มิตรไมตรีเลิศล้ำ วัฒนธรรมอลังการ สืบสานตำนานทรงคุณค่า อีสานจุฬาฯร่วมใจอนุรักษ์

กระดานสนทนา ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โสเหล่ เฮฮา กับสภาไนบักขามคั่ว

ตั้งกระทู้ใหม่
50) วิกฤตโลก วิกฤตสุขภาพ
 
1 โรครุมโลก

ปัญหาสุขภาพของคนเราในปัจจุบัน เมื่อประมวลดูในภาพรวมแล้ว มีประเด็นสำคัญอยู่ประการเดียวคือ ปัญหาการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายเร็วกว่าเวลาอันควร ปัญหานี้ไม่เพียงทำให้คนเราส่วนใหญ่ดูมีหน้าตาที่แก่กว่าอายุจริงเท่านั้น แต่การเสื่อมของเซลล์เร็วกว่าปกติ มีผลต่อการเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมายจากการศึกษาทางชีววิทยา พบว่าเซลล์ในร่างกายของมนุษย์เรา สามารถมีอายุยืนยาวได้มากที่สุดถึง 150 ปี ซึ่งก็หมายถึงอายุขัยของชีวิตคนเราด้วยเช่นกัน

แต่จากรายงานผลสำรวจโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี พ.ศ.2543 พบว่า อายุขัยโดยเฉลี่ยของผู้ชายไทย อยู่ที่ 71.1 ปี ส่วนของคุณผู้หญิงอยู่ที่ 76.1 ปี ส่วนรายงานผลสำรวจล่าสุดเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2546 พบว่า อายุขัยโดยเฉลี่ยของผู้ชายไทย อยู่ที่ 67.9 ปี ส่วนของคุณผู้หญิง 75 ปี จะเห็นได้ว่าอายุขัยเฉลี่ยจากการวิจัย น้อยกว่า อายุขัยที่ชีวิตเราสามารถไปถึงได้ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว อายุขัยเฉลี่ยที่น้อยนี้เป็นตัวบอกถึงการเสื่อมของเซลล์ ว่าเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าอายุขัยของเราจะลดลงเรื่อยๆ ในช่วงทศวรรษ 1960 คือเมื่อ 40 กว่าปีก่อน มีผู้คนทั่วโลก30% ที่ป่วยแล้วเสียชีวิตจาก โรคเสื่อมถอย (Degenerative disease)

แต่ปัจจุบันมีคนป่วยและเสียชีวิตจากโรคเสื่อมถอยมากถึง 60% โรคเสื่อมถอยนี้เป็นชื่อเรียก กลุ่มของโรค ที่เกิดขึ้นเพราะอวัยวะภายในร่างกายเสื่อมประสิทธิภาพการทำงานลงไป เนื่องจากเซลล์ในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ยกตัวอย่างโรคที่อันตราย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง โรคความดันสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคนิ่วในในไต โรคมะเร็งที่เกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก โรคไต โรคตับแข็ง เป็นต้น ส่วนโรคที่ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่เป็นแล้วสุขภาพก็แย่เช่นกัน เช่น โรคภูมิแพ้ ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคหืดหอบ โรคกระเพาะอาหาร ไมเกรน ไซนัส ริดสีดวงทวาร โรคกระดูกเสื่อม และโรคความจำเสื่อม เป็นต้น

สถานการณ์การเจ็บป่วยดังกล่าว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ในขณะที่ความรู้ทางการแพทย์ของเราพัฒนาขึ้นมามากแต่ ทำไม? ผู้คนที่ป่วยด้วยโรคเสื่อมถอย เมื่อเป็นแล้วก็มักจะหายยาก มักเป็นอย่างเรื้อรังและเสียชีวิตไปในที่สุด และเสียชีวิตมากขึ้นถึงสองเท่าในช่วงเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น เรายังต้องเผชิญกับโรคร้ายใหม่ๆ ที่ยากแก่รักษา เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียาที่จะรักษาได้อย่างจริงจัง แม้จะวิจัยและพัฒนามาหลายปีแล้ว รวมทั้ง โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ ซารส์ และล่าสุด โรคไข้หวัดนก ซึ่งได้สร้างปัญหาอย่างมากทั้งด้านสุขภาพ และด้านเศรษฐกิจ

เอกสารการใช้พลังจิตและพลังพีระมิดเพื่อดูแลสุขภาพนี้ เป็นการนำเสนอแนวคิด แนวปฏิบัติ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการดูแลผู้ป่วย ที่ป่วยด้วย โรคเสื่อมถอย โรคเอดส์ โรคซารส์ โรคไข้หวัดนก รวมถึงเป็นทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สำหรับผู้ที่รักสุขภาพทุกท่าน ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นความรู้ที่ผู้จัดทำได้เรียบเรียงรวบรวมขึ้นจากจิตทัศน์ หรือ ญาณทัศนะ ของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา จนบรรลุถึงขอบเขตสภาวะจิต ที่จิตมีศักยภาพสามารถรู้เรื่องราวต่างๆที่ต้องการจะรู้ได้ โดยไม่ต้องนึกคิด เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเดิมของจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดต่างๆ ความรู้จากญาณทัศนะนี้ปกติในทางธรรมแล้วเป็นไปเพื่อใช้ละอนุสัยกิเลสในจิตใจเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงสุดเฉพาะตน แต่ความรู้และความเป็นไปของโลกและของสรรพสัตว์ก็สามารถจะล่วงรู้ได้เช่นกัน เมื่อมีเหตุที่จะต้องใช้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ

ปัญหาสุขภาพ เป็นปัญหาหนึ่งที่ต่อไปในอนาคตที่ไม่ไกลนี้ ผู้คนจะได้รับทุกขเวทนามากจากโรคภัยไข้เจ็บ ขณะที่วิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็จะตามพัฒนาการของโรคภัยไม่ทัน ดังนั้น ความรู้จากญาณทัศนะนี้คือทางลัด ทางเลือก หรือ ทางออก เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความรู้เรื่องสุขภาพจากสภาวะจิตดังกล่าวได้นำมาใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งตั้งแต่ ปี 2524 และได้มีการพัฒนาองค์ความรู้นี้ เพื่อใช้บำบัดโรคอื่นๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการนำไปใช้บำบัดผู้ป่วยโรคเสื่อมถอยต่างๆ รวมถึงผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยจากโรคเอดส์ โรคซารส์ โรคไข้หวัดนก อีกทั้งผู้ติดสารเสพติด ตลอดจนได้มีการทดสอบ ทดลองความรู้ที่ได้ในระดับห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์หลายครั้ง จึงมั่นใจว่า เป็นความรู้ที่สามารถแก้ปัญหาสุขภาพให้แก่ผู้คนได้ เพราะได้ปรับประยุกต์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาที่สาเหตุที่แท้จริงของโรค ผลการบำบัดจึงเป็นที่น่าพอใจมาก

ข้อมูลที่จะนำเสนอนี้ ประกอบด้วยความรู้เรื่องสาเหตุและปัจจัยที่เป็นภาพใหญ่ ภาพรวมของการเกิดโรคต่างๆ และ วิธีการแก้ปัญหาสุขภาพที่ยังไม่มีใครเคยนำเสนอมาก่อน


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่1)
2 เมื่อโลกป่วย

ารเจ็บป่วยที่แสดงออกทางร่างกาย ดังเช่น อาการของโรคเสื่อมถอยรวมถึงโรคอื่นๆนั้น มิได้เสื่อมถอยเพียงแค่ระดับสสารวัตถุที่เป็นโครงสร้างและอวัยวะต่างๆของร่างกายที่มองเห็นและสัมผัสได้เท่านั้น แต่การเสื่อมถอยได้เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่ระดับพลังงานในร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานภายในโลก พลังงานที่สำคัญ ประกอบด้วยกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า พลังลมปราณ และเส้นแรงแม่เหล็กโลก เหตุที่มีความสำคัญก็เพราะพลังงานทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อสุขภาพร่างกายของเรามาก และ เป็นพลังงานที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ แกนโลก ของโลกเราด้วย

พลังลมปราณ เป็นพลังชีวิตของร่างกายที่เราได้รับมาจากพ่อแม่เมื่อเรายังอยู่ในท้องของแม่ และได้รับจาก อาหาร น้ำ อากาศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เมื่อเราคลอดออกมาแล้ว แหล่งกำเนิดของพลังจะมาจากศูนย์กลางดาราจักร (กาแลกซี่) ทางช้างเผือกที่โลกและระบบสุริยจักรวาลของเราอาศัยอยู่ สภาพของลมปราณนั้นมีลักษณะเป็นพลังงานแสงสว่างที่ละเอียดกว่าแสงที่เราเห็นด้วยตาเปล่า จะสามารถเห็นและสัมผัสได้ในขณะจิตรวมเป็นสมาธิ ลมปราณมีช่วงของแสงสีอยู่หลายสี แสงสีที่ดีและสำคัญต่อสุขภาพของเราประกอบด้วย สีเหลือง สีขาว และแสงที่ใสไม่มีสี โดยแสงสีเหลืองจะดีต่อสุขภาพกาย แสงสีขาวจะดีต่อสุขภาพใจ แสงใสไม่มีสีไปจนถึงสภาพพลังที่เรียกว่า ความว่าง จะดีต่อสุขภาพจิต

ลมปราณแสงสีเหลือง เมื่อเคลื่อนมาจากศูนย์กลางดาราจักรจะเข้ามาสะสมพลังกันไว้มากที่ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังลมปราณธาตุร้อน หรือธาตุไฟ เป็นพลังลมปราณที่มีความสัมพันธ์กับเลือดและร่างกาย เพราะเป็นพลังขับเคลื่อนการไหลเวียนของเลือด ถ้าลมปราณในร่างกายไหลเวียนเป็นปกติ เลือดก็จะไหลเวียนดี เลือดก็จะนำสารอาหารเข้าเซลล์ได้ดี ได้ลึก และสามารถนำเอาของเสียออกจากเซลล์ได้ดีเช่นกัน และในขณะเดียวกันเลือดจะเป็นตัวสร้างลมปราณให้แก่ร่างกายด้วย

ลมปราณแสงสีขาว เมื่อเคลื่อนมาจากศูนย์กลางดาราจักรจะเข้ามาสะสมพลังกันไว้มากที่ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นพลังลมปราณธาตุเย็น หรือธาตุน้ำ เป็นพลังลมปราณที่ทำให้เกิด สภาพรู้ เช่น รู้ความรู้สึก รู้อารมณ์ รู้การกระทบสัมผัส รู้ความนึกคิด รู้ความหมาย รู้สำนึก เป็นต้น

ลมปราณแสงใสไร้สี เป็นสภาพพลังที่ละเอียดที่รองรับความมีอยู่ เป็นอยู่ของทั้งลมปราณแสงสีเหลืองและสีขาว เป็นสภาพพลังที่เป็นต้นกำเนิดของความนึกคิด ส่วนพลังที่ละเอียดลึกเข้าไปกว่าลมปราณใสไร้สี ก็คือสภาพพลังความว่าง ซึ่งเป็นสภาพที่รองรับความมีอยู่เป็นอยู่ของทุกสรรพสิ่งไว้

เส้นแรงแม่เหล็กโลก เป็นเส้นแรงแม่เหล็กที่ไหลเวียนอยู่ในโลก แหล่งกำเนิดก็มาจากศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือก เส้นแรงแม่เหล็กนี้จะทำหน้าที่เชื่อมโยงดาวโลกของเรากับศูนย์กลางดาราจักรไว้ สำหรับเส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในโลกนี้ มีรูปแบบการเคลื่อนที่อยู่หลายแบบที่สอดแทรกประสานกันอยู่ คือ เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งรอบผิวโลกจากขั้วโลกใต้ขึ้นไปหาขั้วโลกเหนือตั้งแต่ระดับพื้นผิวโลกขึ้นไปจนถึงระดับชั้นบรรยากาศ และจะเคลื่อนทะลุขั้วโลกเหนือผ่านแกนโลกมายังขั้วโลกใต้สุด เป็นเส้นทางสายหลักที่เส้นแรงแม่เหล็กใช้เคลื่อนที่ไปทุกพื้นที่บนโลกและบนชั้นบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา (ดูรูป2.1) รูปแบบนี้เกิดขึ้นมากที่สุด เป็นเส้นทางสายหลักที่เส้นแรงแม่เหล็กใช้เคลื่อนที่ไปทุกพื้นที่บนโลกและบนชั้นบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา

รูปแบบอื่นนอกเหนือจากนี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่ บางเวลาเท่านั้น ประกอบด้วย เคลื่อนที่ในลักษณะหมุนเป็นเกลียวสว่านลงไปในโลก , หมุนเป็นเกลียวสว่านขึ้นไปสู่อวกาศ , หมุนเกลียวจากขั้วโลกใต้ขึ้นไปขั้วโลกเหนือ และหมุนเป็นเกลียวจากขั้วโลกเหนือลงไปขั้วโลกใต้ เป็นต้น การเคลื่อนของเส้นแรงแม่เหล็ก จะก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกเอาไว้ เพื่อป้องกันโลกจากรังสีจากอวกาศ เช่นพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์ (ดูรูป2 .2) แล้วที่สำคัญก็ยังเป็นสิ่งคอยขับเคลื่อนกระแสลมปราณในโลกให้เคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนลมปราณในร่างกายของคนเราด้วย


