอยู่หลายแล้ว กะเอาดางไปกางล้อมไว้ หลังจากนั้นกะยกเอากอไผ่ออก แล้วกะเอาแหตึกเอาปลา วิธีการหาปลาแบบนี่ เรียกว่าการ “ยกเยาะ” อีกอย่างหนึ่งกะคือ เอาไม้ไผ่ป่ามามัดใส่กัน เฮ็ด “ทวนหนาม” ทวนหนามไว้กวาดใบเข่า ยามฟาดเข่าในลาน สมัยนี่อาจสิบ่มี เพราะว่าคนบ่เฮ็ดลานฟาดเข่าแล้ว ส่วน หน่อไม้ไผ่ป่า นิยมเอามาเฮ็ดเป็น หน่อไม้เซิ่ม บ่นิยมเอาไปแกง

-กอไผ่ด้ามขวาน ไผ่ด้ามขวานเป็นไม้ไผ่ที่ปล้องตัน เนื้อแข็ง จนสามารถนำมาเฮ็ดด้ามขวานได้ เฮ็ดด้ามมีด ด้ามเสียม ด้ามบักจก กะได้ หน่อไม้ของไผ่ด้ามขวาน สิเป็นหน่อไม้ที่มีรสชาติแซบ บ่ขม เอามาแกง หรือเอามาเซิ่มกะแซบคือกัน แซบกว่าหน่อไม้ไผ่บง แต่ว่าหน่อไม้ไผ่ด้ามขวานมันบ่ค่อยเกิดหลาย หากินค่อนข้างยาก ปลูกกะยากกว่าไผ่ชนิดอื่น

-กอไผ่เซียงไพ ไผ่ชนิดนี้สิมีลำต้นตรงยาว กิ่งก้านสาขาบ่หลาย กอไผ่เลยบ่ค่อยฮก ลำไผ่กะมีความสวยงาม หน่อไม้ไผ่เซียงไพ กะเป็นหน่อไม้ที่มีรสชาติดี บ่ขม มีความอ่อน บ่หยาบ เอามาแกงกินแซบดี เป็นที่นิยม ขายได้ราคาดี หน่อไม้ที่อยู่ข้างหอ เลาะเรือนไทย ข้าพเจ้าว่ามีส่วนคล้ายหน่อไม้เซียงไพอยู่ สายพันธุ์ไกล้เคียงกัน ไปลักหักมาแกงแซบคัก

-หน่อไม้ชนิดอื่นๆ ไล่บ่เหมิด บ่ว่าสิเป็นหน่อไม้ไร่ ที่อยู่แถวภูแถวเขา ทางกาฬสินธุ์ มุกดาหาร บ่ว่าสิเป็นหน่อไม้รวก หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่เหลือง หน่อไม้ไผ่เขียว ไปจนฮอดหน่อเพ็ก กะสามารถนำมาแกงกินได้เหมิด

ที่เล่ามากะเป็นการยกโตอย่างหน่อไม้ที่เฮาสามารถหามาแกงกินได้ และอีกอย่างหนึ่งที่สิขาดบ่ได้สำหรับการเฮ็ดแกงหน่อไม้ นั่นกะคือ ยานาง หรือ เคียยานาง ถ้าบ่มีเคียยานางแล้วการเฮ็ดแกงหน่อไม้ คงสิบ่แซบเป็นแน่แท้

มื่อนี่กะยังบ่สามารถได้แกงอีกหละ หน่อไม้กะดาย สำหรับหน่อไม้ที่ไปลักหักมาไว้ กับยานางที่ไปซื้อมากะเอาไว้ก่อนเด้อ เที่ยวหน้ารับรองว่าสิมาแกงหน่อไม้สู่กินแน่นอน

 
 
