มิตรไมตรีเลิศล้ำ วัฒนธรรมอลังการ สืบสานตำนานทรงคุณค่า อีสานจุฬาฯร่วมใจอนุรักษ์

กระดานสนทนา ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โสเหล่ เฮฮา กับสภาไนบักขามคั่ว

ตั้งกระทู้ใหม่
50) วิกฤตโลก วิกฤตสุขภาพ
 คห.ที่10)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย

ลังงานในโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกชนิดหนึ่ง นอกจากพลังลมปราณแล้ว ก็คือ เส้นแรงแม่เหล็กโลก ซึ่งได้กล่าวถึงไปบ้างในช่วงแรกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจกทำให้ทิศทางการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กเปลี่ยนไป อีกทั้งความเป็นระเบียบของการไหลเวียนลดลง จนเกิดภัยธรรมชาติต่างๆตามมา สำหรับเส้นแรงแม่เหล็กนี้มีเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับธรรมชาติของเส้นแรงแม่เหล็กอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งจะขอกล่าวถึงเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องการผันผวนของเส้นแรงแม่เหล็กกับการเสื่อมถอยของเซลล์ในร่างกาย และเพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องการแก้ปัญหาการเสื่อมถอยของเซลล์ในร่างกายเร็วกว่าเวลาอันควร ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเส้นแรงแม่เหล็ก ก็เช่น การเกิดขี้นของเส้นแรงแม่เหล็ก, คุณสมบัติและหน้าที่ต่างๆ, ความสัมพันธ์กับชีวิตเรา ตลอดจนผลของการเปลี่ยนแปลงของเส้นแรงแม่เหล็กต่อสุขภาพ เป็นต้น

เส้นแรงแม่เหล็ก มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนรูป และดับไป เป็นวัฏจักร กล่าวคือ เมื่อดาราจักรใดหมดพลังงานความร้อนแสงสว่างในตัวเองลงแล้ว สภาพของพลังงานที่ดับลงไปจะมีสภาพเป็นแรงดึงดูดที่อัดตัวกันแน่นที่เรียกว่า หลุมดำ (Black hole) แรงที่อัดตัวกันแน่นนี้เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง แรงอัดจะกลายเป็นแรงระเบิดขยายตัวออกมา ผลที่ได้จากการระเบิดจะได้พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้น พุ่งฟุ้งกระจายออกมา พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้นนี้ก็คือ เส้นแรงแม่เหล็กนั่นเอง เมื่อกระจายตัวออกมาแล้ว พวกที่พุ่งออกมาก่อนก็จะลอยเคลื่อนอยู่ในอวกาศ ส่วนพวกที่พุ่งออกมาทีหลังที่อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการระเบิด เมื่อเคลื่อนมาได้ระยะหนึ่ง จะถูกแรงจากศูนย์กลางที่เกิดการระเบิดดึงกลับม้วนตัวเข้าไป เส้นแรงแม่เหล็กพวกหลังนี้ขณะม้วนตัวเข้าสู่ศูนย์กลาง จะเกิดการชนกันเอง หรือชนกับอนุภาคมวลสารในอวกาศจนทำให้เกิดพลังงานขึ้น เป็นแสงสว่าง เป็นความร้อน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่างๆ และยังได้อนุภาคพื้นฐานต่างๆ ออกมาอีกมากมาย เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน นิวตรอน เป็นต้น รวมทั้งได้อนุภาคหนัก เบา ได้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน อนุภาคหนักเบาและอนุภาคที่มีประจุตรงข้ามกันเหล่านี้จะเข้ามาจับตัวกัน อนุภาคเบาจะวิ่งวนเป็นบริวารของอนุภาคหนัก กลายเป็นอะตอมของธาตุต่างๆ เกิดมวลสาร จนเกิดเป็นระบบดาวขึ้นมามากมาย ระบบดาวเหล่านี้ก็จะวิ่งโคจรรอบจุดศูนย์กลางของแรงดึงดูด เกิดเป็นดาราจักรขึ้นมาในที่สุด

ส่วนเส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งออกมากลุ่มแรกๆที่เคลื่อนอยู่ในอวกาศจะถูกดาราจักรกลุ่มอื่นดึงไปใช้งานเพื่อเป็นเส้นแรงที่ใช้เชื่อมต่อกับดาราจักรต่างๆต่อไป แล้วเมื่อใดดาราจักรใช้พลังงานหมด ก็จะยุบตัวลงไปกลายสภาพเป็นแรงดึงดูด ดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น พลังงานหรือสสารก็ตาม กลายเป็นหลุมดำขึ้นมาอีก เมื่อหลุมดำเข้ามารวมตัวกันแล้วอัดแน่นจนถึงที่สุด ก็จะระเบิดปลดปล่อยพลังงานที่อัดเป็นเส้นกระจายตัวออกมาอีก พลังงานที่เป็นเส้นก็จะรวมกันเป็นอนุภาคพื้นฐานเกิดเป็นธาตุต่างๆจนกลายเป็นระบบดาวฤกษ์ และดาราจักรขึ้นอีก เส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นมีคุณสมบัติและหน้าที่ที่น่ารู้ ดังนี้


1) แรงโน้มถ่วง
การไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างจุดสองจุด หรือ ดาวสองดวง จะทำให้เกิดแรงระหว่างจุดสองจุดขึ้น ทั้งที่เป็นแรงเข้าสู่ศูนย์กลาง และแรงหนีออกจากศูนย์กลาง ถ้าแรงเข้าสู่ศูนย์กลางกับแรงหนีศูนย์กลางทำมุมต่อกัน90องศา (ภาพ6.1) ก็จะทำให้จุดสองจุดหรือดาวสองดวงมีแรงเชื่อมต่อที่หมุนเวียนโคจรกัน เป็นวงโคจรเกิดขึ้น


ภาพ 6.1 แรงเข้ากับแรงหนีศูนย์กลางทำมุมต่อกัน90 องศา


จุดใดที่มีมวลมากกว่า จุดนั้นก็จะกลายเป็นจุดศูนย์กลาง ส่วนจุดที่มีมวลน้อยกว่าก็จะโคจรรอบจุดศูนย์กลาง กลายเป็นบริวาร ด้วยระบบเช่นนี้ ดาราจักรที่มีขนาดใหญ่ก็จะเป็นจุดศูนย์กลางให้ดาราจักรที่มีขนาดเล็กหมุนเวียนโคจรรอบดาราจักรขนาดใหญ่ ส่วนภายในระบบของแต่ละดาราจักร จุดศูนย์กลางของดาราจักรก็จะเป็นจุดศูนย์กลางให้ระบบดาวแต่ละระบบหมุนโคจรรอบจุดศูนย์กลางของดาราจักรที่ระบบดาวนั้นอาศัยอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น

ระบบสุริยะจักรวาลที่โลกเราอาศัยอยู่ อยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ระบบสุริยะจักรวาลก็หมุนโคจรรอบจุดศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือก ในขณะเดียวกันโลกของเราก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบดาวของเรา และดวงจันทร์ก็หมุนรอบโลกอีกทีหนึ่ง ก็เกิดเป็นการหมุนของวงโคจรที่ทับซ้อนร่วมกันอยู่ (ภาพ6.2 )


ภาพ 6.2 แสดงดาราจักรทางช้างเผือกและตำแหน่งสุริยะจักรวาลของเราที่โคจรรอบศูนย์กลางดาราจักร


ในขณะที่เส้นแรงแม่เหล็กไหลเวียนระหว่างจุดสองจุดหรือดาวสองดวง นอกจากเกิดแรงเข้าสู่ศูนย์กลาง และแรงหนีศูนย์กลางที่ทำมุมตั้งฉากกันจนเกิดวงโคจรของดาวขึ้นแล้วนั้น ก็ยังเกิดแรงเชื่อมต่อที่แรงเข้าสู่ศูนย์กลาง กับ แรงหนีศูนย์กลาง ทำมุมตรงกันข้ามกัน ด้วย (ภาพ6.3)


ภาพ 6.3 แรงเข้ากับแรงหนีศูนย์กลางทำมุมตรงกันข้าม


ถ้าหากเกิดกับศูนย์กลางของดาราจักรกับดาวบริวาร หรือดาวบริวารกับศูนย์กลางของระบบดาว จะทำให้ดาวบริวารกับศูนย์กลางเกิดแรงเชื่อมต่อกันโดยไม่หลุดออกไปจากวงโคจร แต่ถ้าเกิดกับดาวที่ไม่ได้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นบริวารของกันแล้ว ก็จะเป็นแรงที่เชื่อมต่อดวงดาวต่างๆที่ไม่ได้เป็นบริวารต่อกันไว้ คือเป็นเพียงแรงที่เชื่อมต่ออันสมดุลกันระหว่างดาวจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นบริวารของกัน ซึ่งไม่ทำให้เกิดเป็นวงโคจร เช่นโลกกับดาวศุกร์ โลกกับดาวอังคาร โลกกับดาวเสาร์ หรือ ดาวเสาร์กับดาวศุกร์ ดาวเสาร์กับดาวพฤหัสเป็นต้น ต่างก็มีการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กที่เชื่อมต่อกัน ระบบดาวต่างๆที่เกิดการหมุนวนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ก็เพราะเส้นแรงแม่เหล็กไหลเวียนเชื่อมดาวแต่ละดวงเข้าด้วยกันอยู่ เหมือนกับเส้นเชือกที่ร้อยลูกบอลให้เชื่อมต่อกัน ก่อเกิดเป็นเส้นทางเดินของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างดวงดาวต่างๆที่มีความสลับซับซ้อนมาก เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเต็มไปหมด และภายในดาวแต่ละดวง ก็จะมีการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็ก โดยที่ระดับพื้นผิวของดาว เส้นแรงแม่เหล็กจะเคลื่อนตัวจากขั้วใต้ขึ้นไปสู่ขั้วเหนือ แล้วเคลื่อนเข้าสู่แกนกลางของดวงดาวที่ขั้วเหนือแล้วเคลื่อนทะลุแกนกลางไปออกที่ขั้วใต้หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีการไหลเวียนในเส้นทางอื่นอีกที่ซ้อนทับกันไป เช่น เคลื่อนที่ในลักษณะหมุนเป็นเกลียวสว่านลงไปในดาว หรือเคลื่อนในลักษณะเป็นเกลียวจากขั้วใต้ขึ้นไปขั้วเหนือของดาว เป็นต้น