ภาพ 2.1 เส้นทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็กโลก
http://jclahr.com/science/earth_science/dipole/mag_field.html


ภาพ 2.2 สนามแม่เหล็กโลกปกป้องโลกจากพายุสุริยะ


แกนโลก (Planet Axis) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เท่าที่ได้ศึกษากันมาเกี่ยวกับแกนของโลกนี้ ยังไม่กระจ่างมากนัก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเจาะเข้าไปดูแกนโลกให้เห็นจริงได้ แต่ข้อมูลล่าสุดเท่าที่มีอยู่และที่นำมาใช้ประโยชน์ก็คือ จะแบ่งแกนโลกและเรียกชื่อ ออกเป็น 2 แบบ คือแกนโลกทางภูมิศาสตร์ และ แกนโลกแม่เหล็ก

แกนโลกทางภูมิศาสตร์ (Geographic Axis) คือ แกนโลกสมมุติ ที่สมมุติให้ผ่านขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นแกนการหมุนรอบตัวเองของโลก

แกนโลกแม่เหล็ก (Geomagnetic Axis) หมายถึง แกนโลกที่เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของธาตุโลหะร้อนที่อยู่ในสถานะของไหล ที่ไหลวนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก โดยแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ เป็นธาตุโลหะประเภทที่เป็นตัวนำไฟฟ้า เมื่อมันไหลไปไหลมา จึงเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นตามหลักของฟาราเดย์ คือ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหล สนามแม่เหล็กก็เกิดขึ้นมาเป็นของคู่กัน ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จึงสรุปการเกิดของสนามแม่เหล็กของโลกด้วยเหตุนี้(ภาพ2.3) ซึ่งอิทธิพลหลักที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหะร้อนก็คือแรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองของโลก

ในทางวิทยาศาสตร์ยังถือว่าแกนโลกแม่เหล็ก เป็นแกนโลกสมมุติอยู่ เพราะ การไหลเวียนของธาตุโลหะร้อนนี้เป็นการไหลที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่เท่ากันตลอด โดยจะไหลเป็นกระแสวนทำให้กระแสวนบางแห่งแยกเป็นอิสระจากกัน(ภาพ2.3) เนื่องจากการไหลไม่สม่ำเสมอนี้เองทำให้ทิศทางการไหลเวียนของเส้นแรงเปลี่ยนแปลงไปได้(ภาพ2.4) และผลที่ตามมาก็คือ เมื่อใช้เข็มทิศตรวจหาทิศเหนือ เข็มทิศอาจจะไม่ชี้ไปทางทิศเหนืออย่างเที่ยงตรง ในบางเวลาอาจมีการเบี่ยงเบนไปบ้างเล็กน้อย สำหรับหาทิศอย่างแม่นยำ เพื่อใช้ในการนำร่องเครื่องบิน หรือการเดินเรือ ซึ่งต้องหาค่าที่เที่ยงตรงจริงๆ ก็มีองค์กรนานาชาติที่รับผิดชอบติดตามค่ามุมนี้ในภูมิภาคต่างๆของโลก ที่จะบอกตำแหน่งทิศเหนือที่แท้จริงที่ไม่ถูกเบี่ยงเบนจากการไหลเวียนที่ไม่สม่ำเสมอของโลหะร้อน ซึ่งในปัจจุบันมีองค์กรในหลายๆ ประเทศ ที่จัดหาซอฟแวร์ให้บริการออนไลน์ได้ทันที

สำหรับแนวการวางตัวของ แกนโลกทางภูมิศาสตร์กับแกนโลกแม่เหล็กจะอยู่ห่างกันประมาณ 11.5 องศา (ภาพ2.5)


ภาพ 2.3 ภาพจำลองการไหลเวียนของธาตุโลหะร้อนภายในโลกซึ่งทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก
http://geomag.usgs.gov/images/faq/Q6.jpg



ภาพ 2.4 แผนภาพแสดงการเบี่ยงเบนของเส้นแรงแม่เหล็กโลกตามภูมิภาคต่างๆ
http://wps.prenhall.com/wps/media/objects/1351/1384326/image/earth_mag_map.gif



ภาพ 2.5 แสดงแนวการวางตัวของแกนโลกทางภูมิศาสตร์ กับแกนโลกแม่เหล็ก
http://wps.prenhall.com/wps/media/objects/1351/1384326/image/earth_magnetic_axis.gif


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่2)
2 เมื่อโลกป่วย(ต่อ)

นอกจากแกนโลกทั้งสองที่ได้กล่าวถึงแล้ว ยังปรากฏว่ามีแกนโลกอีกแกนหนึ่ง ที่พบโดยการศึกษาทางสมาธิจิต ได้เรียกชื่อว่า แกนโลกพลังงาน (Energy Axis) เป็นแกนที่ประกอบขึ้นด้วย พลังลมปราณ และพบว่าเป็นแกนที่มีความสำคัญมาก เพราะสภาพของแกนพลังงานนี้ จะอยู่ซ้อนทับกับแกนโลกแม่เหล็ก พฤติการณ์และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแกนพลังงานนี้ พบว่ามีผลต่อความเป็นไปของทั้งแกนโลกทางภูมิศาสตร์ กับ แกนโลกแม่เหล็ก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์บนโลก

การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้นกับแกนโลกที่จะได้กล่าวถึงต่อไป ก็จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระดับของแกนโลกพลังงานเป็นสำคัญ โดยจะได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเส้นแรงแม่เหล็กและพลังลมปราณที่จะส่งผลต่อแกนโลกพลังงาน ซึ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์กันดังนี้

ทั้งลมปราณและเส้นแรงแม่เหล็กโลกปกติแล้วมักจะเคลื่อนที่ไปด้วยกัน โดยลมปราณจะเกาะห่อหุ้มเส้นแรงเอาไว้ การไหลเวียนของกระแสลมปราณและเส้นแรงแม่เหล็กโลกนี้มีความสัมพันธ์กับการหมุนรอบตัวเองของโลก เพราะการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้โลกเกิดการเคลื่อนไหว ทั้งหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ และในทางกลับกัน แรงเหวี่ยงจากการหมุนของโลกที่เกิดขึ้น ก็จะไปเหนี่ยวนำให้ลมปราณและเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนไหวไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นจากการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ เป็นแรงเหวี่ยงสำคัญที่ทำให้กระลมปราณเคลื่อนไหว และเป็นแรงชักนำลมปราณให้ไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์(ภาพ2.6) ดังนั้น ถ้าแรงเหวี่ยงจากการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลกเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของลมปราณในโลกและในร่างกายของมนุษย์เรา


ภาพ 2.6 แสดงการหมุนแกว่งตัวของแกนโลก


ปัจจุบันนี้ แรงเหวี่ยงจากการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลกดังกล่าว ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว โดยได้เริ่มเกิดขึ้น หลังจากเกิดการสะสมของมลภาวะ จากการที่มนุษย์นำน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้งาน ร่วมกับการนำพลังงานนิวเคลียร์และสารซีเอฟซีมาใช้ ผลกระทบต่อการหมุนของแกนโลกจากการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ มีดังนี้

ควันน้ำมันและก๊าซที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ จะลอยขึ้นไปเพิ่มน้ำหนักบนชั้นบรรยากาศ และจะถูกการหมุนของโลกเหนี่ยวนำให้ไปรวมกันบริเวณขั้วโลก รังสีที่ปลดปล่อยจากธาตุกัมมันตรังสี ที่นำมาใช้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์ จะเป็นพลังงานคู่ตรงข้ามกับลมปราณ ลมปราณนั้นเป็นธาตุความเกิด กัมมันตภาพรังสีเป็นธาตุความดับ เมื่อสองธาตุนี้โคจรมาพบกันก็จะทำลายซึ่งกันและกัน ดังนั้น ถ้ามีการใช้พลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น ในชั้นบรรยากาศก็จะมีธาตุความดับมากขึ้น แล้วธาตุความดับก็จะไหลกระจายตัวลงมาทำลายปราณและทำลายเซลล์ของมนุษย์และสัตว์

สารซีเอฟซี ที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะระเหยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนทำให้เกิดช่องว่างของชั้นบรรยากาศ เชื้อโรคที่เคยอยู่แต่บนชั้นบรรยากาศสูงๆก็จะเคลื่อนตัวลงมายังผิวโลก เชื้อโรคเหล่านี้ทำให้เกิดโรคใหม่ๆขึ้น อีกทั้งรังสีอัลตราไวโอเลตก็สามารถส่องทะลุมายังผิวโลกได้ โดยเฉพาะบรรยากาศชั้นโอโซนเหนือประเทศไทยเราได้ถูกทำลายหมดไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2542

ทั้งควันน้ำมัน กัมมันตภาพรังสี สารซีเอฟซี จะถูกแรงเหวี่ยงจากการหมุนของโลกเหนี่ยวนำให้ไปรวมกันบริเวณขั้วโลกทั้งสองขั้ว ทำให้มวลของชั้นบรรยากาศบริเวณดังกล่าวมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปหน่วงการหมุนแกว่งตัวของแกนโลก ยิ่งไปกว่านั้น สารซีเอฟซี และ ธาตุความดับจากกัมมันตภาพรังสี จะเคลื่อนที่ทะลุเข้าไปในแกนโลกแล้วเข้าไปทำลายพลังลมปราณซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของแกนโลก เมื่อพลังลมปราณในแกนโลกลดลง แรงหมุนแกว่งตัวของแกนโลกจึงอ่อนกำลังลงไป

แกนโลกบริเวณขั้วโลกนี้ ตามปกติในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองจะมีการหมุนแกว่งตัวเป็นวงกว้าง แต่เมื่อมีสิ่งที่ไปหน่วงการหมุน และพลังงานของแกนถูกทำลายไป รัศมีการแกว่งตัวจึงลดลงเรื่อยๆ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 รัศมีการแกว่งตัวของแกนโลกบริเวณขั้วโลก เหลือเท่ากับศูนย์หรือไม่มีการหมุนแกว่งตัวของแกนอีกแล้ว (ภาพ2.7) ดังนั้นแรงเหวี่ยงที่คอยขับเคลื่อนกระแสลมปราณในโลก และชักนำลมปราณให้ไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จึงหมดไป การไหลเวียนของกระแสลมปราณในโลก และในร่างกายมนุษย์ จึงอ่อนกำลังลง จนแทบไม่มีการเคลื่อนไหวเลย


ภาพ 2.7 รัศมีการหมุนแกว่งตัวของแกนโลกหมดไป


ผลที่เกิดกับโลกของเรา จากปรากฏการณ์ทั้งหลายก็คือ ทิศทางการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไป การไหลเวียนไม่เป็นระเบียบดังก่อน ทำให้สภาพลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนฤดูกาลไม่ตรงตามช่วงเวลาที่เคยเป็นมา เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง เช่น เกิดลมพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดคลื่นความร้อน สัตว์ที่เดินทางด้วยการใช้เส้นแรงแม่เหล็กโลกนำทาง เช่น ปลาวาฬ ปลาโลมา เดินทางผิด พากันไปเกยหาดตายกันเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญก็คือเกิด แสงเฉื่อย และ ลมปราณพิษขึ้น ซึ่งทั้งแสงเฉื่อยและลมปราณพิษนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคเอดส์ โรคซารส์ และโรคไข้หวัดนก


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่3)
น่าคิดนะครับ  อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ เท็จจริงอย่างไร
ขึ้นอยู่กับข้อมูลหลักฐาน นับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่ใหม่
เพราะศึกษากันมานานพอควร  ก็เป็นแนวทางหนึ่งสำหรับผู้แสวงหาต่อไป
 คห.ที่4)
3 เมื่อโลกป่วย คนก็ป่วย

ส่วนผลที่เกิดกับมนุษย์นั้นมีผลต่อทั้ง สุขภาพร่างกายและจิตใจ ในด้านสุขภาพร่างกาย ระบบการไหลเวียนเลือด กับระบบการหายใจจะเสื่อมประสิทธิภาพการทำงานลงไปเป็นระบบแรกๆ แล้วส่งผลต่อระบบอื่นๆติดตามมาในภายหลัง