สาธุการบทความนี้ : 476 ครั้ง
จากสมาชิก : 2 ครั้ง
จากขาจร : 474 ครั้ง
 
 
  01 ก.ย. 2549 เวลา 11:13:46  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่4) แกงหน่อไม้      [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
ต้องขอโทษขออภัยเป็นอย่างสูง เด้อพี่น้อง ท่านที่ติดตามอ่าน ข้าพเจ้าเริมหัวข้อแกงหน่อไม้ มาตั้งแต่โดนคักแล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนฟุตบอลโลก ตั้งแต่เข้าหน้าฝนใหม่ๆ จนมาฮอดเดียวนี้ ฝนกะไกล้สิหวิด แล้ว ลมหนาวกะพัดวอยๆมาแล้ว ตื่นขึ้นมายามมื่อเซ่า หมอกกะลงหนา บรรยากาศดีคัก อีกบ่จักมื่อกะสิฮอดมื่อ ออกพรรษาลาพระเจ้า แล้ว ยามมื่อแลงกะเริ่มได้ยิน เสียงเด็กน้อยจูดกะโพกดังต้ามๆ เหลียวไปเทิงฟ้ากะเริ่มเห็นโคมไฟ ที่คนเอามาซ้อมปล่อยเบิ่ง เป็นหยังจั่งค่อยซ้อมปล่อยวะติ๊ เพราะว่าฮอดมื่อออกพรรษา สิมีการแข่งโคม ประกวดโคมไฟ โดยเฉพาะโคมไฟลอดบ่วง ถ่าผู้ได๋ฝีมือบ่ดี กะสิพลาดเดิมพันไป  แต่ที่ข้าพเจ้ายังบ่ทันได้ลงมือแกงหน่อไม้จักเทือ กะเพราะว่างานการช่วงนี่มันยุ่งยากหลาย ต้องสะต้องสาง ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ตามประสาข้าราชการจนๆคนหนึ่ง บ่แม่นคาตะไปหาจูดโคมไฟนำเด็กน้อยดอกเด้อ แต่กะสิหาเวลามาเล่าเรื่องราวต่างๆไว่คือเก่านั่นหละ ฮ่าลังเทือโดนไป ถ้าบ่เขียนไว่ มันสิหลงมันสิลืม อย่างหน่อยๆกะเป็นการระลึกความเก่าความหลังที่จะของมีประสบการณ์ พอมาอ่านฮ่าลุน กะสิได้หัวเราะจะของอยู่ หรือบางเทือ สิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าไว้ อาจสิเป็นประโยชน์ต่อสาธุชนคนรุ่นหลังอยู่บ้าง กะขอขอบคุณหลายๆอีกจักเทือสำหรับท่านที่ติดตามอ่าน ถ้ามีอีหยังขาดตกบพร่อง หรือบ่ถืกบ่ควร กะขออภัยไว้ก่อนเด้อ หรือท่านได๋มีคำติชม หรือสิซ่อยกันแก้ไข วิพากษ์วิจารณ์ ในสิ่งที่ดี สิ่งที่งาม ข้าพเจ้าสิดีใจหลายครับ และกะฝากถึงท่านที่อ่านบทความของข้าพเจ้า โปรดอ่านเป็นภาษาลาวอิสานเฮาเด้อ มันจั่งค่อยสิฮู้เรื่อง เพราะว่า ทุกบทความของข้าพเจ้า เล่าด้วยภาษาลาวอีสานบ้านเฮา เด้อสิบอกให่
มื่อนี่กะยังมีเวลาบ่หลาย เอาไว่พ่อกันใหม่ครั้งต่อไปเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 797 ครั้ง
จากสมาชิก : 3 ครั้ง
จากขาจร : 794 ครั้ง
 
 
  30 ก.ย. 2549 เวลา 14:51:30  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่18)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
คุณสาวส่า เมืองยโส:
นำอ่านแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ปี 49
จนปานนี้สิเบิดปี 52 แล้ว
อ้ายกระบี่โลหิต ยังแกงหน่อไม้บ่ฮั่นแล้วอยู่
กรรม....ของคนถ่ากิน เฮ้อ


เหอๆ ต้องขอโทษขออภัยอีกเทื่อหนึ่ง เพราะว่าเขียนใว้ตั้งแต่โดนคักแล้ว ลืมแกงต่อ สิพยายามหาเวลามาเฮ็ดสู่กินดอก ผู็ที่หย่องยานางใว้ กะแซ่ตู้เย็นใว้ก่อนเด้อ ถ้าย่านมันบูดกะเอามากินเป็นน้ำสมุนไพรก่อน ฮอดยามสิแกงจั่งค่อยหย่องใหม่กะได้ดอก