เส้นแรงแม่เหล็กที่ไหลเวียนเชื่อมต่อดวงดาวต่างๆเข้าด้วยกันนั้น จะมีจุดเชื่อมต่อของดาวแต่ละดวงที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ดาวโลกของเรา จุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับจุดศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกจะอยู่ที่บริเวณขั้วโลกเหนือ ดังนั้นที่ขั้วโลกเหนือนี้ นอกจากจะมีเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้าสู่แกนโลกแล้ว ยังมีเส้นแรงส่วนหนึ่งไหลเวียนขึ้นไปสู่อวกาศ เดินทางไปยังศูนย์กลางดาราจักร และในขณะเดียวกันก็จะมีเส้นแรงแม่เหล็กที่เดินทางสวนมาจากศูนย์กลางดาราจักร เคลื่อนมาสู่โลก เข้ามาที่ขั้วโลกเหนือแล้วทะลุแกนโลกไปยังขั้วโลกใต้ แล้วก็เคลื่อนที่ออกมาจากขั้วใต้เดินทางตามพื้นผิวขึ้นไปขั้วเหนืออีก วนเวียนไปอยู่ตลอด ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวทุกดวงในดาราจักรทางช้างเผือก ขั้วบนสุดของดาวทุกดวงจะหันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางดาราจักร เกิดเป็นขั้วเหนือของดาวขึ้นมา อีกด้านที่เป็นด้านตรงข้ามก็เป็นขั้วใต้ การเกิดขั้วเหนือขั้วใต้ของดาวก็เกิดขึ้นด้วยกลไกเช่นนี้

ฉะนั้น ในโลกของเรา การที่เข็มทิศชี้ไปยังทิศเหนือ ก็เพราะถูกจุดศูนย์กลางดาราจักรที่มีกำลังดึงดูดมากดึงเส้นแรงแม่เหล็กตามผิวโลกให้เคลื่อนไปยังขั้วเหนือตลอดเวลา เส้นแรงแม่เหล็กจึงเหนี่ยวนำให้เข็มทิศชี้ไปยังขั้วเหนือตลอดเวลาด้วย เข็มทิศจึงชี้ไปยังขั้วเหนือด้วยกลไกการไหลเวียนของเส้นแรงแม่
เหล็กในลักษณะนี้

จุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จะอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ไกลออกไปจากชายฝั่งไมอามี่ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ตรงบริเวณที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งบริเวณนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในเรื่อง การเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น การสูญหายไปของเครื่องบิน เรือ รวมทั้งคนที่เคลื่อนที่ผ่านบริเวณนี้อย่างไร้ร่องรอยเป็นจำนวนมาก รวมถึงบางเวลาเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆไม่สามารถใช้การได้เมื่อเดินทางผ่านบริเวณนี้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้หากไม่รู้ถึงกลไกการเชื่อมต่อของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างดาว ก็จะไม่สามารถอธิบายปรากฏที่เกิดขึ้นได้ ก็จะมองเป็นเรื่องประหลาดไป ปรากฏการณ์นี้ เกิดขึ้นจากการผันผวนของสนามแม่เหล็ก ซึ่งไม่ได้เกิดตลอดเวลา จะเกิดขึ้นเป็นบางช่วงบางเวลาเท่านั้น โดยเป็นผลมาจากการที่เมื่อโลก ดวงอาทิตย์ และศูนย์กลางดาราจักร ได้โคจรมาทำมุมที่พอเหมาะต่อกัน จะทำให้เส้นแรงแม่เหล็กที่มาจาก ศูนย์กลางดาราจักร จากดวงอาทิตย์ และภายในโลก ที่กำลังไหลเวียนอยู่ เกิดการเสริมกำลังกันแล้วเกิดการหมุนวนของเส้นแรงแม่เหล็ก กลายเป็นสนามพลังแม่เหล็กที่ผันผวนหมุนวนจนเกิดแรงดูดลงไปในแกนโลก คือเกิดเป็นพายุหมุนพลังแม่เหล็ก หากเกิดแรงดึงดูดมาก วัตถุใดก็ตามที่บังเอิญเคลื่อนที่ผ่านมา จะถูกแรงดึงดูดอันมหาศาลดูดลงไปในก้นมหาสมุทร หากเกิดแรงหมุนไม่มากก็เพียงทำให้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใช้การไม่ได้ ไม่ถึงกับดูดวัตถุลงไป

ส่วนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะจักรวาล ก็จะอยู่ตามบริเวณต่างๆในโลกซึ่งยังจะไม่ขอกล่าวถึง


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่11)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


2) กาลเวลา

การไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักร นอกจากจะทำให้เกิดแรงเชื่อมต่อกันแล้ว ในขณะเดียวกัน แรงเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักร ที่แรงเข้าสู่ศูนย์กลางกับแรงหนีศูนย์กลาง ทำมุมตรงกันข้ามกันนั้น จะก่อให้เกิดเป็นแรงสืบต่อ ของสิ่งที่เรียกว่า กาลเวลา ขึ้น โดยลักษณะของแรงที่เกิดขึ้น มีลักษณะเป็นแรงดึงที่เคลื่อนเข้าเคลื่อนออกศูนย์กลาง เกิดขึ้นสลับกันไปมาระหว่างศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางดาวบริวาร แรงนี้เกิดมาจากการเปลี่ยนสภาพพลังงานของศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางของดาว ที่มีการเปลี่ยนสภาพพลังงานสลับกันเป็นจังหวะๆ ตลอดเวลา และแรงจากการเปลี่ยนสภาพพลังงานของศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางของดาวนี้เอง ที่เป็นแรงไปขับเคลื่อนเส้นแรงแม่เหล็กให้ไหลเวียนไปมาระหว่างศูนย์กลางดาวบริวารกับศูนย์กลางดาราจักร

ยกตัวอย่างเช่น โลกของเรา ในจังหวะที่ศูนย์กลางดาราจักรเกิดแรงดึง ศูนย์กลางโลกจะเป็นสิ่ง ถูกดึง จากนั้นเมื่อแรงดึงจากศูนย์กลางดาราจักรลดกำลังลงจนหมดแรงดึงแล้ว ศูนย์กลางของโลกจะเกิด แรงดึงขึ้น โดยที่ศูนย์กลางดาราจักรจะเป็นสิ่ง ถูกดึง จากนั้นเมื่อแรงดึงจากศูนย์กลางโลกอ่อนกำลังลงจนหมดแรง ศูนย์กลางดาราจักรจะเกิด แรงดึง ขึ้นอีก โดยที่ศูนย์กลางโลกจะเป็นสิ่ง ถูกดึง วนเวียนสลับกันไปมา

การที่ศูนย์กลางใดจะเกิดแรงดึงขึ้นมาได้นั้น สภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะต้องอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ธาตุศูนย์ หรือสุญญตา โดยที่ศูนย์กลางที่เป็นสิ่งถูกดึง สภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง หรือ เอกัคคตา ดังนั้นที่ศูนย์กลางโลกและของดาราจักร ก็จะมีการเปลี่ยนสภาพพลังงานจาก ธาตุศูนย์ ไปเป็น ความเป็นหนึ่ง จาก ความเป็นหนึ่ง ไปเป็นธาตุศูนย์ เปลี่ยนถ่ายสภาพพลังงานไปมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสภาพพลังเป็นธาตุศูนย์เต็มที่ แรงดึงก็จะเกิดเต็มที่ จากนั้นความเป็นธาตุศูนย์ก็จะเริ่มลดลง เริ่มเปลี่ยนสภาพไปเป็น ความเป็นหนึ่ง ระดับแรงดึงก็ลดลงเรื่อยๆ จนเมื่อความเป็นธาตุศูนย์หมดไป ก็จะกลายเป็นความเป็นหนึ่งที่เต็ม ไม่มีแรงดึง กลายเป็นสภาพที่ ถูกดึง จากนั้น ความเป็นหนึ่งก็เริ่มลดลง เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุศูนย์อีกครั้ง แรงดึงก็ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อสภาพพลังเป็นธาตุศูนย์เต็มที่ แรงดึงก็จะเกิดเต็มที่อีกครั้ง วนเวียนไปอย่างนี้

ดังนั้น ที่ศูนย์กลางของโลกกับศูนย์กลางดาราจักร ก็จะเปลี่ยนสภาพ ความเป็น ธาตุศูนย์ กับ ความเป็นหนึ่ง สลับกันไปมา คือเมื่อศูนย์กลางดาราจักร เป็นธาตุศูนย์ (เกิดแรงดึงเข้า) ศูนย์กลางโลก ก็จะเป็นความเป็นหนึ่ง (ถูกดึง) เมื่อศูนย์กลางดาราจักร เป็นความเป็นหนึ่ง (ถูกดึง) ศูนย์กลางโลก ก็จะเป็นธาตุศูนย์ (เกิดแรงดึง) ก็จะเกิดเป็นสนามแรงโน้มถ่วงของโลกกับศูนย์กลางดาราจักรขึ้น (ภาพ6.4, 6.5)

  
ภาพ 6.4-6.5 แสดงการเปลี่ยนสภาพพลังงานที่ศูนย์กลางสลับกันทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงและกาลเวลา


จังหวะที่ศูนย์กลางดาราจักร เริ่มเกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง และจังหวะที่ศูนย์กลางโลก เกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง จะมีช่วงหรือระยะของจังหวะที่มีค่าคงที่ค่าหนึ่งเสมอ ค่าของช่วงจังหวะนี้คือ 1 วินาที นั่นคือ เมื่อศูนย์กลางดาราจักรเริ่มเกิดแรงดึง จนหมดแรงดึง จะมีช่วงจังหวะเท่ากับ 1 วินาที และเมื่อศูนย์กลางโลก เกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึงก็จะมีช่วงจังหวะเท่ากับ 1 วินาทีเช่นกัน ระยะของ 1 วินาทีซึ่งเป็นหน่วยนับของเวลาจึงเกิดขึ้นด้วยกลไกนี้ ดังนั้น ด้วยกลไกเช่นนี้ แรงดึงเข้าออกศูนย์กลางดาราจักร จึงไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดกับทุกดาวบริวาร และในโลกของเราก็ไม่ได้เกิดเฉพาะกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทุกอะตอมของสสารภายในโลก โดยที่นิวเคลียสของแต่ละอะตอมจะเกิดการเปลี่ยนสภาพพลังงาน จาก ธาตุศูนย์ เป็นความเป็นหนึ่ง จากความเป็นหนึ่งเป็นธาตุศูนย์ สลับกับศูนย์กลางดาราจักรอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะๆ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนสภาพพลังงานที่ศูนย์กลางโลก

เส้นแรงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางของดวงดาว และทุกศูนย์กลางของแต่ละอะตอม ที่เคลื่อนไหว ไป-มา เข้า-ออก เป็นจังหวะๆตลอดเช่นนี้ จะทำให้เกิดสนามแรงดึงขนาดใหญ่ขึ้น และด้วยสนามแรงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสิ่งไว้ จึงทำให้เกิดมิติของสนามแรงที่เป็น แรงสืบต่อ ที่ขับเคลื่อนมิติของกาลเวลาให้เกิดขึ้น มิติของกาลเวลาก็คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต และมิติของเวลา ก็จะไปครอบคลุม มิติของสสารวัตถุ คือ ความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก รวมถึงครอบคลุม มิติของพลังงาน คือ ความเป็นคลื่น ความเป็นอนุภาค ความถี่ ความยาวคลื่น ตลอดจนครอบคลุมมิติของจิต คือ สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ จนกระทั่งจิตตกอยู่ในอิทธิพลของมิติพลังงาน มิติของสสาร และมิติกาลเวลา มิติทั้งหมดที่ประกอบเข้าด้วยกันนี้ จึงเกิดเป็นการสืบต่อของเหตุการณ์ อดีต ปัจจุบันอนาคต ของสสาร ของพลังงาน และของจิต ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เป็นเหตุเป็นผล ของการกระทำในสิ่งต่างๆ ทั้งการกระทำ ทางกาย วาจา และใจ

การศึกษาเรื่องแรงสืบต่อของกาลเวลาโดยทางสมาธิจิตนี้ เมื่อจิตบุคคลใดสามารถอยู่เหนือ กาลเวลา หรือ หลุดออกจาก แรงสืบต่อ ของกาลเวลาได้ ถึงที่สุดของการศึกษาแล้ว ก็จะรู้และเข้าใจในเรื่อง กฎแห่งกรรม


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่12)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


3) สันตติ แรงสืบต่อของชีวิต

ในศาสนาพุทธ มีคำที่ใช้อธิบายความเป็นไปของสิ่งต่างๆ อยู่ 4 คำ คือ
     (1) อุปจย-ความเกิดขึ้นหรือก่อตัวขึ้น
     (2) สันตติ-ความสืบต่อ
     (3) ชรตา-ความเสื่อมหรือทรุดโทรม
     (4) อนิจจตา-ความแตกสลายหรือแตกดับ

สำหรับคำว่า สันตติ ที่หมายถึง ความสืบต่อนี้ เป็นคำที่มีความสำคัญและใช้ได้กว้างขวางเพราะครอบคลุมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังดำรงอยู่ การที่สิ่งใดๆดำรงอยู่ มีอยู่ และเป็นอยู่ ก็เพราะสิ่งนั้นยังมีการสืบต่อไปของการมีอยู่เป็นอยู่ของสิ่งนั้นๆ และการที่สิ่งนั้นยังมีการสืบต่ออยู่ ก็เพราะยังมีแรงหรือพลังงานที่มากเพียงพอแก่การเกิดแรงสืบต่อเพื่อให้สิ่งนั้นดำรงคงอยู่ต่อไป ดังนั้นแรงสืบต่อที่ได้กล่าวถึง เช่น แรงสืบต่อของศูนย์กลางระหว่างดาราจักรกับดวงดาวบริวาร ซึ่งทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงระหว่างกัน และทำให้เกิดแรงสืบต่อของเวลา เราก็สามารถเรียกแรงเหล่านี้ว่าเป็น แรงสันตติ ของแรงโน้มถ่วง และของกาลเวลาได้

นอกจากแรงสืบต่อที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักร กับศูนย์กลางของดวงดาวบริวาร ซึ่งเป็นสนามแรงที่มีขนาดใหญ่มากแล้ว แรงสืบต่อที่เกิดขึ้นด้วยกลไกของการเปลี่ยนสภาพพลังงานที่ศูนย์กลาง จากความเป็นศูนย์สู่ความเป็นหนึ่ง จากความเป็นหนึ่งสู่ความเป็นศูนย์นี้ ยังเกิดขึ้นกับศูนย์กลางของดวงดาวที่เป็นศูนย์กลางของระบบดาวแต่ละระบบกับศูนย์กลางของดวงดาวบริวารทั้งหลาย เกิดเป็นสนามแรงที่มีขนาดเล็กกว่า มีระยะหรือรัศมีของแรงสืบต่อที่สั้นกว่า เช่นในระบบสุริยะจักรวาลที่โลกของเราอาศัยอยู่ แรงสืบต่อก็เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางของโลกกับศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ ศูนย์กลางของโลกกับศูนย์กลางของดวงจันทร์ แล้วที่สำคัญคือศูนย์กลางของโลกกับศูนย์กลางของร่างกายมนุษย์เราแต่ละคน

ศูนย์กลางของร่างกายมนุษย์ที่เป็นศูนย์ใหญ่ที่ทำหน้าที่เกิดแรงสืบต่อกับศูนย์กลางโลกนั้น ก็คือ หัวใจ ที่อยู่หน้าอกด้านซ้ายของเราแต่ละคน การที่หัวใจเป็นศูนย์กลางของร่างกายก็เพราะหัวใจนั้นเป็นศูนย์รวมของพลังลมปราณและวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้ที่รวมกันอยู่มากที่สุด มากกว่าอวัยวะใดๆในร่างกาย ดังนั้น หัวใจจึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เกิดแรงสืบต่อกับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมถึงเซลล์ทุกเซลล์ อะตอมทุกอะตอมในร่างกาย ที่เกิดแรงสืบต่อ เคลื่อนไหว หมุนวนส่งแรงไปมาหากันตลอดเวลา หัวใจจึงเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ ในขณะที่อวัยวะอื่นๆเปรียบเหมือนเป็นดาวบริวาร

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากมีแรงสืบต่อที่เกิดขึ้นระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ห่างไกลกันดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แรงสืบต่อยังเกิดได้กับเฉพาะจุดเฉพาะส่วน ซึ่งเกิดเป็นแรงสืบต่อที่มีระยะสั้นเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเฉพาะที่หัวใจเอง ก็ยังเกิดแรงสืบต่อระหว่างศูนย์กลางใจกับเซลล์ที่ประกอบเป็นหัวใจ เป็นแรงดึงเข้าผลักออก ระหว่างศูนย์กลางหัวใจกับเซลล์ที่อยู่รอบๆที่ประกอบเป็นหัวใจ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นการเต้นของหัวใจ แรงดึงเข้าผลักออกของหัวใจนี้ นอกจากเกิดขึ้นจากกลไกของธาตุศูนย์กับความเป็นหนึ่งแล้ว ยังมีพลังลมปราณเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้การเต้นของหัวใจ เกิดสืบต่อต่อไปได้ การเกิดแรงสืบต่อเฉพาะจุดเฉพาะอวัยวะนี้ ก็ไม่เกิดขึ้นที่หัวใจที่เดียวเท่านั้น ที่อวัยวะอื่น เซลล์อื่นก็เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งถึงที่สุดแล้ว ในอะตอมของเซลล์ในร่างกายและในสสารทุกชนิด ก็มีแรงสืบต่อที่เป็นสนามแรงขนาดเล็ก เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เราจึงพบว่ามีสนามแรงขนาดเล็กจำนวนมหาศาล ที่รวมกันอยู่ในสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่า สนามแรงขนาดเล็กจะได้รับพลังที่ส่งผ่านมาจากสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นชั้นๆ เป็นทอดๆ เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเป็นสายเป็นใยของเส้นแรงที่ถักทอเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน

ความสำคัญของเรื่องนี้ ที่เราควรพิจารณาก็คือ ถ้าคนเรามีสุขภาพดีจังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจรจะเท่ากับหรือใกล้เคียง 60 ครั้งในระยะเวลาหนึ่งนาที ซึ่งเป็นจังหวะของธรรมชาติ จังหวะของกาลเวลา ที่ศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเกิดแรงสันตติระหว่างกัน นั่นคือเมื่อมนุษย์มีจังหวะของชีวิตสอดคล้องกับจังหวะของธรรมชาติ ร่างกายก็จะแข็งแรงมีสุขภาพดี แต่ถ้าการเต้นของหัวใจและชีพจรเร็วหรือช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาทีมาก และการเต้นนั้นไม่สม่ำเสมอ ผิดปกติ ไม่หนักแน่นมีพลัง ก็จะเป็นสิ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยเสื่อมถอย แล้วในทางกลับกัน หากจังหวะของธรรมชาติเกิดผิดปกติไปก็จะกระทบถึงจังหวะของชีวิตมนุษย์ เพราะจังหวะของชีวิตหรือแรงสืบต่อของชีวิตเรานี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงสืบต่อที่มีขนาดใหญ่กว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงสืบต่อที่มาจากศูนย์กลางโลกของโลกเรา


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่13)
น่าคิดเนาะ
 คห.ที่14)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