ผลต่อระบบการไหลเวียนเลือด เนื่องจากลมปราณคือพลังการไหลเวียนของเลือด เมื่ออ่อนกำลังลงอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด เช่น หัวใจ ก็จะทำงานเสื่อมถอยลงไป คือ ทำให้หัวใจมีแรงสูบฉีดเลือดลดลง การไหลเวียนของเลือดก็อ่อนกำลังลงตามไปด้วย เมื่อการไหลเวียนของเลือดอ่อนกำลังลง การนำสารอาหาร นำอากาศ เข้าสู่เซลล์ จึงทำได้ไม่ดี เซลล์ที่อยู่ลึกหรืออยู่ไกลจากหัวใจก็จะได้รับสารอาหาร ได้รับอากาศไม่เต็มที่ เซลล์ก็จะอ่อนแอและเสื่อมถอยเร็ว ในขณะที่การนำเอาของเสียออกจากเซลล์พร้อมกับเลือดก็ทำได้ไม่ดีเช่นกัน เพราะแรงดันของเลือดเข้าไม่ถึงเซลล์ที่อยู่ลึก ดังนั้นของเสียและสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ทั้งที่เกิดขึ้นจากขบวนการทำงานของร่างกายเอง และรับมาจาก อาหาร น้ำ อากาศ จึงเกิดการสะสมตกค้างในร่างกายเรื่อยๆ ยิ่งสะสมไปนานๆ ความเป็นพิษก็จะยิ่งมีมาก ทำให้เซลล์ที่มีของเสียและสารพิษตกค้างอยู่นั้นถูกทำลายจนเสื่อมสภาพ แล้วการเสื่อมสภาพก็จะลุกลามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเซลล์ และอวัยวะนั้นๆ ทำงานผิดปกติ เกิดความเจ็บป่วย ในที่สุดก็ป่วยเป็นโรคเสื่อมถอยต่างๆ ยก ตัวอย่างเช่น

หากของเสียหรือสารพิษสะสมมากที่ต่อมไร้ท่อซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนก็จะทำให้การหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ ฮอร์โมนอาจหลั่งมาน้อย หรือมากกว่าปกติ ฮอร์โมนนี้เป็นสารเคมีที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก เป็นสารเคมีที่คอยควบคุมการทำงานของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายอย่างเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างต่อมไร้ท่อที่สำคัญ เช่น ตับอ่อน มีหน้าที่หลั่งน้ำย่อยไปยังลำไส้เล็ก เพื่อใช้ย่อยและดูดซึมสารอาหาร และที่สำคัญ ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน เพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อใดตับอ่อนทำงานไม่ดี หลั่งอินซูลินออกมาน้อยกว่าปกติเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จนป่วยเป็นโรคเบาหวานได้ ต่อมฮอร์โมนที่สำคัญที่สุด คือ ต่อมใต้สมอง หรือ ต่อมพิจูอิตารี่ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของต่อมอื่นๆ อีกหลายต่อมในร่างกาย เช่น ในผู้หญิงจะควบคุมการสร้างฮอร์โมน การมีรอบเดือนของผู้หญิง หากการหลั่งฮอร์โมนมีปัญหาแล้ว การมีรอบเดือนก็จะผิดปกติไป สำหรับในผู้ชายหากต่อมพิจูอิตารี่ทำงานผิดปกติก็จะทำให้มีปัญหาในเรื่องหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นต้น

ไขกระดูก ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่หลักในการลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่เป็นระบบภูมิคุ้มกัน ให้แก่ร่างกาย และพลาสมาหรือ น้ำเลือด ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารเข้าและออกจากเซลล์ หากไขกระดูก เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำเลือด มีสารพิษปะปนแล้ว ก็จะมีผลให้เกิดโรคเสื่อมถอยเกี่ยวกับระบบเลือด เช่น โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งในเม็ดเลือด โรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันสับสน หรือโรคSLE ซึ่งโรคเหล่านี้ได้คร่าชีวิตคนไปเป็นจำนวนมาก

ระบบทางเดินอาหาร อวัยวะที่เกี่ยวข้องก็ประกอบด้วยกระเพาะทำหน้าที่ย่อยอาหาร ลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหาร และลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่ขับถ่ายกากอาหารออกไป ถ้าระบบทางเดินอาหารสะสมสารพิษไว้มาก จนเซลล์เสื่อมถอยลงไป เซลล์ที่เสื่อมลงจนถึงที่สุดแล้วมันก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ดังนั้น โรคที่อันตรายสำหรับระบบย่อยและดูดซึมซึ่งปัจจุบันคนก็เป็นกันมาก ก็คือโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่

สำหรับผลต่อระบบการหายใจ เมื่อแรงเหวี่ยงของลมปราณลดลง แรงดันจากภายนอกที่จะดันลมปราณกับอากาศเข้าสู่ปอดก็จะลดลงไปด้วย ทำให้การหายใจตามปกติในแต่ละครั้ง ปอดจะขยายตัวน้อยลงกว่าเดิม ส่งผลให้การหายใจในแต่ละครั้งรู้สึกไม่เต็มอิ่ม รู้สึกอึดอัด ลมหายใจตื้น รู้สึกว่าลมหายใจลงไปไม่ลึกถึงท้อง คือลงไปเพียงแค่คอเท่านั้น แม้จะพยายามสูดลมหายใจให้แรงขึ้นเพื่อคลายความอึดอัด จนลมเข้าไปได้ลึกแล้วก็ตาม แต่ก็พบว่าคลายความอึดอัดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้สึกอึดอัดยังคงมีอยู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลมปราณไม่ได้ตามลมหายใจเข้ามาด้วย การหายใจจึงได้เพียงแต่อากาศแต่ไม่ได้พลังงาน แล้วการพยายามหายใจให้แรงหรือลึกขึ้นก็ต้องใช้แรงสูดลมมากกว่าปกติ พอทำได้ไม่กี่ครั้งก็จะรู้สึกเหนื่อย ผลของการหายใจที่ตื้นไม่เต็มอิ่มนี้จะมีผลโดยตรงต่อระบบเลือด เพราะระบบการหายใจกับระบบเลือดนั้นทำงานสัมพันธ์กัน โดยทั้งน้ำเลือด (Plasma) กับเม็ดเลือดแดง และกับน้ำที่อยู่ในเส้นเลือด จะไปรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย แล้วลำเลียงมาที่ปอดเพื่อปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากร่างกายพร้อมกับลมหายใจออก เมื่อหายใจเข้า เม็ดเลือดแดงก็จะมารับก๊าซออกซิเจนที่เข้ามาพร้อมกับลมหายใจเข้า นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย การหายใจที่ตื้นจึงทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนลดลง ทำให้เซลล์ในร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เป็นผลให้เซลล์ในร่างกายอ่อนแอลงและเสื่อมถอยได้ง่าย ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับปอดกับระบบการหายใจนี้ จะมีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อลมปราณพิษเกิดขึ้นในโลก


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่5)
4 ป่วยง่ายตายเร็ว

ดิมการเจ็บป่วยด้วยโรคเสื่อมถอยต่างๆนั้น หากนับระยะเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยจนเสียชีวิต ยังมีช่วงเวลาที่ยาวนานอยู่พอควร เช่น รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าอีก 3 วัน 7 วัน จะเสียชีวิตไปทันที เพราะการป่วยด้วยโรคกลุ่มนี้ ร่างกายจะค่อยๆเสื่อมถอยลงไปทีละน้อย อาการของโรคก็จะแสดงออกแบบค่อยเป็นค่อยไป จนเมื่อถึงจุดที่เสื่อมมากจริงๆ อาการของโรคถึงจะปรากฏอย่างชัดเจน และสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วยอย่างมากจนเสียชีวิตไปในที่สุด แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งโลกพัฒนาขึ้น โรคมันก็พัฒนาตามมาด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เกิดโรคที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ในเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ โรคเอดส์ จนมาถึงโรคซารส์ และโรคไข้หวัดนก

โรคทั้งสามนี้ทางการแพทย์ได้ศึกษาค้นคว้าจนสรุปว่า ล้วนมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ คือ

เชื้อไวรัสเอชไอวี(HIV)เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ เชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus) เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซารส์ และเชื้อไวรัส Avian Influenza type A ชนิด H5N1 เป็นสาเหตุของโรคไข้หวัดนก

เมื่อสรุปว่าสาเหตุของโรคมาจากเชื้อไวรัส วิธีการรักษาที่ได้กระทำมาเป็นแบบแผน ก็คือต้องพยายามศึกษาค้นคว้าหาตัวยาเพื่อใช้กำจัดเชื้อไวรัสออกไปจากร่างกาย หรือไม่ก็ต้องวิจัยหาวัคซีนสำหรับใช้ป้องกัน แต่ความพยายามก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยวัคซีนสำหรับโรคเอดส์ จนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มียาหรือวัคซีนที่สามารถนำมาใช้กับผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อได้อย่างจริงจัง เหตุที่ยังไม่สำเร็จ เพราะพบปัญหาว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์ และสามารถกลายพันธุ์ได้เร็วอีกด้วย วัคซีนที่ผลิตขึ้นมาจึงพัฒนาไม่ทันกับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส

เกี่ยวกับเรื่องโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสนี้ มีข้อสังเกตที่ เมื่อพิจารณาดูเราจะพบความจริงว่า แม้แต่โรคที่เราคุ้นเคยกันดีคือไข้หวัด ก็ยังไม่มียาหรือวัคซีนสำหรับใช้รักษาโดยตรง แล้วโรคที่ร้ายแรงกว่าไข้หวัดอย่างโรคเอดส์จะมียาหรือวัคซีนได้อย่างไร แล้วเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็เป็นเชื้อโรคที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ทำไมจึงเพิ่งมาแสดงตัวและทำร้ายมนุษย์จนป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ความรู้ที่ได้จาก ญาณสมาธิ เกี่ยวกับโรคทั้งสามนี้ พบว่า การเกิดขึ้นของโรคมีเหตุปัจจัยที่ประกอบกันอย่างสลับซับซ้อนและเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างมีพัฒนาการ

เริ่มตั้งแต่โรคเอดส์เกิดขึ้นมาได้เพราะมีสิ่งไปทำให้ลมปราณและเลือดในร่างกายของมนุษย์ไหลเวียนช้าลงไปอีก จนภูมิคุ้มกันร่างกายของมนุษย์อ่อนแอลง และในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ไปทำให้เชื้อโรคชนิดต่างๆแข็งแรงขึ้น ดังนั้นสาเหตุของโรคเอดส์ที่แท้จริงจึงมิใช่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสต่างๆที่ตรวจพบนั้นเป็นสิ่งที่มาทีหลัง เชื้อสามารถเข้ามาในร่างกายและอาศัยอยู่ในร่างกายได้หลังจากภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลงแล้ว และใช้ร่างกายที่อ่อนแอเป็นที่ฟักตัวจนเชื้อแข็งแรงขึ้น

ในประเด็นนี้เราจะพบว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์มิได้เสียชีวิตเพราะเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่เสียชีวิตจากเชื้อโรคชนิดอื่น และจากโรคเสื่อมถอยชนิดต่างๆที่เกิดแทรกซ้อนขึ้นมา อีกทั้งผู้ที่ติดเชื้อก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นเดียวกับคนปกติ ไม่เสียชีวิตเพราะการติดเชื้อเสมอไป ถ้าสามารถรักษาภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ

สิ่งที่ไปหน่วงการไหลเวียนลมปราณและเลือดในร่างกายให้ไหลเวียนช้าลงอีก และทำให้เชื้อโรคชนิดต่างๆแข็งแรงขึ้นนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า แสงเฉื่อย ซึ่งเกิดขี้นมาจากการเสียสมดุลของระบบถ่ายเทความร้อนภายในโลก ที่เกิดสะสมมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก(Green House Effect) โดยมีกลไกการเกิดขึ้น ดังนี้

การหมุนเวียนและถ่ายเทความร้อนภายในโลกก่อนที่ปรากฏการณ์เรือนกระจกจะเกิดขึ้นนั้น เมื่อโลกได้รับแสงและคลื่นความร้อนจากดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน การถ่ายเทความร้อนเกิดขึ้นโดยแสงและคลื่นความร้อนที่เดินทางเข้ามา จะสะท้อนกับผิวโลก แล้วเคลื่อนออกไปสู่อวกาศเข้ามาแล้วออกไป เข้ามาแล้วก็ออกไป เป็นปกติ มีความสมดุล เพราะชั้นบรรยากาศยังโปร่งโล่งไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น แสงอาทิตย์และคลื่นความร้อนจึงไม่เกิดการสะสม แต่เมื่อเกิดควันน้ำมันและก๊าซที่เป็นของเสียจากการเผาผลาญน้ำมันลอยขึ้นไปสะสมบนชั้นบรรยากาศมากขึ้นๆทุกวัน ควันน้ำมันและก๊าซที่เกิดขึ้นนั้น ได้ไปขวางกั้นการสะท้อนกลับออกไปสู่อวกาศของแสงอาทิตย์และคลื่นความร้อน การถ่ายเทความร้อนออกไปจากโลกจึงทำได้น้อยลงเพราะถ่ายเทออกได้ไม่หมด เกิดการสะสมอยู่ภายในโลก(ภาพ4.1)


ภาพ 4.1 ควันน้ำมันขวางกั้นการสะท้อนกลับของแสงอาทิตย์และคลื่นความร้อนออกไปสู่อวกาศ