ถ้าน้องสาวส่า บ่มาเตือนกะสิลืมไปเลยตั๊วหนิ ย่อนว่าช่วงหลังมานี่ เวียกการเวียกงานกะหลายขึ้น รับเงินเดือนเขาหลายขึ้นกะเลยได้เฮ็ดเวียกซดใช้ตื่ม แล้วกะยังอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีกกะเลยไปเรียนต่อนำ กะเลยสิบ่ค่อยเวลามมาฝอยเรื่องแนวอยู่แนวกินปายได๋ แต่กะสิพยายาม ถ้าได้ฮู้ว่ามีคนยังอยากอ่านอยู่ บ่บุ๊หนิ

เว้าเรื่องแนวอยู่แนวกิน ปีนี้กะได้กินหลายอย่างหลายแนว สิหาเวลามาฝอยสู่ฟังเด้อ

 
 
สาธุการบทความนี้ : 406 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 405 ครั้ง
 
 
  06 พ.ย. 2552 เวลา 13:23:19  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่35)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
เหอๆ รอดโตไป มีสาวงามผู้ใจดีมาเฮ็ดแกงหน่อไม้ให้กินแล้ว บ่ต้องยากฮอดมือข้าพเจ้า

แต่คึดว่าแกงหน่อไม้ของสาวส่าคือสิเป็นตาแซบเนาะ  อยากไปซีมเบิ่งอยู่ดอก

แต่ว่าซดแกงหน่อไม้ฮ้อนๆ กับตำบักหุ่งเผ็ดๆ กินแล้วคือสิเป็นตาแสบบักหูกดีแท้น้อ

สิพอกินได้ตั้งแต่ทอดปลาทูนั่นหละ...

 
 
สาธุการบทความนี้ : 346 ครั้ง
จากสมาชิก : 0 ครั้ง
จากขาจร : 346 ครั้ง
 
 
  10 พ.ย. 2552 เวลา 08:20:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   18) แกงหน่อไม้  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่95)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
คุณป้าหน่อย:
                                                    หมากย่านาง

ฟ้าวเอามาให้เบิ่งเกิ่นดอก
ย้านเขาทายถืกจั๊กสิไปนำหา        
อ้ายกระบี่โลหิตอยู่ไสบุ 555    


โฮ ยังมีคนถามหาอยู่เนาะ ขอบคุณหลายๆที่ยังคึดฮอด
ช่วงนี่หนีออกจากบ้านมา ตกปีนี้มาเป็นคนนิสัยบ่ค่อยดี เลยถืกเขาส่งมาอบรม อยู่ทางขอนแจ่น เดือนนึงเอาโลด จักแม่นแนวได๋เนาะ ปีหน้าสิเฮ็ดโตดีๆดอก จั่งสิบ่ได้ไปอบรมดู๋สั่นดอก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 234 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 233 ครั้ง
 
 
  08 ส.ค. 2553 เวลา 20:51:59  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  โพสต์โดย   19) เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ...  
  กระบี่โลหิต    คห.ที่5)       [ไปที่ความเห็นนี้ ในกระทู้นี้]  
  ผู้เยี่ยมยุทธ์

ภูมิลำเนา : มหาสารคาม
เข้าร่วม : 06 มี.ค. 2550
รวมโพสต์ : 303
ให้สาธุการ : 5
รับสาธุการ : 584680
รวม: 584685 สาธุการ

 
จ้ำปลาแดกบอง กินกับลวกผักสาบ กับส้มผักเสี่ยน หักบักพริกหน่วยใส่พร้อม ซี้ด..เผ็ด แต่แซบ ถ้ามีจี่ปลาหลดแห้งกินนำอีกกะสุดยอดแล้ว อั่นนี่กินเป็นกับเข่า

หรือ

ถ้ากินเล่นๆ คุ่ยปลาแดกบองกับหน่วยบักขามเหิ่ม คึดมาน้ำยายไหย แต่ว่าการกินบักขามดิบหรือบักขามเหิ่ม ต้องกินเหมิดเทิงเปลือกเทิงไนมัน มันจั่งสิบ่ ไข่หลี สั่นดอก

 
 
สาธุการบทความนี้ : 405 ครั้ง
จากสมาชิก : 1 ครั้ง
จากขาจร : 404 ครั้ง
 
 
  11 ก.ย. 2549 เวลา 08:19:15  
   ขึ้นบน ลงล่าง  
 
         

  หน้า: 1 2

   

Creative Commons License
เจ้าวา แจ่วบอง กินกับผักหยังจั่งสิแซบ... --- เว็บบอร์ดอีสานจุฬาฯ