4) ขับเคลื่อนหินหลอมเหลว
โครงสร้างของโลกเรานี้ โดยภาพรวมแล้วกล่าวได้ว่ามีลักษณะรูปทรงที่เป็นทรงกลม ในทางวิทยาศาสตร์สาขาธรณีวิทยา แบ่งโครงสร้างออกเป็นชั้นใหญ่ๆ ได้ 3 ชั้น คือ
     1) ชั้นเปลือกโลก (Crust)
     2) ชั้นเนื้อโลก หรือชั้นหินหลอมเหลว (Mantle)
     3) ชั้นแกนกลางโลก (Core)

ชั้นเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด เป็นส่วนที่เป็นแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ มีความหนาโดยเฉลี่ยราว 8-40 กิโลเมตร

ชั้นเนื้อโลกอยู่ลึกลงไปถัดจากเปลือกโลก ประกอบด้วยหินหลอมเหลวที่เรียกชื่อว่า แมกมา (Magma) แบ่งออกเป็นอีกสองชั้นย่อย คือ หินหลอมชั้นตื้น (Shallow mantle) อยู่ลึกลงไปที่ความลึกตั้งแต่ 40-700 กิโลเมตร หินหลอมชั้นลึก (Lower mantle) อยู่ลึกลงไปตั้งแต่ 700-2900 กิโลเมตร

ชั้นแกนกลางโลก เป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุด ประกอบด้วยโลหะหลอมเหลว แบ่งออกเป็นอีกสองชั้น คือ แกนด้านนอก (Outer core) ลึกลงไปที่ระดับความลึกตั้งแต่ 2900-5150 แกนด้านใน (Inner core) อยู่ลึกลงไปตั้งแต่ 5150-6370 กิโลเมตร (ภาพ6.6)


ภาพ 6.6 โครงสร้างของโลก


บริเวณชั้นเปลือกโลกนี้มีลักษณะเป็นแผ่นๆของแผ่นดินอยู่ 12แผ่นใหญ่ (ภาพ6.7) แต่ละแผ่นจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเฉลี่ย 10 เซนติเมตรต่อปี โดยแผ่นดินแผ่นต่างๆ เหล่านี้ จะเคลื่อนที่ตามการไหลเวียนของหินหลอมเหลวในชั้นเนื้อโลก เหมือนกับวัตถุสิ่งของที่เคลื่อนที่ไปบนสายพาน ซึ่งแต่ละแผ่นก็จะลอยหรือตั้งอยู่บนหินหลอมเหลวคนละส่วนกัน (ภาพ6.8)

ความรู้จากสมาธิจิตพบว่า พลังที่คอยขับเคลื่อนหินหลอมเหลวให้เกิดการไหลเวียนนี้ ก็คือ พลังที่เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนที่หมุนเป็นเกลียวลงไปในโลกทั้งเกลียวในแนวดิ่งและแนวขวาง ทำให้เกิดแรงดันขับเคลื่อนให้หินหลอมเหลวเกิดการไหลเวียน จนไปเหนี่ยวนำให้เปลือกโลกเกิดการเคลื่อนตัว จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าเส้นแรงแม่เหล็กมีการไหลเวียนเป็นระเบียบ กลไกการไหลเวียนของหินหลอมเหลวก็จะเกิดเป็นปกติ แผ่นดินก็จะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไม่เกิดการสะดุด กระชาก แต่ถ้าการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กผิดปกติไป ย่อมเกิดผลต่อการไหลเวียนของหินหลอมเหลว ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของแผ่นดินบนชั้นเปลือกโลกด้วย


ภาพ 6.7 ลักษณะการเชื่อมต่อกันของแผ่นดินบริเวณชั้นเปลือกโลก


เปลือกโลกเป็นแผ่นๆ เคลื่อนตัวในทิศทางเดียวกับแมกมาในเนื้อโลก

ภาพ 6.8 แผ่นดินแผ่นต่างๆเคลื่อนที่ตามการไหลเวียนของหินหลอมเหลวในชั้นเนื้อโลก


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่15)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


5-เสื่อมสลายสรรพสิ่ง
ความเป็นไปของสรรพสิ่งที่เป็นสัจจธรรมความจริง ที่ได้กล่าวถึงแล้วสี่ขั้นตอน คือ มีความเกิดขึ้น (อุปจย) จากนั้นก็ตั้งอยู่และสืบต่อความมีอยู่ (สันตติ) จนกระทั่งเกิดความเสื่อม (ชรตา) และสุดท้ายถึงความแตกสลายไป (อนิจจตา) ซึ่งเราต้องประสบกันทุกคนและทุกขั้นตอน

การที่สิ่งใดยังตั้งอยู่ มีอยู่ และเป็นอยู่ ก็เพราะสิ่งนั้นยังมีแรงสืบต่อที่มากพอแก่การดำรงคงอยู่ต่อไปของสิ่งนั้นๆ แล้วกลไกที่อยู่เบื้องหลังการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆเป็นอย่างไร ทำไมคนเราจากเกิดมาเป็นเด็ก โตขึ้นแล้วแก่ตัวลง ผิวหนังจากเต่งตึงก็กลับหย่อนยาน เซลล์ในร่างกายเกิดความเสื่อมถอย อีกทั้งสสารวัตถุต่างๆ เกิดการเน่าเปื่อยผุพังไป โดยที่วัตถุบางชิ้นตั้งอยู่เฉยๆ ไม่มีใครหรืออะไรไปทำอะไรกับมัน มันก็เกิดการเสื่อมสภาพไปได้ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังอันสำคัญของการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆ นี้ก็คือ เส้นแรงแม่เหล็ก

กลไกของการเสื่อมสลายเกือบทั้งหมด เกิดขึ้นจากการที่เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนไหวทะลุผ่านสิ่งต่างๆ แต่ในบางกรณีก็เกิดขึ้นจากเส้นแรงแม่เหล็กรวมตัวกันอยู่นิ่งๆ กลไกการเสื่อมสลายที่เกิดจากเส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนไหวอธิบายเฉพาะในโลกของเราก่อน ก็คือ เราทราบแล้วว่า ในโลกของเราทุกจุด ทุกแห่งล้วนมีเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเคลื่อนจากขั้วโลกใต้ขึ้นสู่ขั้วโลกเหนือที่ระดับผิวโลกขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ และเคลื่อนไหวไปมาระหว่างศูนย์กลางดาราจักร กับโลกของเรา ซึ่งเป็นเส้นทางที่เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนทะลุผ่านสิ่งที่เป็นสสารวัตถุบนโลก เช่นร่างกายของมนุษย์ ของสัตว์ และสิ่งของ สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นสสารวัตถุที่ประกอบขึ้นมาด้วยอะตอมของธาตุต่างๆ ที่ยึดเกาะกันอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบ สสารวัตถุที่ประกอบตัวเกิดขึ้นมาใหม่ๆความเป็นระบบระเบียบของอะตอมที่ประกอบกันก็มีมากรวมไปถึงแรงยึดเกาะระหว่างอะตอมด้วยกัน ก็มีความแข็งแรงดี ส่วนโครงสร้างภายในอะตอมทุกอะตอมก็มีศูนย์กลางคือ นิวเคลียส นิวเคลียสของอะตอมทั้งหลายย่อมจะถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้ามาชน กระทบ รบกวน อยู่ตลอดเวลา

การที่นิวเคลียสถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้ามากระทบนี้ จะทำให้นิวเคลียสเกิดการสั่นสะเทือน แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น จะเกิดการสะสมแรงที่เป็นแรงที่ทำให้อะตอมต่างๆเคลื่อนไหวเพื่อแตกตัวแยกตัวเป็นอิสระออกจากกัน ซึ่งจะทำให้ความเป็นระบบระเบียบของอะตอมที่ประกอบกันลดความเป็นระบบระเบียบลง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด นิวเคลียสของอะตอมก็จะยิ่งถูกทำให้สั่นสะเทือนมากเท่านั้น ความเสถียรของสารประกอบและของอะตอมที่ประกอบกันก็จะลดลงเรื่อยๆ จนเกิดการแปรเปลี่ยนลักษณะโครงสร้างของสารประกอบและอะตอมไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาทั้งทางเคมีและฟิสิกส์ที่ทำให้สสารวัตถุเกิดความเสื่อม จนสลายตัว แยกออกจากกันในที่สุด สสารวัตถุไม่ว่าจะอยู่ที่ดาวดวงไหน กลไกการเสื่อมสลายก็ล้วนเกิดขึ้นเหมือนกันกับที่เกิดบนโลกของเรา

แรงสันตติ ที่เป็นแรงสืบต่อความตั้งอยู่ มีอยู่ ของสิ่งต่างๆ มองอีกด้านหนึ่งก็เป็นแรงที่ทำให้สิ่งทั้งหลายสืบต่อ ไปสู่ความแตกดับ เมื่อตั้งอยู่ก็ด้วยแรงสืบต่อ เมื่อเสื่อมสลายก็ด้วยแรงสืบต่อเช่นกัน ทุกขณะเวลาที่สืบต่อความมีอยู่ ก็คือเวลาสู่ความแตกดับ ความมีอยู่กับความเสื่อมสลายอยู่คู่กันตลอดเวลา ยิ่งเกิดการสืบต่อมากเท่าใด ความเสื่อมโทรมก็เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องถึงความแปรปรวนแตกสลายไป