ความร้อนที่สะสมมากขึ้นๆในโลกนี้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะกลายเป็นมวลคลื่นความร้อนเคลื่อนที่จู่โจมตามภูมิภาคต่างๆในโลกทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคลื่นความร้อนระบายออกนอกโลกไม่ได้ จึงพยายามถึงที่สุดที่จะเคลื่อนที่หาทางออก ภูมิภาคใดโชคไม่ดีอยู่ในทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นความร้อน ก็ได้รับความเสียหายไป หรือไม่ถ้าคลื่นความร้อนเคลื่อนตัวลงไปในน้ำทะเลมหาสมุทร ก็ทำให้ทิศทางการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่น-น้ำเย็นในมหาสมุทรเปลี่ยนไป สัตว์ทะเลได้รับผลกระทบ ฤดูกาลเกิดการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนเกิดเป็นลมพายุที่รุนแรงพัดทำลายบ้านเรือนผู้คนเป็นจำนวนมาก

แสงอาทิตย์กับคลื่นความร้อนที่ไม่สามารถออกไปสู่อวกาศได้ เพราะถูกควันน้ำมันขวางอยู่นี้ จะสะท้อนกับควันน้ำมันกลับลงมายังพื้นโลกอีก แล้วสะท้อนกับพื้นโลกขึ้นไปสะท้อนกับควันน้ำมัน กลับไปกลับมาเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า (ภาพ 4.2)


ภาพ 4.2 แสงอาทิตย์และความร้อนสะท้อนกลับไปมาภายในโลก

เนื่องจากแสงอาทิตย์นี้คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง และมีความถี่อยู่หลายช่วงคลื่น คลื่นความร้อนก็เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งเรียกว่าคลื่นอินฟราเรด(Infrared) คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น เมื่อกระทบหรือสะท้อนกับสิ่งใดในแต่ละครั้ง ก็จะถ่ายทอดพลังงานให้กับสิ่งที่ถูกกระทบ ยิ่งมีการกระทบมากพลังงานของคลื่นเองก็จะลดลงไปโดยลำดับ ความถี่ของคลื่นก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะความถี่ของคลื่นแปรผันตรงกับค่าพลังงาน ถ้าพลังงานของคลื่นมีน้อย ค่าความถี่ก็จะน้อยตาม แต่ความยาวคลื่นนั้นจะแปรผกผัน คือ ยิ่งพลังงานมีน้อย ความยาวคลื่นก็จะยิ่งยาวมาก

การที่แสงอาทิตย์กับคลื่นความร้อนเกิดการสะท้อนกลับไปกลับมา ระหว่าง พื้นโลกกับควันน้ำมันเช่นนี้ ได้ทำให้ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของทั้งคลื่นแสงกับคลื่นความร้อนลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งการสะท้อนของคลื่นมาถึงจุดๆหนึ่งที่ความถี่ได้เข้าใกล้ศูนย์ จนอาจกล่าวได้ว่าเท่ากับศูนย์ สภาพของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงที่มีความถี่ต่ำมากๆ เช่นนี้เองที่หมายถึง แสงเฉื่อย

ที่เรียกชื่อว่า แสงเฉื่อย เพราะมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ลอยอยู่นิ่งๆ หรือเคลื่อนที่ช้าๆ ตามพื้นโลกหรือตามชั้นบรรยากาศที่สูงจากพื้นโลกไม่มากนัก ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะยิ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้น หนาแน่นขึ้น เพราะเกิดขึ้นทุกวัน ความยาวของคลื่นที่ยาวมากนี้ จะมีลักษณะเป็นแถบคลื่นพลังเป็นสายยาว ลอยปกคลุมอยู่ตามพื้นและชั้นบรรยากาศของโลก หากสัมผัสด้วยสมาธิจิตจะพบว่าเป็นพลังสีมืดดำ สีเทา มีความหนักมาก มีแรงกดทับต่ออวัยวะและพลังงานในร่างกาย

ในช่วงเวลากลางวันโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้อุณหภูมิบริเวณพื้นผิวโลกมีค่าสูง อากาศมีการขยายตัวมาก ความกดอากาศจึงต่ำ แต่มีแรงดันอากาศสูง แรงดันอากาศที่สูงนี้จะผลักดันให้แสงเฉื่อยลอยสูงจากพื้นโลก ดังนั้นในช่วงกลางวันแสงเฉื่อยส่วนใหญ่จะลอยอยู่ตามชั้นบรรยากาศที่สูงจากพื้นโลก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อุณหภูมิบริเวณผิวโลกเริ่มลดลง ความกดอากาศเริ่มสูงขึ้น ความดันอากาศเริ่มลดลง ยิ่งดึก อุณหภูมิยิ่งต่ำลง ชั้นบรรยากาศข้างบนก็เคลื่อนตัวต่ำลงมา ซึ่งจะดันเอาแสงเฉื่อยลงมาด้วย ดังนั้นในช่วงกลางคืนแสงเฉื่อยส่วนใหญ่จึงรวมตัวอัดกันอยู่ตามพื้นโลก และด้วยความกดอากาศที่มากในเวลากลางคืนนี้เอง จะผลักดันให้แสงเฉื่อยเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้วค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ด้วยเหตุว่า

ในด้านคุณลักษณะแล้ว แสงเฉื่อยมีค่าพลังงานต่ำมากๆจนมีค่าเข้าใกล้ศูนย์หรือเท่ากับศูนย์ ในขณะที่พลังงานในร่างกายของเรา เช่น พลังงานความร้อน, ไฟฟ้า, แม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงพลังลมปราณ มีค่าพลังงานที่มากกว่าแสงเฉื่อย เมื่อแสงเฉื่อยเข้าสู่ร่างกาย การถ่ายเทพลังงานจึงเกิดขึ้น แต่แสงเฉื่อยมีพลังงานต่ำกว่า จึงไม่มีการถ่ายเทพลังงานให้ เมื่อพลังงานในร่างกายของเรามีค่าสูงกว่าก็มีแต่จะถ่ายเทให้ พลังงานในร่างกายของเราจึงถูกดึงให้ลดลง

ส่วนปริมาณของแสงเฉื่อยนี้นับวันมีแต่จะเพิ่มปริมาณขึ้น เมื่อมันเข้ามาอัดกันอยู่ในร่างกายมากเข้าๆ พลังงานในร่างกายจึงถูกดึงให้ลดลงมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของพลังงานในร่างกายติดขัด เหมือนกับ การจราจรที่จำนวนถนนมีอยู่เท่าเดิม แต่รถมีจำนวนมากขึ้นการเคลื่อนตัวของรถจึงไปได้ช้า

ทั้งคุณลักษณะและปริมาณของแสงเฉื่อยนี้ จึงส่งผลหลายประการตามมาคือ การไหลเวียนของลมปราณและเลือดอ่อนแรงลง ความถี่หรือความสั่นสะเทือนของคลื่นพลังงานในร่างกายลดลง การเต้นของหัวใจและชีพจรอ่อนลง ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอ่อนแอลง เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคชนิดใดก็สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายได้ และใช้ร่างกายที่อ่อนแอเป็นที่ฟักตัวจนเชื้อแข็งแรงขึ้น จากนั้นก็ ทำร้าย ทำลายร่างกายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะร่างกายไม่สามารถต่อสู้และกำจัดเชื้อโรคออกไปได้ ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ไม่รู้วิธีการเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันโรคให้มากขึ้น หรือรักษาระดับภูมิคุ้มกันโรคให้คงที่ ก็จะเสียชีวิตไปในเวลาอันสั้น ส่วนผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการของโรคก็จะเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสที่แข็งแรงนั้นสู่บุคคลอื่นต่อไป

ผลร้ายต่อร่างกายอีกกรณีหนึ่งที่เกิดจากแสงเฉื่อยกับความกดอากาศที่มากในตอนกลางคืน ก็คือ มันจะไปหน่วงการไหลเวียนของเลือดพร้อมกับกดทับการเต้นของหัวใจ มีอาการเหมือนถูกกดทับที่หน้าอก ที่มักเรียกว่า ถูกผีอำ ในรายที่ถูกกดทับมากเข้าๆ หัวใจเต้นอ่อนลงๆ จนหยุดเต้นเสียชีวิตไปในขณะนอนหลับ เป็นลักษณะที่เรียกว่าตายด้วย โรคไหลตาย นั่นเอง ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องราวก็คิดกันไปว่า เกิดจาก ผีปอบ ผีแม่ม่าย มาเอาชีวิตไป


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่6)
ป๊าดๆ บากนี่คือมาแนววิทย์ น้อ อ้ายมังกรเดียวดาย

อ่านแล้วได้ความรู้ขนาด
 คห.ที่7)
4 ป่วยง่ายตายเร็ว (ต่อ)

เมื่อกล่าวถึงระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย มีประเด็นที่ควรรู้เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับกลไกการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ที่สัมพันธ์กันกับพลังลมปราณและการไหลเวียนเลือด ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องการแข็งแรงขึ้นของเชื้อโรคชนิดต่างๆ ภายหลังการเกิดขึ้นของแสงเฉื่อยด้วย เริ่มจากธรรมชาติของลมปราณ ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานแสงสว่างชนิดหนึ่ง ที่แม้มีความละเอียดกว่าแสงสว่างที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อตามปกติ แต่ก็ยังมีคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ คือ ยังแสดงคุณสมบัติความเป็นคลื่น และความเป็นอนุภาค

คุณสมบัติความเป็นคลื่นที่ปรากฏ คือ มีความถี่หรือความสั่นสะเทือนอยู่หลายช่วงคลื่นความถี่ ความถี่ที่พอเหมาะแก่การสั่นสะเทือนร่างกายให้มีสุขภาพดี คือ ความถี่ในช่วงคลื่นของคลื่นแสงสีเหลือง สีขาว และความว่าง ที่สัมผัสได้ในขณะจิตสงบเป็นสมาธิ ส่วนคุณสมบัติความเป็นอนุภาค คือ มีโมเมนตัม (Momentum) สามารถถ่ายทอด แรงและพลังงานที่เกิดจากการชน การกระทบ การสัมผัสได้

ปกติลมปราณในร่างกายจะไหลเวียน หมุนวน ตามเส้นทางเดินที่เรียกว่า เส้นลมปราณ ทั้งเส้นลมปราณหลัก เส้นลมปราณย่อย และที่สำคัญจะไหลเวียนไปพร้อมกับเลือดผ่านอวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ โดยทุกอนุภาคของเลือด คือ ทุกอะตอม ทุกโมเลกุล ของเลือด จะมีพลังลมปราณ แทรกซึม ยึดเหนี่ยว โอบอุ้มเอาไว้ตลอดเวลา เหมือนกับแรงดึงดูดของโลกที่ยึดเหนี่ยวทุกอณูในร่างกายเราเอาไว้ การที่เลือดในร่างกายของเราไหลเวียนไปได้ ก็ด้วยอาศัยแรงสั่นสะเทือนของคลื่นพลังลมปราณนี้เอง ที่ถ่ายทอดแรงจากการสั่นสะเทือนของคลื่นให้กับทุกอนุภาคของเลือด ขับเคลื่อนให้เลือดไหลเวียนไป

ดังนั้นถ้าลมปราณสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่พอเหมาะแก่ร่างกาย เลือดลมก็จะไหลเวียนดี ไหลด้วยความเร็วที่เหมาะสม เลือดก็จะนำสารอาหารเข้าเซลล์ได้ดี ได้ลึก ทำให้เซลล์มีความแข็งแรง สามารถสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่แก่ตายไปได้ดี รวมทั้งสามารถนำเอาของเสียออกจากเซลล์ได้ดีเช่นกัน ซึ่งแน่นอนที่สุดก็จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงตามไปด้วย เพราะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย โดยการค้นหาและกำจัดเชื้อโรค ก็จะถูกผลิตออกมามากพอที่จะคุ้มกันร่างกาย

แต่ถ้าหากความถี่ของคลื่นพลังลมปราณลดลง จนการไหลเวียนของเลือดอ่อนกำลังลงแล้ว ก็ย่อมส่งผลต่อจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่จะผลิตได้น้อยลง ทำให้ไม่เพียงพอต่อการกำจัดเชื้อโรค จนทำให้ร่างกายเกิดเจ็บป่วยในที่สุด ความสำคัญของลมปราณต่อระบบภูมิคุ้มกัน มิได้มีผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างเดียวเท่านั้น ตัวลมปราณเองก็ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายด้วย ทั้งยังเป็นระบบที่สำคัญมาก กล่าวคือ เมื่อลมปราณดำรงสภาวะความถี่ของพลังงานได้คงที่ การสั่นสะเทือนและการไหลเวียนเป็นปกติ ร่างกายของเราตั้งแต่ในระดับเซลล์ก็จะมีเกราะป้องกันที่เป็นสนามพลังคลื่นแสงที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่ ที่มากพอจนเชื้อโรคที่เข้ามาใกล้ไม่สามารถเข้ามาเกาะติดเซลล์ได้ จะถูกแรงสั่นสะเทือนของแสงกระแทกออกไป เพราะเชื้อโรคต่างๆ จะถูกอนุภาคแสงที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าโฟตอน(Photon) วิ่งชน จนกระเด็นกระดอนไป ไม่สามารถเจาะเข้ามาในเซลล์ได้ ลักษณะเช่นนี้ก็เปรียบได้กับเมื่อเราเปิดพัดลมแรงๆ ยุงไม่สามารถเกาะติดผิวและดูดเลือดเราได้ เป็นต้น หรือถ้ายังสามารถเข้ามาได้แต่เชื้อโรคก็อ่อนแรงและลดจำนวนไปบ้างแล้ว ทั้งยังต้องมาเจอกับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่รอทำลายอยู่อีก เชื้อโรคก็ยากที่จะทำอันตรายแก่ร่างกายเราได้ ก็จะถูก
ทำลายและขับออกไปจากร่างกายในที่สุด

