มิตรไมตรีเลิศล้ำ วัฒนธรรมอลังการ สืบสานตำนานทรงคุณค่า อีสานจุฬาฯร่วมใจอนุรักษ์

กระดานสนทนา ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โสเหล่ เฮฮา กับสภาไนบักขามคั่ว

ตั้งกระทู้ใหม่
626) ผ้าทอไทครั่ง ชาวไทลาวในภาคกลาง
 


กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง (LAO KHRANG) ตระกูลภาษาไท-กะได (Tai-Kadai Language Family)


นักภาษาศาสตร์จัดภาษาลาวครั่งอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ จากการสำรวจข้อมูลของสถาบันวิจัยภาษาและ วัฒนธรรมฯมหาวิทยาลัยมหิดลในโครงการแผนที่ภาษาพบว่ามีผู้ที่ใช้ภาษาลาวครั่งในภาคเหนือคิดเป็น0.5เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่ใช้ภาษา ลาวครั่ง ในภาคกลาง คิดเป็น 0.3 เปอร์เซ็นต์

ในปี พ.ศ. 2371 รัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ปราบศึกเจ้าอนุวงศ์ ได้มี กลุ่มคนลาวที่ถูกกวาดต้อนให้มาอยู่ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ชาวลาวครั่งก็เป็นกลุ่มคนลาวที่ถูกกวาดต้อนมาในครั้งนั้น

ที่มาของชื่อเรียก ของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ ชนัญ (2532: 12) กล่าวถึงที่มาของชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า ในบรรดากลุ่มเชลยที่ถูกกวาดต้อนมานั้น ได้มีกลุ่มคนลาวที่มาจากแถบ “ภูคัง” ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมปะปนมาด้วย เนื่องจากได้อพยพมาจากถิ่นดังกล่าว จึงทำให้คนทั่วไป เรียก คนลาวกลุ่มนี้ว่า “ลาวภูคัง” ต่อมามีการเรียกชื่อผิดเพี้ยนกันไปจากเดิมมากมายหลายชื่อ เช่น “ลาวขี้ครั่ง” “ลาวครั่ง”
บางครั่งเรียก “ลาวเต่าเหลือง”เพราะนิสัยของลาวพวกนี้ชอบอยู่เป็นอิสระตามป่าเขาเหมือนกับเต่าภูเขาชนิดหนึ่งที่มีกระดองสีเหลือง ซึ่งมีความอดทนต่อสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ในบางครั้งมีการเรียกชื่อ ลาวครั่ง ตามชื่อตำบลหรือท้องถิ่น ที่อยู่ เช่น พวกที่อยู่ใน อ. ด่านซ้าย จ. เลย ถูกเรียกว่า “ลาวด่าน”

กลุ่มที่อยู่ใน อ. บรรพตพิสัย จ. นครสวรรค์ เรียกว่า “ลาวโนนปอแดง” และ ”ลาวหนองเหมือด”

หรือบางคนก็นำคำลงท้ายประโยคที่ชาวลาวครั่งมักจะใช้กันคือคำว่า“ก๊ะล่ะ”มาเรียกเป็นชื่อกลุ่มโดยจะเรียกว่า“ลาวก๊ะล่ะ” บ้างก็เรียกกัน เล่นๆว่า“ลาวล่อก๊อ” สิริวัฒน์ (2529:47) อ้างคำบอกเล่าของนักวิชาการท้องถิ่นที่ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชาวลาวครั่งไว้ว่า ชาวลาว ครั่งนี้เดิมเคยอยู่ที่ภูฆัง ซึ่งอาจจะมีรูปร่างคล้ายระฆังก็เป็นได้อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของหลวงพระบาง จากนั้นชาวลาวกลุ่มนี้ ีจึงได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย

ชาวลาวครั่งมีการเคลื่อนย้ายบ้านเรือนกันอยู่หลายครั้งจนกระทั่งเข้าสู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการ ปรับเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล ได้มีชาวลาวครั่งตั้งหลักแหล่งถาวรในเขตอำเภอจรเข้สามพัน มีชุมชนชาวลาวครั่งอยู่ 3 ชุมชนใหญ่ๆ คือ บ้านสระพังลาน บ้านใหม่คลองตัน และบ้านหนองตาสาม มีชาวลาวครั่ง กลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของนาย กองแดงได้พาญาติพี่น้องมาจากทุ่งสัมพะบด อ.หันคา

และลาวครั่งในท้องที่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท มาตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองโคก อ.สระกระโจม จ. สุพรรณบุรี (คนึงนุช, 2537 : 38)

นอกจากนี้กลุ่มชาวลาวครั่งยังได้อพยพเคลื่อนย้ายครอบครัวไปยังพื้นที่ใกล้เคียง เช่น กลุ่มลาวจากบ้านเก่าคำเวียง (ขามเรียง, คำเดือน) ในเขต อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี และลาวครั่งในอ.สองพี่น้องก็อพยพ โยกย้ายไปบุกเบิกที่ทำกินใหม่

ในเขตพื้นที่บ้านทุ่งตาเปรี้ยว อ.พรหมพิราม และ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก

บ้านเกาะน้อยตะวันออก อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย

บ้านโค้งวิไล อ. คลองขลุง จ. กำแพงเพชร

อ. บรรณพตพิสัย จ. นครสวรรค์ อ.วัดสิงห์ จ. ชัยนาท

อ. บ้านไร่ อ. ทัพทัน จ.อุทัยธานี บ้านลำไม้เสา

บ้านโกแย้ บ้านหนองปลาไหล บ้านโกสูง บ้านทุ่งมะกรูดี บ้านทุ่งไม้หลง บ้านลำเหย บ้านเสืออีด่าง บ้านรวงมุก อ. กำแพงแสน

และบ้านโพรงมะเดื่อ อ. เมือง จ. นครปฐม    

อ้างอิงจาก  http://www3.sac.or.th/ethnic/Content/Information/laokhrang.html
 คห.ที่1) ผ้าทอไทครั่ง


ผ้าทอลาวครั่งชาวลาวครั่งผูกพันกับการทอมาช้านาน มีความหลากหลายในเรื่องลวดลายและเทคนิควิธีการทอ


เพราะมีทั้งฝ้ายและไหมที่เป็นองค์ประกอบของการทอ เทคนิคที่ใช้มี ทั้งการจกและมัดหมี่ ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวลาวครั่งก็คือผ้าซิ่นมัดหมี่ต่อตีนจก ผ้าซิ่นชนิดนี้ตัวตีนซิ่นจกทอด้วยเส้นไหมซึ่งผ่านการมัด ให้เป็นลวดลายแล้วทอสลับกับ การขิดซึ่งเป็นลายเส้นตั้ง จากนั้นต่อด้วยตีนจกซึ่งทอด้วยฝ้าย ส่วนใหญ่นิยมทำพื้นเป็นสีแดง และทำลวดลายทรงเรขาคณิตซึ่งจะไม่มีรูปแบบที่ตายตัว


ผ้าซิ่นตีนจกแดงนี้บางครั้งก็ มีการทอตัวซิ่นเป็นผ้าไหมมัดหมี่ล้วนไม่สลับกับขิดก็ได้ ส่วนซิ่นอีกประเภทหนึ่งคือ ซิ่นดอกดาว ซิ่นดอกดาวนี้นิยมทอสีพื้นด้วยสีเข้มแล้วจกลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้วยโทนสีที่อ่อนเข้ม สองถึงสามสีเป็นการลอกเลียนแบบท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิยระยับอยู่เต็มท้องฟ้า นอกจากผ้าซิ่นแล้ว ชาวลาวครั่งยังนิยมทอผ้าห่ม ซึ่งมักทอเป็น ผืนใหญ่มีลาย ท้องฟ้าและลายเชิงชาย มักจะใช้สีที่ตัดกันมีสีอื่นแซมประปรายผ้าม่านทอเป็นลวดลายรูปสัตว์ต่างๆแต่เดิมนั้นเป็นของที่ชาวลาวครั่งทอมาถวายวัด ปัจจุบันชาวลาวครั่งทอผ้าม่าน เพื่อขายซึ่งจะทอเมื่อมีผู้สั่งเท่านั้น

การทอผ้าในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาด โดยอาจจะมีการทอเป็นที่รองจาน ผ้าคลุมเตียงหรือผ้าตัดเสื้อแล้วแต่จะมีคนมาว่าจ้างให้ทำ



ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ลวดลายเรขาคณิตและรูปสัตว์ ลวดลายที่ใช้ในการทอของชาวลาวครั่งบ้านทับผึ้งน้อย ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ได้แก่ ลายสร้อย ลายนกน้อย ลายโคกคร้อ ลายอ้อแอ้ โดยจะใช้ทอ ผ้าซิ่น ผ้าห่อ หมอน สามเหลี่ยม หมอนหน้าอิฐ ผ้าซิ่นดอกดาว ตีนซิ่นเป็นตีนจก ตัวซิ่นจกลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ

ส่วนที่บ้านทัพคล้าย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จะมีการทอผ้าเหมือนที่บ้านทับผึ้งน้อยแต่มีการทอผ้าม่านเพิ่มเข้ามา

อ้างอิงข้อมูลจาก  http://www3.sac.or.th/ethnic/Content/Information/laokhrang.html
 คห.ที่2) ผ้าทอไทครั่ง


ผ้าซิ่นมัทั้งมัดหมี่และจกในตัว
 คห.ที่3) ผ้าทอไทครั่ง


ผ้าซิ่นไทครั่ง
 คห.ที่4) ผ้าทอไทครั่ง


ผ้าซิ่นผืนนี้ น่าซื้อมาใช้ในวงโปงลางนะครับ ดีกว่าใช้ผ้าซิ่นจากประเทศลาว สนับสนุนสินค้าไทยดีกว่า
 คห.ที่5) ผ้าทอไทครั่ง


มัดหมี่ต่อตีนจก
 คห.ที่6) ผ้าทอไทครั่ง


ไหมมัดหมี่สลับขิดต่อตีนจก
 คห.ที่7) ผ้าทอไทครั่ง


ไหมมัดหมี่ลวด ต่อตีนจกแดง
 คห.ที่8) ผ้าทอไทครั่ง


มัดหมี่ต่อตีนจก
 คห.ที่9) ผ้าทอไทครั่ง


ผ้าลายจกนี้มีลักษณะโครงสร้างลายคล้ายผ้าแพรวา
ตอบกระทู้


Creative Commons License