สำหรับกลไกการเสื่อมสลายที่เกิดจากเส้นแรงแม่เหล็กรวมกันอยู่นิ่งๆ กระบวนการแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อเส้นแรงในโลกเกิดไหลเวียนไม่สะดวกหรือไหลเวียนไม่ได้ ทำให้เส้นแรงรวมตัวกันอยู่นิ่งๆเฉพาะจุดเฉพาะพื้นที่ การที่เส้นแรงแม่เหล็กรวมตัวกันอยู่แบบนี้มันจะเกิดการสะสมพลังงานที่เรียกว่าพลังงานศักย์ ยิ่งรวมตัวกันนานเท่าใดพลังงานศักย์ก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นจนถึงจุดจุดหนึ่งพลังงานศักย์จะเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ เส้นแรงแม่เหล็กจะเกิดการสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงมาก แล้วเกิดการปลดปล่อยแรงสั่นสะเทือนและพลังงานความร้อนออกมามากมาย แรงสั่นสะเทือนและความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ จะไปสั่นสะเทือนอะตอม หรือโมเลกุลของสารประกอบใดๆที่อยู่ติดกับเส้นแรงแม่เหล็ก ทำให้แรงยึดเกาะทั้งระหว่างอะตอมหรือระหว่างโมเลกุล ที่เกิดเป็นพันธะทางเคมีแยกตัวออกจากกัน ทำให้สสารวัตถุเกิดการเปลี่ยนสภาพไป เกิดความเสื่อมสลาย แยกออกจากกันในที่สุด หรือไม่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพหรือสถานะของสสาร เช่น จากของแข็ง เป็นของเหลว จนกลายเป็นไอ เป็นต้น


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่16)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


ารทำงานของเส้นแรงแม่เหล็กดังที่ได้กล่าวถึงทั้งหมด ทั้งในเรื่องแรงโน้มถ่วง กาลเวลา สันตติ การขับเคลื่อนหินหลอมเหลว และการเสื่อมสลายของสรรพสิ่ง แม้ได้อธิบายแยกจากกันเป็นส่วนๆ แต่ในธรรมชาติแล้ว ทุกกระบวนการมิได้แยกออกจากกัน ทุกประการต่างดำเนินไปด้วยกัน ทำหน้าที่ในแต่ละอย่างแต่ละเรื่องอยู่ทุกขณะ ในขณะที่เกิดแรงโน้มถ่วง ก็เกิดกาลเวลา เกิดแรงสืบต่อของสิ่งต่างๆให้ตั้งอยู่มีอยู่ และขณะเดียวกันก็กำลังเสื่อมสลายสิ่งต่างๆ จากอดีตสู่ปัจจุบันและต่อไปยังอนาคต ขณะนี้เมื่อเราทราบแล้วว่าเส้นแรงแม่เหล็กมีบทบาทอย่างไรแล้ว ประเด็นสำคัญที่จะกล่าวถึงต่อไปก็คือ สภาพการณ์ของเส้นแรงแม่เหล็กในช่วงเวลาปัจจุบันที่เกิดการผันผวนขึ้น ซึ่งมีผลต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์เราและสภาวะของโลก

การผันผวนของเส้นแรงแม่เหล็กโลก เป็นผลสืบเนื่องโดยตรง จากการที่พลังลมปราณในโลกเกิดการเสื่อมถอย ซึ่งการเสื่อมของพลังลมปราณนั้น ได้กล่าวถึงไปแล้วว่าเกิดขึ้นจากผลรวมของสาเหตุต่างๆรวมกัน ตั้งแต่การที่การหมุนแกว่งตัวของแกนโลกอ่อนกำลังลงไปเพราะ สารซีเอฟซี ควันน้ำมัน และกัมมันตภาพรังสี ไปรวมกันมากบริเวณขั้วโลกทั้งสองขั้ว ทำให้มวลของชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นมีน้ำหนักมาก ซึ่งจะไปหน่วงการหมุนแกว่งตัวของแกนโลก อีกทั้งสารซีเอฟซี และ ธาตุความดับจากกัมมันตภาพรังสี ที่เคลื่อนเข้าไปในแกนโลก ได้ไปทำลายพลังลมปราณในแกนโลก จนการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกอ่อนกำลังลง ทำให้แรงเหวี่ยงที่ขับเคลื่อนกระแสลมปราณในโลกลดลง จนการไหลเวียนของกระแสลมปราณในโลก และในร่างกายมนุษย์ อ่อนกำลังลง จนแทบไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ร่วมกับการเกิดขึ้นของลมปราณพิษที่สามารถทำลายลมปราณที่ดีได้ ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้ลมปราณลดปริมาณและคุณภาพเสื่อมลง

ลมปราณกับเส้นแรงแม่เหล็กนี้ ในสภาพปกติแล้วจะเคลื่อนที่ไหลเวียนไปด้วยกัน โดยลมปราณจะเกาะเกี่ยวห่อหุ้มหรือเคลือบเส้นแรงเอาไว้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองนี้เราสามารถเปรียบได้กับเครื่องจักรกับน้ำมันหล่อลื่น คือ เส้นแรงแม่เหล็กเปรียบได้กับเครื่องจักร ในขณะที่ลมปราณเปรียบได้กับน้ำมันหล่อลื่น ที่มีหน้าที่คอยหล่อลื่นการเคลื่อนไหวของเครื่องจักรที่ประกอบขึ้นจากเหล็กเสียดสีกันในขณะทำงาน ถ้าน้ำมันหล่อลื่นมีคุณภาพดีและมีปริมาณมากพอก็ย่อมทำให้เครื่องจักรทำงานไปได้ด้วยดี แต่เมื่อใดน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพและมีปริมาณน้อยลง ก็ย่อมทำให้การทำงานของเครื่องจักรเกิดการสะดุดติดขัดไม่สามารถทำงานต่อไปอย่างเป็นปกติได้ การไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กก็เช่นเดียวกันกับการทำงานของเครื่องจักร นับแต่ลมปราณในโลกเกิดการเสื่อมถอย ลมปราณที่เคยห่อหุ้มเส้นแรงแม่เหล็กให้เคลื่อนไหวไปด้วยดีก็มีปริมาณและคุณภาพลดลง ทำให้การไหลเวียนของเส้นแรงตามพื้นที่ต่างๆในโลกไม่สะดวกราบรื่นดังเดิม ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใด ลมปราณก็ยิ่งลดปริมาณและคุณภาพลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2547 ลมปราณในพื้นที่ส่วนใหญ่ในโลกโดยเฉพาะที่อยู่ในชั้นบรรยากาศชั้นล่างสุดคือ ชั้นโทรโพสเฟียร์ ก็ทยอยลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนในหลายพื้นที่ไม่มีลมปราณไหลเวียนอยู่เลย จะมีเหลืออยู่บ้างก็เฉพาะในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาและในพื้นที่ที่คนมีจิตเมตตามากอาศัยอยู่เท่านั้น

สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ การเคลื่อนเข้าไปในแกนโลกของเส้นแรงแม่เหล็กเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะลมปราณภายในแกนโลกมีอยู่น้อยมากจนแทบไม่มีเลย ส่วนเส้นแรงที่จะเคลื่อนลงไปในแผ่นดินลงไปถึงหินหลอมเหลวก็เคลื่อนลงไปได้ยากเช่นกัน ดังนั้นจึงเกิดการอุดตันของเส้นแรงตามที่ต่างๆ เส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ลงไปแกนโลก และที่ไม่สามารถเคลื่อนลงไปในพื้นดิน ก็เกิดการสะท้อนกับเส้นแรงด้วยกันแล้วกระเด็น ฟุ้งกระจายขึ้นมาบนโลกทำให้บนโลกมีจำนวนเส้นแรงแม่เหล็ก
เพิ่มมากขึ้น (ภาพ6.9)


ภาพ 6.9 เส้นแรงแม่เหล็กไม่สามารถเข้าสู่แกนโลก เกิดการฟุ้งกระจายขึ้นมาบนโลก


ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อลมปราณในแกนโลกและในศูนย์กลางโลกลดปริมาณลง จะมีผลทำให้สภาพความเป็นแกนโลกและสภาพความเป็นศูนย์กลางโลกอ่อนกำลังลงไปด้วย เพราะทั้งพลังลมปราณ พลังบริสุทธิ์ พลังความว่าง พลังธาตุศูนย์ และพลังความเป็นหนึ่ง พลังงานทั้งหมดเหล่านี้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน คือเมื่อพลังชนิดหนึ่งเกิดขึ้นและสะสมพลังจนอิ่มตัวแล้ว ก็จะกลายเป็นพลังอีกชนิดหนึ่ง หมุนเวียนโคจรเปลี่ยนสถานะของพลังงานไปเป็นวัฏจักร

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพลังลมปราณอยู่ในภาวะที่ไม่มีสิ่งใดไปรบกวนการสะสมพลัง จนพลังอิ่มตัวถึงจุดหนึ่งก็จะกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ และเมื่อพลังบริสุทธิ์อยู่ในภาวะที่ไม่มีสิ่งใดไปรบกวนการสะสมพลัง จนพลังอิ่มตัวถึงจุดหนึ่งก็จะกลายเป็นพลังความว่าง พลังความว่างที่อิ่มตัวก็จะกลายเป็นพลังธาตุศูนย์ พลังธาตุศูนย์ที่อิ่มตัวก็จะกลายเป็นพลังความเป็นหนึ่ง พลังความเป็นหนึ่ง ที่อิ่มตัวก็จะกลายเป็นพลังลมปราณ เป็นต้น ดังนั้นพลังงานจึงสามารถเปลี่ยนสถานะกันได้ และเป็นแหล่งให้กำเนิดซึ่งกันและกัน สำหรับกลไกและเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรพลังงานนี้ ยังมีขั้นตอนอีกหลายประการที่ละเอียดลึกลงไปซึ่งยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะประเด็นสำคัญที่ต้องการให้เห็นก็คือพลังงานทั้งหมดเหล่านี้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน

เมื่อพลังลมปราณน้อยลง พลังธาตุศูนย์ พลังความเป็นหนึ่งก็ลดน้อยลงด้วย เมื่อสภาพพลังธาตุศูนย์และพลังความเป็นหนึ่งอ่อนกำลังลง ศูนย์กลางของโลกที่เคยมีกำลังแรงดึงที่แข็งแกร่งก็จะอ่อนแรงลงไป ซึ่งมีผลสืบเนื่องถึงแรงสันตติที่เกิดระหว่างศูนย์กลางต่างๆที่โลกเราเกี่ยวเนื่องอยู่ คือ แรงสันตติที่เกิดระหว่างศูนย์กลางโลกกับศูนย์กลางดาราจักร กับดวงอาทิตย์ กับร่างกายมนุษย์และสัตว์ กล่าวโดยละเอียดคือ ในจังหวะที่ศูนย์กลางโลกมีสภาพเป็นธาตุศูนย์ เกิดแรงดึง แต่อ่อนแรงกว่าเดิม เมื่อถูกดึงกลับในจังหวะที่ศูนย์กลางโลกมีสภาพความเป็นหนึ่ง ก็จะถูกดึงกลับด้วยแรงที่อ่อนลงเช่นกัน เพราะแรงกิริยาจะเท่ากับแรงปฏิกิริยา โลกเราออกแรงดึงน้อยลง ศูนย์กลางต่างๆที่โลกเกี่ยวข้องก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองออกแรงดึงลดลงตามไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แรงสืบต่อที่เกิดระหว่างศูนย์กลางของโลกกับศูนย์กลางต่างๆ ตั้งแต่กับศูนย์กลางดาราจักร กับดวงอาทิตย์ กับของร่างกาย รวมทั้งระหว่างศูนย์กลางของร่างกายกับเซลล์ต่างๆ และที่ศูนย์กลางของเซลล์แต่ละเซลล์ ทั้งหมดทั้งมวลในสถานการณ์ที่ลมปราณลดลง แรงสืบต่อที่มีอยู่ระหว่างจุดศูนย์กลางต่างๆ จึงลดกำลังลงมา ตามกันมา เป็นทอดๆ

ส่วนผลต่อกาลเวลาเมื่อแรงสันตติของโลกเราลดลง พบว่าจังหวะเวลาของแรงดึงเข้า-ออก ระหว่างศูนย์กลางโลกกับศูนย์กลางดาราจักรยังคงเดิมอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะ แรงสันตติที่ลดลงนั้นยังไม่ลดลงมากถึงขั้นเสียสมดุลของแรง จนระยะทางและความเร็วของโลกที่โคจรรอบศูนย์กลางดาราจักรเปลี่ยนแปลงไป โลกเรายังคงอยู่ในจังหวะเวลาที่เป็นจังหวะโดยรวมของทั้งดาราจักรทางช้างเผือกที่สสารวัตถุทั้งหมด มีศูนย์กลางการหมุนอยู่ที่เดียวกัน และทั้งหมดอยู่ในมิติและระบบแรงเดียวกัน และยังมีความสมดุลของแรงในระบบอยู่


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่17)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


ดังนั้นในสถานการณ์ที่เส้นแรงแม่เหล็กเพิ่มปริมาณมากขึ้นบนโลก และแรงสันตติของโลกลดลงนี้ จึงมีผลต่อสุขภาพร่างกายของคนเราและต่อสภาวะของโลกที่สำคัญๆ ดังนี้

ผลต่อสุขภาพร่างกาย
การที่เส้นแรงแม่เหล็กมีจำนวนมากขึ้นบนโลก จึงเท่ากับว่าเซลล์ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ ถูกทำให้สั่นสะเทือนเพิ่มขึ้นหรือถูกรบกวนมากขึ้น จากเส้นแรงที่มีมากกว่าปกติวิ่งเข้ามากระทบกับศูนย์กลางของอะตอมของธาตุที่ประกอบกันจนเป็นเซลล์ของอวัยวะต่างๆ และการวิ่งเข้ามาชนในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นการเคลื่อนเข้ามาชนอย่างไม่เป็นระเบียบ การสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปอย่างไม่เป็นระบบและไม่สอดคล้องกันอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังพบว่ามีเส้นแรงอีกส่วนหนึ่งที่เมื่อวิ่งเข้ามาชนแล้วไม่วิ่งออกไป แต่กลับหยุดค้าง ฝังตัวอยู่ในร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเส้นแรงมีมากขึ้น และลมปราณในร่างกายที่เป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นมีน้อยลง การไหลเวียนจึงติดขัด ประกอบกับแรงสันตติในโลกอ่อนแรงลงซึ่งส่งผลต่อแรงสันตติภายในร่างกายอ่อนแรงลงด้วย แรงสืบต่อของร่างกายที่จะไปขับเส้นแรงให้ออกไปจากร่างกายจึงมีไม่พอ เมื่อเส้นแรงวิ่งเข้ามา จึงเกิดการฝังตัวอยู่ในร่างกาย
เป็นจำนวนมาก

การที่เซลล์ในร่างกายถูกทำให้สั่นสะเทือนมากกว่าปกติ และเป็นการสั่นสะเทือนอย่างไม่เป็นระบบนี้ จึงเท่ากับว่าเป็นการเร่งการเสื่อมของเซลล์ให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเกิดโรคเสื่อมถอยต่างๆ ตามมามากมาย ส่วนเส้นแรงแม่เหล็กที่ค้างอยู่ในร่างกายก็มีผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน ที่เห็นชัดก็คือ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามตัว เส้นเอ็นกล้ามเนื้อเกิดอาการตึง เส้นยึด หมุนตัวหรือเหลียวคอได้ลำบาก ในรายที่เส้นแรงแม่เหล็กค้างในร่างกายมาก จะเกิดอาการเจ็บปวดจากการที่กระดูกทับเส้นประสาท ทับเส้นเอ็น ชาตามตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขารู้สึกหนัก อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจลำบาก เจ็บหัวใจ ถ้าเส้นแรงค้างในเส้นเลือดมาก ก็จะเกิดอาการความดันเลือดสูง เส้นเลือดตีบ เพราะการกระจุกของเส้นแรง ทำให้ลมปราณและเลือดไหลเวียนไม่สะดวก ซึ่งทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดตามมาอีกหลายโรค

ผลต่อสภาวะของโลก
สำหรับสภาวะของโลกเมื่อเกิดการหยุดหมุนแกว่งตัวของแกนโลกที่ขั้วโลก, ลมปราณเสื่อมถอย, เส้นแรงแม่เหล็กผันผวนไหลเวียนไม่สะดวกมีปริมาณมากขึ้นบนโลก และแรงสันตติของโลกลดลง ความเป็นไปของโลกอันสืบเนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ


ช่วงที่ 1 กลางปี-ปลายปี พ.ศ.2547

การที่เส้นแรงแม่เหล็กมีจำนวนมากขึ้นบนโลก นั่นเท่ากับว่า ภายในโลก ทั้งในแกนโลกและในเนื้อโลกมีจำนวนของเส้นแรงแม่เหล็กให้ใช้งานได้น้อยลง จึงเกิดสภาวะของความไม่สมดุลของเส้นแรงภายในและภายนอก ดังนั้นธรรมชาติจึงเกิดการปรับตัว โดยเส้นแรงที่เพิ่มจำนวนขึ้นบนโลกได้พยายามเคลื่อนลงสู่ภายในโลก ตามแรงดึงจากศูนย์กลางโลกที่คอยดึงและขับเคลื่อนเส้นแรงแม่เหล็กตามปกติ เพื่อให้เกิดความสมดุลของปริมาณเส้นแรงภายในและภายนอกดังเดิม แต่เมื่อลมปราณซึ่งเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นลดปริมาณและคุณภาพลง เส้นแรงไหลเข้าสู่ภายในโลกไม่ได้ เส้นแรงทั้งหลายจึงเคลื่อนตัวมาหยุดจดจ่อ ต่อตัวกันอยู่บนพื้นโลก และพยายามพุ่งลงสู่ภายในโลก สภาพการณ์เช่นนี้จึงทำให้เกิดแรงกดทับต่อเปลือกโลกเพิ่มขึ้น เพราะเส้นแรงแม่เหล็กจำนวนมากที่พยายามพุ่งลงสู่ภายในโลก ได้รวมกันกลายเป็นสนามแรงโน้มถ่วง ออกแรงดันกดทับเปลือกโลกหรือพื้นโลกอยู่ตลอดเวลา ทั้งพื้นโลกส่วนที่อยู่ในทะเล หรือที่อยู่บนบกที่มนุษย์เราอาศัยอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป เส้นแรงบนโลกเพิ่มจำนวนมากขึ้น แรงกดทับต่อพื้นโลกก็ยิ่งมากขึ้น ซึ่งเป็นการสะสมพลังงานศักย์ของแรงกดทับ อีกทั้งประสานเสริมกับแรงกดทับอีกสองส่วน

ส่วนแรกมาจากความดันบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากควันน้ำมันที่ลอยขึ้นไปรวมกันอยู่ในชั้นบรรยากาศจำนวนมาก เมื่อควันน้ำมันเคลื่อนตัวต่ำลงมาในยามที่พื้นโลกมีอุณหภูมิลดลง จะมีแรงกดอากาศต่อพื้นโลกมากขึ้น

ส่วนแรงกดทับต่อเปลือกโลกอีกส่วนหนึ่ง เป็นแรงกดทับที่ไม่ได้มาจากปรากฏการณ์เรือนกระจกที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น แต่นับเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงกดทับต่อเปลือกโลกเป็นอย่างมากไม่น้อยกว่าแรงกดทับที่เกิดจากเส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งเข้าสู่ภายในโลก นั่นคือ แรงกดทับที่เกิดขึ้นจากน้ำหนักของน้ำที่มนุษย์เราเก็บสะสมไว้ในเขื่อนกั้นน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆทั่วโลก จริงอยู่เราได้รับประโยชน์จากเขื่อนหลายประการ แต่อีกด้านหนึ่งเรากำลังทำให้สมดุลของน้ำหนักที่กดทับต่อเปลือกโลกเสียไป รวมถึงสมดุลของกระแสน้ำในมหาสมุทรที่เสียสมดุลไปด้วย เพราะเมื่อเกิดแรงกดทับตรงบริเวณพื้นโลกที่เป็นเขื่อนกั้นน้ำให้ทรุดลงไป พื้นโลกอีกด้านหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม ก็จะกระดกตัวขึ้น เหมือนกับครกกระเดื่อง ยิ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่เท่าใดก็ยิ่งเกิดการสะสมแรงกดทับต่อเปลือกโลกมากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เขื่อนในประเทศจีนที่กั้นแม่น้ำแยงซีเกียงที่ยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร ปริมาณน้ำในเขื่อนจึงมีมาก แผ่นดินบริเวณนี้จึงถูกกดทับมาก แต่แผ่นดินอีกด้านหนึ่ง คือ บริเวณทะเลอันดามันจะกระดกตัวสูงขึ้น เป็นต้น