แต่เมื่อใดความถี่ของลมปราณลดลง ความหนาแน่นของคลื่นแสงที่เป็นเกราะป้องกันลดลง ช่องว่างของคลื่นแสงก็จะปรากฏขึ้น ยิ่งความถี่ต่ำลงช่องว่างก็จะขยายกว้างมากขึ้น เชื้อโรคก็จะมีพื้นที่ที่จะเกาะติดและเคลื่อนตัวเข้าสู่เซลล์ได้ ในขณะที่เม็ดเลือดขาวจะถูกผลิตออกมาน้อยและไม่แข็งแรงเท่ากับเวลาที่ลมปราณมีความถี่สูง เมื่อเป็นเช่นนี้เชื้อโรคจำนวนมากจึงสามารถเข้าสู่ร่างกายได้และเม็ดเลือดขาวไม่สามารถทำลายและขับเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ร่างกายจึงถูกทำร้ายและทำลายโดยเชื้อโรคชนิดต่างๆได้ง่าย

ในช่วงแรกๆของการระบาดของโรคเอดส์ เราจะพบว่าระบาดในกลุ่มคนที่หมกมุ่นในเรื่องกามารมณ์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ การมีเพศสัมพันธ์ที่มากครั้งและผิดปกติ จะทำให้ร่างกายเสียพลังไปอย่างมาก ประกอบกับการที่ร่างกายถูกลดทอนพลังลมปราณด้วยแสงเฉื่อย ร่างกายจึงอ่อนแอเร็ว อีกกรณีหนึ่งที่สำคัญก็คือ แสงเฉื่อยนี้จะไหลเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณที่มากกว่าปกติเมื่อคนเราเกิด อาการเกร็ง จากการกระทบทางประสาทสัมผัส เช่น การตกตะลึงจากการมองเห็นทางตา การสัมผัสทางกาย การนึกคิด เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นอาการเกร็งเกิดได้มากจากความรู้สึกทางเพศ จากความเครียด ความวิตกกังวล แต่ความรู้สึกทางเพศนั้นทำให้ร่างกายเกิดอาการเกร็งได้มากที่สุด ซึ่งอาการเกร็งนี้จะทำให้การไหลเวียนของพลังในร่างกายช้าลง จนถึงกับหยุดในทันทีทันใดได้ เมื่อร่างกายถูกแสงเฉื่อยไหลเข้ามาในปริมาณมากในขณะเกิดอาการเกร็งนั้น จะเหมือนกับร่างกายดูดแสงเฉื่อยเข้ามาโดยตรงเลยทีเดียว ยิ่งเกร็งบ่อยๆ แสงก็เฉื่อยก็ยิ่งสะสมมากเข้าๆ จนภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น กลุ่มคนที่หมกมุ่นในเรื่องทางเพศจึงเป็นกลุ่มแรกที่แสดงอาการป่วย และเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ก่อนคนกลุ่มอื่น จากนั้น เชื้อโรคก็ฟักตัวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจนแข็งแรง แล้วแพร่ระบาดไปสู่บุคคลกลุ่มอื่นต่อไป

การเกิดขึ้นของแสงเฉื่อยมิเพียงไปลดทอนแรงสั่นสะเทือนพลังลมปราณในร่างกายมนุษย์เท่านั้น หากแต่แรงสั่นสะเทือนของลมปราณในบรรยากาศของโลก ก็ถูกลดพลังลงเช่นเดียวกัน ลมปราณในโลกจึงอ่อนกำลังลงไปอีก บริเวณใดที่แสงเฉื่อยรวมตัวกันอยู่มาก พื้นที่บริเวณนั้นกระแสลมปราณจะหยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวของกระแสลมปราณเลย ซึ่งพื้นที่ลักษณะนิ่งๆนี้ได้เพิ่มอาณาเขตมากขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่แบบนี้ เชื้อโรคชนิดต่างๆ ทั้งไวรัส แบคทีเรีย จะไปรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่มีคลื่นพลังงานไปรบกวนมัน เชื้อโรคจึงสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วกว่าปกติและแข็งแรงขึ้น อีกทั้งเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัส

สำหรับเชื้อไวรัส ความร้ายกาจหรือความรุนแรงของเชื้อต่อร่างกายนั้น ขึ้นอยู่กับการรวมตัวกันของเชื้อ ยิ่งเชื้อรวมตัวกันได้มากก็จะรุนแรงมาก ลักษณะการรวมตัวกันของเชื้อไวรัส จะเป็นการเข้ามาเรียงตัว หรือต่อตัวกัน ยิ่งสามารถต่อตัวกันได้ยาวมากเท่าไหร่ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายมากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของคนหรือของสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้นการต่อตัวของเชื้อไวรัสสามารถต่อกันได้ ทั้งที่เป็นเชื้อที่มาจากสายพันธุ์เดียวกัน หรือต่างสายพันธุ์ มันสามารถปรับตัวเข้าหากันได้หมด เพราะธรรมชาติของเชื้อไวรัสมันจะทำงานกันเป็นทีม ไม่ได้ทำงานเฉพาะกับสายพันธุ์หรือเชื้อชนิดเดียวกัน แต่ทำงานร่วมกัน เมื่อมาเจอกันก็จะเข้ามาต่อตัวกัน

เดิมที ก่อนการเกิดขึ้นของแสงเฉื่อยนั้น การระบาดของเชื้อไวรัสชนิดต่างๆไม่รุนแรง ก็เพราะกระแสลมปราณในโลกและในร่างกายมนุษย์ยังไหลเวียนดี คลื่นพลังงานก็จะไปก่อกวนไม่ให้เชื้อไวรัสจับตัวกันได้ง่ายๆ แต่เมื่อแสงเฉื่อยเกิดขึ้นและค่อยๆสะสมตัวในโลก ลมปราณในโลกและในร่างกายก็ค่อยๆอ่อนกำลังลงตามมา เชื้อโรคจึงเข้ามาจับตัวและต่อตัวกันได้ยาวมากขึ้น ทั้งจับตัวกันในอากาศและจับตัวกันในร่างกายของมนุษย์และสัตว์

จนถึงเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2545 การสะสมของแสงเฉื่อยและการหยุดหมุนแกว่งตัวของแกนโลก ทำให้การเคลื่อนไหวของกระแสลมปราณมีการไหลเวียนน้อยลง หรือช้าลง กว่าที่เคยเกิดมาเป็นครั้งแรก ผลที่ตามมาก็คือ เชื้อโรคสามารถจับตัวกันได้ยาวมากขึ้น และร่างกายของมนุษย์ก็มีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงไปอีก อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่ ควันน้ำมันที่สะสมในบรรยากาศ สะสมมากจนเต็มชั้นบรรยากาศโลกไปหมด ควันน้ำมันที่สะสมเป็นจำนวนมากนี้ จะพัฒนากลายไปเป็น ลมปราณพิษและก๊าซพิษต่อไป แม้ว่าความเข้มข้นของลมปราณพิษและก๊าซพิษในขณะนั้นยังไม่มากนัก แต่ก็เริ่มมีผลต่ออวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์แล้ว โดยเฉพาะต่อเนื้อเยื่อในปอด สำหรับเชื้อไวรัสในช่วงเวลาดังกล่าว การจับตัวกันของเชื้อในอากาศ แม้จะจับตัวได้ยาวกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เมื่อเชื้อเข้ามาอยู่ในร่างกายแล้วก็จะยิ่งต่อตัวกันได้ยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ในคนที่สุขภาพอ่อนแอเชื้อไวรัสจะต่อตัวกันได้เร็วมาก ถ้าต่อตัวกันได้ยาวตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าเมื่อใด โอกาสเสียชีวิตก็จะมีสูงมาก ลักษณะการต่อตัวที่ยาวมากของเชื้อไวรัสเช่นนี้ คือลักษณะที่จะทำให้เกิดป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ ซารส์ ดังนั้น ในช่วงเวลาต่อมาคือ เดือนพฤศจิกายน ปี 2545 ได้เกิดการระบาดเป็นครั้งแรกของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ โรคซารส์ขึ้น ในมณฑลกวางตุ้ง ของประเทศจีน จนกระทั่ง วันที่ 10 มิถุนายน 2546 มีการแพร่ระบาดไปยัง 32 ประเทศ มีรายงานรวมผู้ป่วย ราว 8,430 ราย และเสียชีวิต 816 ราย

สำหรับกลไกของโรคซารส์นั้น ในช่วงแรกๆที่เชื้อไวรัสเข้ามาในร่างกายแล้ว ก็จะจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆก่อน เช่น เชื่อมต่อกันเป็นขด เป็นวง หรือ เป็นรูปมงกุฎ เป็นรูปเหมือนใบข้าว เป็นเส้นสั้นๆ หรือเส้นยาวๆเหมือนเส้นหมี่ รวมกันเป็นกลุ่มๆ จนเมื่อเชื้อเข้ามาในร่างกายมากขึ้น เชื้อก็จะเริ่มเชื่อมต่อเข้าหากัน กลุ่มที่ขดตัวเป็นรูปร่างต่างๆจะคลายตัวออกมาเชื่อมต่อกันเป็นเส้นสายยาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเชื่อมต่อกันไปทั่วร่างกาย เมื่อต่อตัวกันได้ดีแล้ว เชื้อจะเกิดการเคลื่อนไหวขยับตัวไปมา ขึ้นๆ ลงๆ

การต่อตัวของเชื้อนั้น จะไปขัดขวางระบบการทำงานของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเชื้อมีการขยับตัวขึ้นลง ก็จะทำให้ผนังเซลล์ถูกทำลาย เกิดการอักเสบขึ้น โดยเฉพาะการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด การที่ปอดเกิดการอักเสบก่อน และมากกว่าอวัยวะอื่นนั้นก็เพราะ ลมปราณพิษและก๊าซพิษที่เป็นผลจากควันน้ำมันที่มีสภาพเป็นกรดได้เกิดขึ้นแล้วในช่วงเวลานี้ ซึ่งเข้ามาพร้อมกับลมหายใจ ทำให้เนื้อเยื่อในปอดเกิดการระคายเคืองจนเป็นแผลแล้วอักเสบขึ้น เมื่อมาร่วมกับเชื้อไวรัสก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการระบบหายใจล้มเหลว ในรายที่เชื้อต่อตัวกันยาวตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า แล้วไม่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เป็นปกติ จะทำให้เสียชีวิตได้ ภายในเวลา 10-14 วัน

การเกิดขึ้นของโรคซารส์นี้ ถือว่าเป็นพัฒนาการของสภาพแวดล้อมที่เสื่อมถอย ที่ส่งผลด้านลบต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะตั้งแต่นี้ไป โลกที่มนุษย์รู้จักจะกลายเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งจะเต็มไปด้วยปัจจัยที่คอยทวีความเสื่อมถอยต่อสุขภาพของมนุษย์ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะจากนี้ไป มิเพียงลมปราณจะไหลเวียนช้าลงอีกเท่านั้น แต่จะถึงขั้นลมปราณถูกทำลายให้มีปริมาณลดลงไปและเซลล์ในร่างกายก็จะถูกทำลายอย่างรวดเร็วด้วย สิ่งที่สามารถทำลายปราณและเซลล์นี้ คือ ลมปราณพิษ กับ ก๊าซพิษ ซึ่งจะทำงานร่วมกับความหนาแน่นของอากาศหรือความกดอากาศที่เพิ่มมากขึ้น กลไกการเกิดและการทำงานของก๊าซพิษกับลมปราณพิษมีดังนี้

นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นมา ปริมาณการใช้น้ำมันนั้นไม่เคยลดลง กลับมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ป่าไม้ซึ่งเป็นตัวการที่คอยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์กลับมีจำนวนลดลง ควันน้ำมันที่เกิดขึ้นในแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปี ได้ลอยขึ้นไปสะสมบนชั้นบรรยากาศโดยเฉพาะบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์(Troposphere) ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุดที่เราอาศัยอยู่ มีความหนาประมาณ 10-15 กิโลเมตร ร้อยละ 80 ของมวลอากาศทั้งหมดอยู่ในบรรยากาศชั้นนี้ โทรโพสเฟียร์มีไอน้ำอยู่จำนวนมาก จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำฟ้าต่างๆ เช่น เมฆ พายุ ฝน เป็นต้น (ภาพ4.3)



ภาพ 4.3 ระดับความสูงของแต่ละชั้นบรรยากาศ


จนถึงต้นเดือน มกราคม พ.ศ.2546 ควันน้ำมันที่สะสมมานาน ได้สะสมจนเกิดการอิ่มตัวในชั้นบรรยากาศ ชั้นของควันน้ำมันที่ทวีความหนาแน่น แผ่กระจายตัวลงมาจนถึงระดับของพื้นผิวโลก ทำให้ในบรรยากาศเต็มไปด้วยก๊าซ และละอองอากาศจากการเผาไหม้

ละอองอากาศ(Aerosols)นี้ หมายถึง อนุภาคขนาดเล็กที่ลอยค้างอยู่ในอากาศ ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์ก็ได้ เช่น เกสรดอกไม้ ละอองเกลือ ขี้เถ้าภูเขาไฟ ฝุ่นผง โดยเฉพาะเขม่าจากการเผาไหม้จะมีปริมาณมากที่สุด ละอองอากาศนี้จะทำหน้าที่เป็นแกนให้ละอองน้ำจับตัวกัน

ตามปกตินั้นโมเลกุลของอากาศจะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดไว้ให้กองทับถมกัน ยิ่งใกล้พื้นผิวโลกมากเท่าใด ก็ยิ่งมีการกดทับของอากาศมากเท่านั้น เราเรียกน้ำหนักของอากาศที่กดทับลงมานี้ว่า "ความกดอากาศ" (Air pressure) ความกดอากาศมีค่าแปรผันตรงกับ "ความหนาแน่นของอากาศ" (Air density) ความกดอากาศยิ่งสูง ความหนาแน่นของอากาศก็ยิ่งมาก ดังนั้นการที่ควันน้ำมันและละอองอากาศมีปริมาณเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้ความหนาแน่นของอากาศเพิ่มขึ้นเพราะโมเลกุลในบรรยากาศเพิ่มขึ้น เราสามารถสังเกตความหนาแน่นของอากาศได้ง่ายๆจากการที่เมื่อมีการเผาไหม้สิ่งใดแล้วเกิดควันไฟขึ้น เดิมเมื่ออากาศยังไม่หนาแน่น ควันไฟจะลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ ลอยไปไกลจนหายไป แต่ปัจจุบันนี้จะพบว่า ควันไฟจะลอยสูงขึ้นไประยะหนึ่ง แล้วหยุดนิ่งเหมือนเจอเพดานที่มองไม่เห็น จากนั้นก็จะเคลื่อนตัวไหลออกไปด้านข้างอย่างช้าๆ แล้วเคลื่อนตัวลอยต่ำลงมา ไหลไปด้านข้างเรื่อยๆ ไม่ลอยสูงขึ้นไปต่อ ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นว่า แต่ละเดือนที่ผ่านไประดับของควันไฟก็ยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้แทบไม่ลอยขึ้นไปเลย พอมีใครเผาหญ้า เผาขยะ ควันมันจะไหลเข้าไปในบ้าน เคลื่อนไปตามพื้นดิน ลมที่จะมาพัดควันก็ไม่ค่อยมี กว่าควันไฟจะสลายไปก็ใช้เวลานานมาก

เมื่อกล่าวถึงควันน้ำมัน ควันไฟ ก๊าซที่เป็นองค์ประกอบหลักของควันเหล่านี้ก็คือ กลุ่มออกไซด์ของคาร์บอน กลุ่มออกไซด์ของกำมะถัน เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในทางเคมี ถ้าหากคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือกรดคาร์บอนิค การที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมีปริมาณมากขึ้นจึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกมาก ยกตัวอย่างเช่น เราคงเคยได้ยินคำว่า ฝนกรด ซึ่งมักเกิดขึ้นกับประเทศที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมากๆ ในอากาศจึงมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง รวมถึงก๊าซที่เป็นออกไซด์ของกำมะถัน เมื่อเกิดฝนตกลงมา น้ำฝนมาทำปฏิกิริยากับก๊าซเหล่านี้ ฝนที่ตกลงมาจึงกลายสภาพเป็นกรด สามารถกัดกร่อนวัตถุต่างๆได้ สภาพบรรยากาศของโลกเราตั้งแต่ต้นปี 2546 ก็มีลักษณะอย่างนี้เช่นกัน ก๊าซจากควันน้ำมันพวกออกไซด์ของคาร์บอน ออกไซด์ของกำมะถันและละอองอากาศจะเกิดการจับตัวกับละอองน้ำในอากาศ ทำให้ละอองน้ำในบรรยากาศมีสภาพความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ยิ่งควันน้ำมันมีความหนาแน่นขึ้นเท่าใดความเป็นกรดในบรรยากาศก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเราสูดลมหายใจเข้าไป ละอองน้ำที่เป็นกรดเหล่านี้ก็จะเข้าไปในปอด เข้าไปในอวัยวะภายในอื่นๆ เกิดความระคายเคืองต่อเซลล์ ต่อเนื้อเยื่อในร่างกาย

การที่ควันน้ำมันมีความหนาแน่นนี้ แม้ควันไม่ได้จับตัวกับน้ำในอากาศแต่เมื่อเราหายใจเข้ามาก็จะทำปฏิกิริยากับน้ำในร่างกายอยู่ดี และทำให้เกิดเป็นของเหลวที่เป็นกรดขึ้นได้ ซึ่งก็จะทำให้เลือดและของเหลว ในร่างกายมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นในทางพลังงาน พลังงานอันละเอียดที่แผ่ออกมากับควันน้ำมัน จะมีสภาพของพลังงานที่เป็นพลังด้านลบ เหมือนกับของที่เสียแล้ว มีสภาพเป็นธาตุไฟและความเป็นกรดแฝงอยู่ เมื่อเกิดการสะสมมากขึ้นเป็นเวลานานก็เหมือนกับของที่เน่าเสีย จนกลายเป็นพลังงานที่เป็นพิษต่อพลังงานในร่างกาย เพราะมันสามารถกัดกร่อนทำลายพลังงานลมปราณที่ดีที่เป็นพลังชีวิตของเราได้ ดังนั้นจึงเรียกว่า ลมปราณพิษ เมื่อศึกษาด้วยจิตขณะจิตมีสมาธิ จะพบว่าลมปราณพิษมีลักษณะเป็นแสงที่มีเฉดสีตั้งแต่ สีเขียวอ่อน ไปจนถึงสีเขียวออกเหลือง หรือสีตองอ่อน และมีอีกลักษณะ คือ เป็นหมอกสีขาวขุ่น ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศเต็มไปหมด

ในช่วงเวลากลางคืนโดยเฉพาะตั้งแต่เวลาประมาณ 01.00 น.จนถึง 05.00 น. ลมปราณพิษและก๊าซพิษจากควันน้ำมันจะเข้าสู่ร่างกายได้มากสุด ลักษณะก็เหมือนกับกรณีของแสงเฉื่อย คือเมื่ออุณหภูมิบริเวณผิวโลกลดลงในเวลากลางคืน ความกดอากาศสูงขึ้น ชั้นบรรยากาศข้างบนเคลื่อนตัวต่ำกดทับลงมา ความกดอากาศที่มากในเวลากลางคืน จะดันให้ทั้งแสงเฉื่อยลมปราณพิษและก๊าซพิษ เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ ปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งถึงช่วงปลายปี 2546 โรคไข้หวัดนกได้เกิดระบาดขึ้นครั้งแรก ทำให้สัตว์ปีกล้มตายไปอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ทำไมสัตว์ปีกโดยเฉพาะ ไก่ ถึงได้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากก่อน ก็เพราะ ไก่นั้น มีภูมิต้านทานอ่อนแอกว่าเรามาก ยิ่งไก่ที่เลี้ยงไว้ในกรงแล้ว วันๆแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย เลือดลมเลยไม่ค่อยจะเดิน ร่างกายจึงอ่อนแอมาก เมื่อลมปราณและก๊าซพิษเกิดขึ้นและสะสมมานานหลายเดือน ระดับความเป็นพิษในบรรยากาศสูงขึ้นๆ ถึงจุดหนึ่งความเป็นพิษมีมากจนเกินขีดจำกัดของภูมิต้านทานของสัตว์ ลมปราณและก๊าซพิษจึงสามารถทำลายอวัยวะภายในและระบบการทำงานของอวัยวะจนเสียชีวิตในที่สุด สาเหตุที่แท้จริงและขั้นตอนการเกิดของโรคไข้หวัดนก จึงสรุปได้ดังต่อไปนี้

ลมปราณพิษและก๊าซพิษ เมื่อเข้าสู่ร่างกายของสัตว์ทั้งจากการหายใจหรือซึมเข้าตามรูขุมขน จากแรงดันของอากาศในเวลากลางคืนแล้ว ลมปราณพิษจะไปทำลายลมปราณที่ดี ทั้งโดยการกัดกร่อน การละลายแบบกรด และการเผาไหม้ด้วยธาตุไฟแฝง ทำให้ลมปราณในตัวสัตว์ที่อ่อนกำลังอยู่แล้ว อ่อนกำลังลงไปอีก แรงสั่นสะเทือนของพลังงานในตัวสัตว์มีแต่ลดลง ภูมิต้านทานโรคจึงอ่อนแอลงไปเรื่อยๆในขณะที่ก๊าซพิษ และละอองอากาศที่เป็นกรด เมื่อเข้ามาในปอด จะเกิดการกัดกร่อนผนังเซลล์ เกิดแผลขึ้น แล้วเมื่อก๊าซพิษซึมเข้าสู่กระแสเลือด เลือดที่มีความเป็นกรดเพิ่มก็ไหลเวียนไปยังอวัยวะต่างๆ ทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ฯลฯ เสื่อมลง เซลล์ของอวัยวะก็ถูกย่อยสลายทีละนิดๆ เกิดแผลเล็กๆ ขึ้นในตัวทั่วไปหมด เซลล์ก็เริ่มตาย มีการเน่าเสียข้างใน เมื่อเกิดของเสียขึ้น พวกเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส จุลินทรีย์ ก็เข้ามากินมาย่อยของเสียเหล่านั้น อีกทั้งทำให้ตัวสัตว์เสื่อมเร็วขึ้น เกิดการอักเสบ บวม ของอวัยวะต่างๆตามมา โดยเฉพาะปอดจะเกิดการอักเสบก่อนอวัยวะอื่น เพราะได้รับลมปราณพิษและก๊าซพิษก่อนส่วนอื่น ช่วงที่ระบบการทำงานในตัวไก่กำลังเสื่อมเราก็จะเห็นไก่มีอาการซึม เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ มีไข้ มีน้ำมูก จนเมื่อระบบการทำงานเสื่อมหมด พลังชีวิตถูกสลายไปจนสิ้น ไก่ก็จะเสียชีวิตลง เมื่อเรามาตรวจซากของสัตว์เราก็จะพบว่ามันมีเชื้อไวรัส H5N1 เราก็เลยคิดว่าคือต้นเหตุของโรค จึงไปกำจัดไก่ที่อยู่ในพื้นที่ที่พบการแพร่เชื้อ ทำให้ไก่ถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะคิดว่าเมื่อกำจัดพาหะหมดแล้วจะกำจัดเชื้อให้หมดไปได้

แต่ต่อมาช่วงกลางปีพ.ศ. 2547 การระบาดของโรคไข้หวัดนกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นอีก และครั้งที่ 2 นี้ก็รุนแรงกว่าเดิม เพราะ มีการระบาดสู่มนุษย์ และสัตว์ชนิดอื่น คือ เสือจระเข้ หมู แมว สุนัข เป็ด ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยจนเสียชีวิตก็สั้นลงมาก อย่างในมนุษย์ เพียง 3 วันก็เสียชีวิตได้ ด้วยสาเหตุสำคัญคือระบบการหายใจล้มเหลว ในครั้งนี้มีหลายกรณีที่เมื่อไปตรวจเช็คผู้ที่ป่วยซึ่งมีอาการเหมือนไข้หวัดนก แต่กลับไม่พบเชื้อไวรัส H5N1 และไม่มีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีก รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วยที่เสียชีวิตไปก็มีอาการเหมือนโรคไข้หวัดนกแต่เมื่อตรวจก็ไม่พบเชื้อไวรัส H5N1 เช่นกัน