การประสานเสริมพลังงานศักย์ของแรงกดทับจากแรงทั้งสามส่วนนี้ เมื่อสะสมพลังงานถึงจุดจุดหนึ่งที่เปลือกโลกไม่สามารถทนทานรับไว้ได้ จะทำให้เปลือกโลกบริเวณที่เปราะบางหรืออ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณรอยต่อของเปลือกโลก ยกตัวอย่างเช่นรอยต่อของเปลือกโลกในทะเลอันดามัน เกิดการเคลื่อนตัว แผ่นหนึ่งยุบตัวลง อีกแผ่นหนึ่งกระดกตัวขึ้น ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ซึ่งหากเกิดแผ่นดินไหวตรงรอยต่อของเปลือกโลกในทะเลก็จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์เคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่ง

ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเมื่อการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลกทั้งสอง คือ ขั้วโลกเหนือ กับขั้วโลกใต้ หยุดหมุนแกว่งตัว แกนโลกบริเวณขั้วโลกทั้งสองที่ประกอบไปด้วยเส้นแรงแม่เหล็กจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ ถึงแม้จะเกิดการหมุนรอบตัวเองของแกน แต่ก็ไม่เกิดการหมุนแกว่งตัว ได้แต่นิ่งอยู่เช่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดการสะสมพลังงานศักย์ ยิ่งรวมตัวกันนานเท่าใดพลังงานศักย์ก็จะเพิ่มมากขึ้น จนถึงจุดจุดหนึ่งพลังงานศักย์จะเปลี่ยนเป็น พลังงานจลน์ แกนโลกบริเวณขั้วโลกที่ประกอบด้วยเส้นแรงแม่เหล็ก จะเกิดการสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงมาก แล้วเกิดการปลดปล่อยแรงสั่นสะเทือนและพลังงานความร้อนออกมามากมาย แรงสั่นสะเทือนและความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ จะไปสั่นสะเทือน อะตอม หรือโมเลกุลของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกทั้งสองขั้ว ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกเกิดการละลาย กลายเป็นน้ำ ทำให้น้ำทะเลมีปริมาณเพิ่มขึ้น ภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะเกิดการแตกตัวเคลื่อนออกจากกัน อีกทั้งยังก่อเกิดไอเย็นเคลื่อนตัวแผ่ปกคลุมเข้ามายังบริเวณเส้นศูนย์สูตร

อนึ่งการหยุดหมุนแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลกนี้ ยังทำให้แรงเหวี่ยงที่เคยเป็นแรงยึดเกาะของภูเขาน้ำแข็งกับแกนโลกหมดไปด้วย โดยแรงนี้เป็นแรงที่แกนโลกกับโมเลกุลของน้ำยึดเกาะกันอยู่ เมื่อรัศมีการแกว่งตัวลดลง แรงนี้ก็จะค่อยๆ อ่อนลงจนหมดไปเมื่อแกนโลกหยุดแกว่งตัว ทำให้กระบวนการละลายสลายตัวของภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่18)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


ช่วงที่ 2 ต้นปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกบริเวณรอยต่อของแผ่นดิน จะทำให้เกิดรอยแยกระหว่างรอยต่อของแผ่นดิน ตามบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวและบริเวณใกล้เคียงด้วย รอยแยกที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นช่องทางให้เส้นแรงแม่เหล็กที่อยู่บริเวณพื้นผิวโลกเคลื่อนตัวลงสู่ภายใน ในเวลาต่อมารอยแยกที่เกิดขึ้นจะขยายตัวกว้างขึ้น ทั้งนี้ เกิดขึ้นจากแรงดันจากเส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนตัวเข้าไป และที่สำคัญก็คือ แรงดันจากน้ำทะเลที่ไหลทะลักเข้าไปในรอยแยก เมื่อน้ำทะเลสามารถไหลเข้าไปในช่องโพรงระหว่างรอยแยกได้สะดวกแล้ว รอยแยกก็จะหยุดการขยายตัว แต่น้ำทะเลก็ยังคงไหลเข้าไปในรอยแยกอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีน้ำหนักกดทับมาก น้ำทะเลเหล่านี้จะไปกัดเซาะเนื้อของแผ่นดินด้านล่างที่อยู่ติดกับหินหลอมเหลว ทำให้เนื้อของแผ่นดินค่อยๆหลุดออกมาจากหินหลอมเหลว อีกทั้งดันเอาหินหลอมเหลวให้เคลื่อนออกมาตามบริเวณรอยแยกด้วย

ปรากฏการณ์นี้เราสามารถสังเกตเห็นได้จากการที่ เราจะพบรอยแยกขนาดใหญ่ในทะเลแล้วมีก๊าซหรือฟองอากาศผุดลอยขึ้นมาจากท้องทะเลเป็นแนวยาว สำหรับช่วงเวลาที่น้ำทะเลไหลเข้าไปในรอยแยกของแผ่นดินนี้ จะเกิดแรงสะเทือนขึ้นเป็นจังหวะๆตลอดเวลา อันเนื่องมาจากแรงดันของน้ำเข้ามากระแทกกับแผ่นดินทำให้แผ่นดินเกิดการไหวตัว แต่ก็เป็นการไหวขนาดเล็กถึงปานกลาง ไม่ก่อให้เกิดภัยพิบัติแต่อย่างใด ในสภาวะจิตของคนปกติก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้ามีจิตที่ละเอียดมีความรู้สึกไวก็จะจับการไหวตัวของแผ่นดินได้ ยิ่งจิตละเอียดเท่าใดก็จะจับการไหวตัวของแผ่นดินได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งถ้าจิตมีสมาธิดีก็จะสามารถจับขอบเขตหรืออาณาเขตของแผ่นดินด้านล่าง ว่าถูกกัดเซาะไปเท่าไหร่แล้ว

แผ่นดินด้านล่างบริเวณใดที่ถูกกัดเซาะ จะทำให้แผ่นดินด้านบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น เพราะหินหลอมเหลวถูกดันขึ้นมาใกล้ชิดกับเปลือกโลกบริเวณที่ถูกกัดเซาะ ซึ่งถ้าเนื้อดินด้านล่างถูกกัดเซาะจนไปถึงบริเวณเปลือกโลกที่อยู่ในระดับท้องทะเลลึก ก็ทำให้พื้นทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น อีกทั้งเกิดก๊าซพิษซึมออกมา ซึ่งจะมีผลต่อสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จะต้องหนีขึ้นมาสู่ในระดับที่ตื้นกว่า นั่นหมายความว่าเมื่อใดที่เราพบว่ามีสัตว์ทะเลที่ปกติอาศัยอยู่ในทะเลลึก ปรากฏตัวในน้ำทะเลระดับตื้นบ่อยๆ หรืออาจพบว่าสัตว์ลอยขึ้นมาเสียชีวิตบนชายฝั่ง ก็แสดงว่าพื้นทะเลลึกด้านล่างถูกกัดเซาะแล้ว

ในช่วงเวลานี้กระบวนการกัดเซาะเนื้อโลกด้านล่างก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับในช่วงนี้เมื่อน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย ปริมาณน้ำทะเลในโลกจะเพิ่มมากขึ้น แรงดันของน้ำทะเลจึงเพิ่มขึ้นด้วย แรงดันของน้ำที่เพิ่มขึ้น จะดันน้ำทะเลให้แทรกซึมเข้าไปในพื้นดินที่ติดกับชายฝั่งทะเลรวมถึงพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงชายฝั่งด้วย น้ำทะเลที่เข้าไปตามช่องโพรงในพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลนี้ จะไปกัดเซาะเนื้อดินจนทำให้พื้นดินเกิดการทรุดตัว หรือไม่พื้นดินก็เกิดปริแตกเป็นทางยาว ถ้าการกัดเซาะเกิดมากพื้นดินก็จะยุบตัวลงไปเป็นหลุมเป็นบ่อเลยทีเดียว

แรงดันจากน้ำทะเลและจากหินหลอมเหลวนี้ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงดันที่เกิดขึ้นนี้ จะเกิดการถ่ายทอดแรงสะเทือนลึกเข้าไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากชายฝั่งทะเลด้วย พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง จะเกิดการสะสมแรงจนมากพอที่จะทำให้พื้นที่ต่างๆที่ห่างจากชายฝั่งทะเลเกิดการปริแตกเช่นกัน และแรงที่ถ่ายทอดเข้ามา จะไปกระตุ้นหินหลอมเหลวที่อยู่ตามรอยเลื่อนโบราณเกิดการเคลื่อนไหวดันให้แผ่นดินเกิดไหวตัวตามไปด้วย ดังนั้น พื้นที่ที่จะเกิดรอยแยกของแผ่นดินขึ้นก่อนก็จะเป็นบริเวณที่เป็นรอยเลื่อนโบราณที่มีอยู่ตามแหล่งต่างๆทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งแนวรอยเลื่อนโบราณนี้ก็มักเป็นพื้นที่ที่เป็นทางน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ รวมถึงตามหุบเขา ตามที่ราบเชิงเขา หรือตามเขื่อนตามห้วยหนองบึงที่สร้างเพื่อกักน้ำเอาไว้ใช้ หากรอยเลื่อนเหล่านี้ถูกแรงดันให้เคลื่อนไหว ก็จะเกิดการแยกของแผ่นดินซึ่งก็จะพบเป็นรอยแยกของแผ่นดินเป็นทางยาวหลายกิโลเมตร ถ้าบ้านของใครโชคไม่ดีตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อน เมื่อแผ่นดินเกิดแยกตัว บ้านก็จะได้รับความเสียหาย เกิดการทรุดแตกร้าว ซึ่งไม่ควรใช้อยู่อาศัยแล้ว เพราะรอยแยกมันมีแต่จะขยายตัวกว้างออกขึ้นเรื่อยๆ บ้านอาจจะพังลงมาเมื่อใดก็ได้ ถ้าแนวรอยเลื่อนเป็นทางน้ำ หรือเป็นบริเวณเขื่อน ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ ที่สร้างเพื่อกักน้ำเอาไว้ใช้ เมื่อแผ่นดินเกิดแยกตัว น้ำจะไหลลงไปในรอยแยก จะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำ ในเขื่อน ในอ่างเก็บน้ำลดปริมาณลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะแห้งแล้งขาดแคลนน้ำไปทั่วประเทศ แล้วน้ำที่ไหลลงไปในพื้นดินนี้ จะลงไปกัดกร่อนเนื้อดินด้านล่าง ทำให้พื้นดินข้างล่างเป็นช่องโพรง ถ้าเกิดมากๆ พื้นดินด้านบนก็จะยุบตัวลงไปเป็นหลุมเป็นบ่อทั้งหลุมยุบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง รวมทั้งเกิดรอยแยกของพื้นดินใหม่ๆที่ไม่ใช่รอยเลื่อนโบราณเกิดขึ้น บริเวณที่เกิดการยุบตัวของแผ่นดินหรือเกิดรอยแยกก็ไม่ควรอาศัยอยู่เช่นกัน