ทำไมการระบาดครั้งที่ 2 ถึงเกิดขึ้นอีก ทั้งที่ได้กำจัดสัตว์ปีกที่อยู่ในพื้นที่ระบาดไปแล้วในครั้งแรก เมื่อได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ เราก็สามารถบอกได้ว่า ก็เพราะสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้ถูกกำจัดให้หมดไป มนุษย์เรายังคงใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกันอยู่ทุกวัน นับวันควันน้ำมันก็มีแต่เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากถามว่า การระบาดครั้งต่อไปยังจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ก็ตอบว่า จะเกิดอีกแน่นอน อีกทั้งความรุนแรงก็จะมากขึ้น ขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะกับมนุษย์ เพราะนอกจากลมปราณพิษแล้ว ปัจจัยอื่นที่เข้ามาหนุนเนื่องก็คือ แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์จะมีความเข้มของแสงมากขึ้น เพราะเรายังใช้สารซีเอฟซีกันอยู่ในเครื่องทำความเย็นและอุปกรณ์สเปรย์ซึ่งมีผลต่อชั้นบรรยากาศ สตราโตรสเฟียร์(Stratosphere) ที่มีชั้นโอโซนอยู่ที่ระยะสูงจากพื้นโลก 48 กิโลเมตร ซึ่งถูกทำลายไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่มีสิ่งดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์เอาไว้ แสงอัลตราไวโอเลตจึงมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในโลก ส่วนรังสีจากธาตุกัมมันตภาพรังสีก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะมีการนำธาตุกัมมันตภาพมาใช้ในกิจการต่างๆ ทั้งการทหารและการแพทย์

สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็คือ การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคซารส์ โรคไข้หวัดนก จะเกิดการระบาดขึ้นอีก มิเพียงในทวีปเอเซียเท่านั้น แต่ทางอเมริกา ยุโรป ก็จะเกิดระบาดขึ้นเช่นกัน และการระบาดครั้งต่อไปนั้น จะสร้างความพิศวง ต่อวงการแพทย์อย่างมาก เพราะจะได้พบกับอาการป่วยที่เหมือนกับอาการของโรคซารส์ โรคไข้หวัดนก แต่จะมีหลายกรณีมาก ที่ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรค อาจจะพบกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่น อาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย จุลินทรีย์ เชื้อรา แล้วที่สำคัญก็คือ ผู้ที่ป่วยนั้นไม่มีประวัติสัมผัสหรือคลุกคลีกับสัตว์ใดมาก่อน อีกทั้งแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่ระมัดระวังตัวมากที่สุด และไม่ได้ทำงานในแผนกที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับผู้ป่วยก็จะเกิดการป่วยด้วยอาการของทั้งโรคซารส์ หรือโรคไข้หวัดนก จนเกิดความสับสนขึ้นมาอย่างมากว่า โรคที่กำลังเผชิญอยู่นั้นมันเป็นอะไรกันแน่ อาจถึงขั้นแพทย์ พยาบาล ไม่กล้าที่จะรับผู้ป่วยเข้ามาดูแลในโรงพยาบาล

อาการของร่างกายที่เราสามารถสังเกตได้ง่ายๆว่า ขณะนี้ร่างกายได้รับลมปราณและก๊าซพิษเข้ามาในร่างกายแล้วและกำลังกัดกร่อนพลังงานและเซลล์ของเราอยู่ และภูมิต้านทานโรคของเรากำลังต่อสู้กับสิ่งเป็นพิษเหล่านี้ ก็คือ รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ทั้งหน้าอกด้านซ้าย ขวา และตรงกลางอก แต่ด้านซ้ายตรงหัวใจจะรู้สึกมากที่สุด เป็นอาการปวดเสียดแน่นที่หัวใจ จะมีอาการปวดมากในช่วงเวลากลางคืนโดยเฉพาะช่วงเวลา ตีหนึ่ง ถึง ตีสอง ส่วนที่ปอด มักเป็นอาการแน่นอึดอัดเพราะหายใจไม่สะดวก หายใจลำบาก ลมหายใจตื้น เหมือนกับหายใจในรถที่ปิดกระจกหน้าต่างมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ บ่อย และเรื้อรัง มีก๊าซในกระเพาะอาหารมาก ปวดเสียดแน่นท้องเหมือนอาการโรคกระเพาะ มีอาการเบื่ออาหาร ลิ้นไม่ค่อยรับรสอาหาร รวมไปถึงมีอาการท้องผูก เพราะลมปราณอ่อนกำลัง แรงดันที่จะขับเอาของเสียออกจากร่างกายมีน้อย จึงขับถ่ายยากมีอาการนอนหลับตื้น หลับไม่สนิท หลับไม่ต่อเนื่อง หลับๆ ตื่นๆ ถ้าเข้านอนก่อนเที่ยงคืน มักจะสะดุ้งตื่นตอนตีหนึ่ง ตีสอง เป็นประจำ แล้วจะรู้สึกว่า ร่างกายร้อนรุ่ม มีผื่นคันขึ้นตามตัว เหมือนลมพิษ อาการผื่นคันเช่นนี้เป็นลักษณะที่ร่างกายกำลังพยายามขับดันเอา แสงเฉื่อย แสงอัลตราไวโอเลต ลมปราณพิษ ก๊าซพิษ ออกจากร่างกาย ขับดันออกมาจากอวัยวะภายในมาที่ผิวกาย เพื่อผลักให้คลื่นที่เป็นพิษเหล่านี้ออกไป พลังที่ขับออกมาก็คือพลังลมปราณในร่างกายที่ยังแข็งแรงอยู่ กำลังต่อสู้กันอยู่ และมักมีเสลด น้ำลายเป็นฟองเกิดขึ้นด้วย เสลดน้ำลายเหล่านี้ก็คือสารพิษ คลื่นที่เป็นพิษที่ถูกร่างกายขับออกมาเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ พลังงานที่เป็นพิษเหล่านี้ จะกดให้เรานอนหลับลึกไปเรื่อยๆ เซลล์ในร่างกายทำงานช้าลงๆ
จนอาจถึงขั้นหลับไม่ตื่นอีกเลย

สิ่งที่น่าวิตกก็คือ เรื่องความดันโลหิตที่จะพุ่งขึ้นสูงในเวลากลางคืนเพราะความกดอากาศที่เพิ่มขึ้นจนทำให้เส้นโลหิตในสมองแตก ซึ่งมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ เพราะเส้นเลือดจะเปราะ ไม่ยืดหยุ่นเหมือนคนหนุ่ม อีกทั้งมีไขมันในเส้นเลือดมากเพราะสะสมไขมันมานาน อาการเหล่านี้เมื่อสะสมนานเข้า ถ้าเป็นมากก็จะมีอาการเป็นไข้อ่อนๆ เกิดขึ้น เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง คือ สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงอยู่ภูมิต้านทานยังมีมากพอที่จะสู้กับพลังงานที่เป็นพิษ แบบที่เรียกว่า สามวันดีสี่วันไข้ แต่ถ้าหากสุขภาพร่างกายอ่อนแอลง ภูมิต้านทานอ่อนแอลงมากเมื่อใด อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคซารส์ โรคไข้หวัดนก ก็จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อนั้น


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่8)
5 กายป่วย จิตก็ป่วย

ารเปลี่ยนแปลงของพลังงานในโลกมิเพียงส่งผลร้ายต่อสุขภาพร่างกาย ยังมีผลต่อสุขภาพจิต ทำให้สุขภาพจิตของผู้คนส่วนใหญ่เสื่อมถอยลง จนทำให้ผู้คนเจ็บป่วยทางจิตทั้งแบบชั่วคราวและเรื้อรัง การเสื่อมของสุขภาพจิตนี้ จะว่าไปแล้วก็มีลักษณะที่คล้ายกับการเสื่อมของสุขภาพร่างกาย กล่าวคือ สุขภาพร่างกายเสื่อมถอยเพราะการเปลี่ยนแปลงพลังงานในโลก ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอ่อนแอลงจนเจ็บป่วยง่าย ขณะที่สุขภาพจิตก็เสื่อมลง เพราะการเปลี่ยนแปลงพลังงานในโลกทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของจิตอ่อนแอลงเช่นกัน

การจะเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในโลกที่มีต่อสุขภาพจิตได้ ก่อนอื่น ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่า จิต นี้ก่อน สภาพเดิมของจิตนั้น ไม่มีตัว ไม่มีชื่อเรียก ไม่ยึดเกาะสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดยึดเกาะได้ ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาและสถานที่ ไม่เกี่ยวข้องกับสสาร พลังงาน หรือแรงใดๆ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นเหตุ สิ่งที่เป็นผล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีการเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นสภาวะใดๆ ทั้งไม่อาจระบุตำเเหน่งที่ตั้งได้ แต่เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาของจิตเอง จึงไปหลงยึดเกาะอาศัยสิ่งต่างๆเอามาเป็นที่เกิดและเป็นที่อยู่ของจิต จนปรุงแต่งเกิดสภาพที่มีตัวตนและมีแรงขับเคลื่อนเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นที่เกิดและเป็นที่อาศัยของจิตสำหรับมนุษย์เราที่เกิดมาแล้ว ก็คือ ความรู้สึกที่เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ที่เกิดที่ใจหรือหัวใจ และความคิดที่สมอง ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นปัจจัยต่อการปรุงแต่งและเปลี่ยนแปลงของสภาพจิต ก็คือสิ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสามารถจำแนกได้ 2 ประการด้วยกัน คือ ปัจจัยทางกายภาพ และ ปัจจัยทางพลังงาน

ปัจจัยทางกายภาพ มีทั้งปัจจัยที่มาจากภายนอก และ ปัจจัยจากภายในร่างกาย ปัจจัยที่มาจากภายนอก ก็เช่น แสงหรือภาพที่มากระทบและปรากฏต่อสายตา เสียงที่ได้ยินที่หู กลิ่นที่กระทบจมูก รสชาติอาหารที่ลิ้น การสัมผัสทางร่างกายจากสิ่งต่างๆ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดการกระทบสัมผัสแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึก ชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือเฉยๆ เป็นสิ่งที่มาจากภายนอก เข้ามาแล้วก็ทำให้เกิดอารมณ์ ความคิดต่างๆขึ้น ส่วนปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในก็คือ การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง รวมทั้งสารเคมีที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนชนิดต่างๆ เพราะแม้การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีเหล่านี้เพียงเล็กน้อย เช่น ปริมาณที่สารหลั่งออกมา องค์ประกอบทางเคมี ก็ล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และความคิด ทั้งนั้น เมื่อพลังงานในโลกเปลี่ยน ลมปราณอ่อนกำลังลง ด้วยเหตุที่ลมปราณคือพลังการไหลเวียนของเลือดดังที่ได้กล่าวตั้งแต่ต้น เมื่ออ่อนกำลังลงจึงมีผลทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดเสื่อมประสิทธิภาพ การนำสารอาหาร นำอากาศ เข้าสู่เซลล์ จึงทำได้ไม่ดี เซลล์ที่อยู่ลึกหรืออยู่ไกลจากหัวใจก็จะได้รับสารอาหาร ได้รับอากาศไม่เต็มที่ ในขณะที่การนำเอาของเสียออกจากเซลล์พร้อมกับเลือดก็ทำได้ไม่ดีเช่นกัน จึงทำให้เซลล์ต่างๆอ่อนแอและเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะกับเซลล์สมอง เซลล์ในต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมน จึงทำให้สารเคมีต่างๆที่ร่างกายผลิตขึ้นเกิดความผิดปกติ จนมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนเรา

ปัจจัยทางพลังงาน พลังงานที่มีผลต่ออารมณ์ ความคิดของเรา ก็คือ ลมปราณ นั่นเอง เพราะแสงสีของพลังลมปราณนั้น มีความหมายที่สัมพันธ์กับระดับของอารมณ์และความคิด สีของแสงลมปราณที่ดีนั้น ได้แก่

ลมปราณแสงสีเหลือง เป็นแสงของอารมณ์แห่งความเมตตา และเป็นแสงของกายที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่แข็งแรง ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนยาว จิตของเราก็ควรอยู่กับอารมณ์ ความคิด ที่ประกอบด้วยความเมตตาให้มากๆ

ลมปราณแสงสีขาว เป็นแสงของอารมณ์แห่งความบริสุทธิ์ของใจ เป็นแสงที่บ่งบอกถึงใจที่เปี่ยมด้วยความสุขอันละเอียดประณีต ที่ประกอบด้วยความบริสุทธิ์ของศีล ความไม่คิดเบียดเบียน และความเกรงกลัวละอายต่อบาปอกุศล

ลมปราณแสงใสไม่มีสี และสภาพพลังความว่าง เป็นสภาพของใจที่เปี่ยมด้วยอารมณ์อุเบกขาอันสงบลึกซึ้ง สันติ สันโดษ ลมปราณแสงใสไม่มีสีนี้ เป็นแสงสว่างของความนึกคิด เป็นคลื่นของความนึกคิดโดยตรง

ความจริงแล้ว เรายังสามารถจัดแยกคลื่นความคิดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในด้านพลังงานที่มีผลต่ออารมณ์และความคิด แต่ในครั้งนี้ขออธิบายรวมเรียกกันทั้งหมดไปว่า คือ พลังลมปราณเพื่อความเข้าใจที่รวบรัดขึ้น เพราะอารมณ์กับความคิดนั้น แม้จะเป็นสภาพพลังงานคนละส่วนกันแต่ก็มีความสัมพันธ์กัน และมักจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน และมักเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อให้แก่กันและกัน