ส่วนไอเย็นที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง จะรวมตัวกันเป็นมวลอากาศเย็น เคลื่อนตัวแผ่ปกคลุมเข้ามายังบริเวณเส้นศูนย์สูตร มวลอากาศที่เย็นนี้เมื่อเคลื่อนผ่านไปยังที่ใด จะทำให้ไอน้ำในอากาศเกิดการควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ถ้าควบแน่นไม่เร็วนัก จะกลายเป็นน้ำฝนตกลงมา ก็จะทำให้เกิดฝนตกตามพื้นที่ต่างๆ แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาวอยู่ก็ตาม ซึ่งจะทำให้อากาศในฤดูหนาวหนาวเย็นคล้ายกับฤดูหนาวกับฤดูฝนรวมกัน คือถ้าเป็นฤดูหนาวปกติจะหนาวแบบแห้งๆ แล้วก็มีแต่หนาวแต่ไม่ค่อยรู้สึกเย็นเท่าใดนัก แต่เมื่อมวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุมลงมาจะรู้สึกว่าหนาวและเย็นแบบเปียกๆ ถ้าหากมวลอากาศเย็นมีมาก ไอน้ำก็จะควบแน่นเร็วขึ้น กลายเป็นลูกเห็บตกลงมา ถ้าหากมวลอากาศเย็นมีมากไอน้ำควบแน่นอย่างรวดเร็ว ก็จะกลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามในช่วงเวลานี้ เนื้อดินใต้เปลือกโลกถูกกัดเซาะไปมาก ความร้อนจากหินหลอมเหลวจะสามารถแผ่ออกมาจากพื้นดินได้มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิบริเวณผิวโลกสูงขึ้นหลายองศา ลักษณะอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวจะกลับอุ่นขึ้นจนถึงกับร้อน ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังรักษาสุขภาพให้ดี เพราะบนพื้นผิวโลกร้อน แต่อากาศในชั้นบรรยากาศเย็น มนุษย์เราอยู่ตรงกลาง ได้รับทั้งความร้อนจากด้านล่าง และความเย็นจากด้านบน ร้อนเย็นเกิดการปะทะกัน อีกทั้งบางวันร้อนบางวันเย็น ร่างกายปรับตัวไม่ทัน อาจทำให้ป่วยเป็นไข้ไม่สบายได้

นอกจากความร้อนจากหินหลอมเหลว ที่ทำให้สมดุลความร้อนในโลกเสียไป สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะตามมาจากการที่เนื้อดินถูกกัดเซาะและจะเป็นต้นเหตุของการระบาดของโรคไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดเรื้อรังอีกครั้งก็คือ ก๊าซที่ไหลซึมออกมาจากรอยแตก รอยแยก ของแผ่นดิน ทั้งรอยแยกขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ซึ่งได้ไหลซึมออกมาตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวใหม่ๆ และได้ลอยขึ้นมาสะสมในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก๊าซที่ซึมออกมาจากพื้นโลกนี้ จะมีผลเสียต่อเซลล์ร่างกาย คล้ายกับก๊าซพิษที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน เมื่อสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากพอก็จะซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ เข้ามากัดกร่อนผนังเซลล์ เกิดการระคายเคือง จนถึงกับทำลายเซลล์ต่างๆ มีการเน่าเสียข้างใน เมื่อเกิดของเสียขึ้น พวกเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส จุลินทรีย์ ก็เข้ามากินมาย่อยของเสียเหล่านั้น ทำให้เกิดการอักเสบ บวม ของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะปอดจะเกิดการอักเสบก่อนอวัยวะอื่น เพราะได้รับก๊าซพิษก่อนจุดอื่น จากนั้นจะมีอาการตัวร้อนเป็นไข้ตามมา การป่วยเป็นไข้นี้ ถ้าเกิดกับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอแล้วจะอันตรายมาก เพราะอาจป่วยถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาอันสั้นได้ ส่วนผู้ที่มีภูมิชีวิต มีทุนสุขภาพมากพอสมควร ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดแบบเรื้อรัง ป่วยเป็นหวัดนาน กว่าจะหายใช้เวลานานกว่าปกติ ถึงแม้หายป่วยแล้วก็กลับมาป่วยอีก เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น ส่วนอาการอย่างอื่นที่เกิดกับร่างกายแม้ไม่ได้ป่วยเป็นไข้ ก็คือ ร้อนใน หิวน้ำบ่อย แสบร้อนตามผิวกาย ระคายเคืองที่ตา แสบตา หนักตา ตาฟ้าฟาง มึนศีรษะ มือชา เท้าชา แขนขาไม่มีแรง เหนื่อยหอบง่าย หายใจลำบาก เส้นเอ็นกล้ามเนื้อตึงแข็ง ก้มตัวเหลียวหลังลำบาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะมีอาการเหล่านี้มาก


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่19)
6 เส้นแรงแม่เหล็กโลกผันผวน ตัวเร่งการเสื่อมถอย (ต่อ)


ช่วงที่ 3 สถานการณ์ที่ต่อเนื่องจากช่วงที่สอง

เมื่อกระบวนการกัดเซาะเนื้อดินด้านล่างของเปลือกโลกยังดำเนินต่อไปอยู่ เปลือกโลกส่วนที่ถูกกัดเซาะไปแล้วจะถูกแรงกดทับจากน้ำทะเลที่อยู่ด้านบน กดทับดันให้เปลือกโลกทรุดตัวลงเรื่อยๆ สถานการณ์เช่นนี้สามารถสังเกตได้จาก น้ำทะเลรุกเข้าสู่ชายฝั่งลึกเข้ามาเรื่อยๆ เกิดน้ำทะเลท่วมตามเกาะต่างๆ บริเวณที่เป็นยอดภูเขาเมื่อวัดความสูงจากระดับน้ำทะเลจะพบว่าลดลง กระบวนการกัดเซาะเนื้อดินเช่นนี้ก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ ถ้าการกัดเซาะเกิดขึ้นมาก จนเนื้อดินด้านล่างไม่มีแรงพยุง การทรุดตัวจะเกิดเร็วขึ้น ในบางจังหวะอาจเกิดแผ่นดินไหวจนสามารถรู้สึกได้ชัดเจน เพราะแผ่นดินเกิดการทรุดตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เนื้อดินจะถูกกัดเซาะจนหมด เปลือกโลกส่วนที่ถูกกัดเซาะก็จะไม่มีแรงพยุงให้ดำรงอยู่ได้ ก็จะถูกน้ำทะเลกดทับดันให้เปลือกโลกทั้งแผ่นที่ถูกกัดเซาะนั้น ยุบตัวจมลงไปในทะเล ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เป็นทะเลหรือส่วนที่เคยอยู่บนบก ถ้าเป็นแผ่นเดียวกัน ก็จะพากันยุบตัวตามกันหมด ปรากฏการณ์ในตอนนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะมีการถ่ายทอดพลังงานจากการเคลื่อนผ่าน และเสียดสีกันของเปลือกโลกไปทั่วโลก ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ไปทั่วโลก แรงและพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมา จะผลักดันให้เปลือกโลกเกิดการปรับเปลี่ยนสมดุลใหม่ บางเปลือกจะจมลง บางเปลือกที่เคยเป็นทะเลจะถูกยกตัวขึ้นเหนือน้ำทะเล เกิดเกาะ เกิดแผ่นดิน เกิดทวีปใหม่ เกิดการเปลี่ยนตำแหน่งของขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และเกิดแกนโลกใหม่ขึ้นมา

เส้นทางของเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกนี้ ยังมีรายละเอียดอีกหลายประการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่สำหรับภาพรวมหรือภาพสุดท้ายก็จะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่า กว่าที่จะเกิดขึ้น มันจะผ่านเหตุการณ์อะไรบ้าง มีรายละเอียดอย่างไร และเส้นทางหลักๆที่จะนำพาไปสู่จุดสุดท้ายของเหตุการณ์มีอะไรบ้างและเป็นอย่างไร เพราะในบางเส้นทางอาจไม่ต้องรอจนเปลือกโลกถูกกัดเซาะจนหมดก็อาจเกิดการยุบตัวของเปลือกโลกก็ได้ รวมไปถึงการที่เปลือกโลกบริเวณใดที่จะยุบตัว หรือ บริเวณใดจะยกตัวก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่จะได้นำมากล่าวถึงในโอกาสต่อไป


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
ตอบกระทู้


 แสดงความคิดเห็น
เรื่อง :
รายละเอียด*: 

ใช้ html ได้ 
(เฉพาะที่กำหนดให้) 

ใช้ bbcode ได้  
ใช้ space bar ได้  
(เฉพาะรายละเอียด) 



กรุณาล็อกอินเข้าระบบก่อนครับ

Creative Commons License