สีของแสงอื่นๆ นอกจากนี้ก็มีความหมายที่แตกต่างออกไป สีของแสงที่น่าสนใจ เช่น แสงสีเขียว เป็นแสงของผลแห่งการกระทำความดี แสงสีชมพู เป็นแสงของอารมณ์ความรักที่นุ่มนวล แสงสีน้ำเงิน เป็นแสงอารมณ์กามราคะ แสงสีแดง เป็นแสงความคิดความต้องการความสำเร็จทางโลก แสงสีม่วงคล้ำ เป็นแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นแสงของโรคมะเร็ง แสงสีเทา-ดำ เป็นแสงความคิดที่ฟุ้งซ่านเครียด และเป็นแสงของสภาพร่างกายจิตใจที่เจ็บป่วย ร่างกายอ่อนแอ เป็นต้น

พลังลมปราณที่สามารถมีอิทธิพลเหนี่ยวนำจิตใจของเราได้ จะเกิดขึ้นได้ด้วยกลไก 2 ประการ
ประการแรก โดยทางตรง จากการที่จิตสัมผัสกับลมปราณโดยตรง ทั้งจากการที่ลมปราณเคลื่อนเข้ามาหากระแสจิตที่อยู่ภายในร่างกาย หรือ จิตส่งกระแสคลื่นออกไปรับสัมผัสพลังลมปราณที่อยู่ภายนอกร่างกาย

ประการที่สอง โดยทางอ้อม จากการที่จิตรับคลื่นพลังลมปราณผ่านทางอวัยวะรับคลื่น อวัยวะที่สำคัญ ก็คือ สมอง กับ หัวใจ ร่างกายของเรานี้ มิเพียงเป็นอวัยวะที่เป็นสสารวัตถุที่มีระบบประสาทสำหรับรับสัมผัสจากสสารวัตถุ จากแสง เสียง ที่เป็นสิ่งเร้าที่รู้จักคุ้นเคยตามปกติเท่านั้น แต่ทว่ายังมีความสามารถรับสิ่งที่ละเอียด เช่นคลื่นอารมณ์และความคิดได้ เช่น สมองนั้นไม่เพียงเป็นอวัยวะที่ใช้คิดและเก็บความจำเก็บความคิดเท่านั้น ยังสามารถรับคลื่นความคิดจากภายนอกได้ ส่วนหัวใจก็ไม่เพียงทำหน้าที่สูบฉีดเลือด ยังสามารถรับคลื่นของอารมณ์จากภายนอกได้ อีกทั้งเป็นที่เก็บอารมณ์ที่ผ่านมาในอดีตด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดหรือศูนย์รับพลังลมปราณที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งต่อมไร้ท่ออีก 7 จุด ซึ่งเรียกว่า จักระ หรือ วัฏจักร ทั้ง 7 ก็เป็นอวัยวะที่สามารถรับคลื่นลมปราณได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีระบบรับคลื่นพลังระบบจุดลมปราณ 12 จุดที่ละเอียดลงไป แต่ยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะเพียงยกตัวอย่าง สมอง กับ หัวใจ ก็คงพอได้เห็นภาพและคงพอเกิดความเข้าใจแล้ว

เมื่อคลื่นพลังงานในโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะพลังลมปราณ ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือคลื่นของอารมณ์และความคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมลง การไหลเวียนลดลง ความถี่ของพลังงานต่ำลง และถูกทำลายไปมาก แสงสีของปราณจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแสงที่มีระดับความถี่ต่ำกว่าแสงสีเหลืองมาก จนเกิดเป็นกลุ่มพลังแสงสีมืดสีดำเพิ่มมากขึ้นๆในโลก คลื่นของพลังที่เป็นกุศล คือ ความเมตตา ความบริสุทธิ์ ความว่าง จึงเหือดหายเจือจางลงไป ขณะที่พลังที่มืดดำซึ่งเป็นระดับอารมณ์ความคิดที่เป็นไปในทางอกุศล เป็นอารมณ์ที่หนักและหยาบ อารมณ์ความคิดสีมืดดำที่เกิดเพิ่มขึ้นมาในโลกนี้ เมื่อจิตเข้าไปสัมผัสก็พบว่าส่วนใหญ่เป็น ความคิดเบียดเบียนผู้อื่น ที่มากับความโลภ ความโกรธ ความพยาบาท กามราคะ รวมถึง อารมณ์ซึมเศร้า ก้าวร้าว เศร้าหมอง มองโลก มองผู้อื่น มองตนเองในแง่ร้าย มีความขัดเคืองใจง่าย แม้ขัดเคืองใจในเรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นอารมณ์รุนแรงได้

พลังสีมืดดำเหล่านี้ เมื่อไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ หากเคลื่อนเข้าสู่สมอง ก็จะปรากฏเป็นความคิดด้านอกุศลแล้วเหนี่ยวนำให้สมองคิดตัดสินใจทำเรื่องต่างๆไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศล หากเคลื่อนเข้าสู่หัวใจก็จะเป็นอารมณ์ที่เป็นไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศล อีกทั้งการหลั่งสารเคมีในสมองก็ดี ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อก็ดี ต่างก็หลั่งสารที่ทำให้คนเกิดความคิดและอารมณ์ไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศลด้วย

ดังนั้น ทุกขณะของความคิดที่ปรากฏในสมอง ทุกอารมณ์ที่ปรากฏในใจ จะเป็นเรื่องอกุศลมากกว่าเรื่องที่เป็นกุศล และแม้จะนึกคิดเรื่องที่เป็นกุศล ความคิดอกุศลก็จะแทรกเข้ามาบ่อยครั้ง คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดี ก็มีจะภูมิคุ้มกันไม่เชื่อตามความคิดที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นคนที่พื้นฐานทางจิตใจไม่ดีนัก ก็จะถูกกระตุ้นให้เชื่อความคิดที่เป็นอกุศล แล้วไปพูดหรือกระทำเรื่องที่เป็นอกุศลต่างๆ ที่สำคัญก็คือ พลังความถี่ต่ำสีมืดดำที่เป็นพลังงานอกุศลนี้ ได้ส่งผลต่อความถี่ของจิตด้วย เพราะมันไปเหนี่ยวนำให้คลื่นความถี่ของจิตลดลง ทั้งจากการที่จิตได้สัมผัสกับพลังความถี่ต่ำโดยตรง หรือ เหนี่ยวนำให้ที่อยู่ของจิตคือสมองและหัวใจ เกิดความคิดและอารมณ์ที่เป็นอกุศล เมื่อที่อยู่ของจิตถูกทำให้ลดพลังงานลง มันก็จะไปดึงความถี่ของจิตให้ลดลงไปด้วย จิตยิ่งได้เข้าไปร่วมกับอารมณ์อกุศลมากเท่าใดก็จะทำให้จิตเสียพลังงานไปมากเท่านั้น แล้วที่กล่าวว่ามีความสำคัญก็เพราะ ความถี่ของจิต หรือ แรงสืบต่อ หรือ แรงสั่นสะเทือนของจิตนี้ ก็คือ คุณภาพของจิต ที่เราเรียกว่า สติ นั่นเอง สตินั้นจัดเป็นพลังของจิตอย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญมาก เนื่องด้วย สตินั้น คือ ภูมิคุ้มกันโรคทางจิต

การที่ภูมิคุ้มกันโรคทางจิตหรือสติอ่อนแอลงนี้ เมื่อเกิดความคิดหรืออารมณ์ขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นอกุศล จิตก็จะถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำได้ง่าย เพราะความถี่ของจิตมีค่าน้อยกว่าความถี่และความหนาแน่นของอารมณ์ แรงสั่นสะเทือนของจิตจึงมีไม่พอที่จะผลักดันหรือสลายคลื่นอกุศลที่เข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตไม่สามารถสลัดอารมณ์ที่เป็นอกุศลนั้นออกไปได้โดยง่าย จิตก็จะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคลื่นความคิดและอารมณ์อกุศลนั้น แล้วถูกแรงขับเคลื่อนจากความคิดและอารมณ์อกุศลให้ไปกระทำสิ่งต่างๆ อีกทั้งการที่กำลังสติอ่อนแอนี้ จะทำให้จิตมีความไวต่อการแก้ปัญหาทางอารมณ์ช้าลง สติเกิดไม่ทันที่จะเข้ามาพยุงมาประคองสภาวะจิตให้อยู่เป็นปกติเมื่อเกิดอารมณ์อกุศลที่ร้ายแรงขึ้น การที่สติอ่อนกำลังลงจึงมีผลโดยตรงต่อการลดความสามารถของจิต ในการควบคุมและการปล่อยวางอารมณ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงสภาพจิตทั้งแบบเรื้อรังและแบบฉับพลัน

แบบเรื้อรัง ก็คือจิตรู้สึกนึกคิดอยู่กับเรื่องราวที่เป็นอกุศลนั้นอยู่นานๆ และความคิดและอารมณ์นั้นก็หมุนวนเข้ามาให้จิตเกิดวิตกวิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง วนไปวนมา ยิ่งเวลาผ่านไปหากจิตยังไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพจิตที่เป็นปกติ สภาพการรับรู้ของจิตก็จะถูกบิดเบือนไปมากขึ้น จนทำให้เกิดความหลงผิด จิตเกิดการปักใจเชื่อในความเห็นผิดนั้นๆ จนไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร และเมื่อความสามารถในการควบคุมตนเองลดลง ก็จะไปกระทำสิ่งที่เป็นอกุศลต่างๆได้ ทั้งทางกาย และทางวาจา

ส่วนแบบฉับพลันก็คือ เมื่อเกิดความคิดอารมณ์อกุศลพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีทันใด จิตก็ไม่มีกำลังสติพอจะตระหนักรู้ในความเคลื่อนไหวของความคิดและอารมณ์นั้น ตั้งสติไม่ทัน จิตก็จะถูกครอบงำอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นตัวของตัวเอง จนไปกระทำการต่างๆ ตามแรงของความคิดและอารมณ์อกุศลนั้น ทั้งทางกาย และทางวาจา

ดังนั้น การที่บุคคลส่วนใหญ่ควบคุมและปล่อยวางความคิดและอารมณ์อกุศลได้น้อยลงนั้น โดยภาพรวมแล้วเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย เพราะนั่นหมายความว่า ผู้คนจะมีสุขภาพจิตแย่ลง เกิดความทุกข์ทางใจมากขึ้น ป่วยเป็นโรคจิต โรคประสาทในลักษณะอาการต่างๆ ทั้งแบบชั่วคราวและแบบเรื้อรัง ทำให้ศักยภาพในการคิด การทำงาน การเรียนด้อยลง ที่น่ากลัวก็คือ เรื่องการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา ทั้งในเรื่องปัญหาชีวิต ความรัก ครอบครัว หน้าที่การงาน ผลประโยชน์ในระดับต่างๆ เพราะจะก่อเหตุเภทภัยให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ คือ ถ้าไม่ทำร้ายตนเองก็ไปทำร้ายคนอื่น ซึ่งในปัจจุบันเราจะพบว่าในสังคมไทยเรา รวมทั้งในต่างประเทศมีการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นมาก ทั้งระหว่างบุคคลต่อบุคคล และระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ทำให้โลกร้อนรุ่มด้วยไฟอกุศล ผู้คนอยู่กันด้วยความหวาดผวา ไม่มีความสุขสงบสันติ


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
 คห.ที่9)
5 กายป่วย จิตก็ป่วย (ต่อ)

ผลกระทบอีกด้านหนึ่งจากการเสื่อมถอยของพลังลมปราณ เป็นผลกระทบต่อการฝึกจิต นั่งสมาธิของกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการฝึกสมาธิในลักษณะ สมถะกรรมฐาน ซึ่งเป็นการฝึกรวมจิตให้นิ่งอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่ง หรือจุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย เพื่อให้จิตเกิดความสงบ จนจิตเข้าสู่ความสงบในระดับต่างๆ ระดับของความสงบนี้เราเรียกว่า ฌาน ยกตัวอย่างเช่น รูปฌานสี่ระดับ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ความสงบในระดับต่างๆ นี้ก็มีลักษณะอาการทางจิตอันละเอียด ประณีตแตกต่างกันไป กล่าวโดยสรุปคือ

ปฐมฌาน - ความนึกคิด เคลื่อนไหวช้าลง จนสงบระงับ จิตละเอียดกว่าลมหายใจ จนรู้สึกว่าลมหายใจเบาบางลงๆ จนเลือนหายไป จิตไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของลมหายใจ

ทุติยฌาน - เกิดอาการปีติขึ้นภายใน เช่น รู้สึกร่างกายย่อ ขยาย ตัวโยกโคลง รู้สึกอิ่มเอิบ เย็นซาบซ่าน จนน้ำตาไหล ขนลุก

ตติยฌาน - เกิดสุขอันประณีตขึ้นภายใน ในฌานสาม ระดับตื้น จะเริ่มปรากฏแสงสว่างภายในขึ้น เห็นเป็นแสงสีต่างๆ จากนั้น ในระดับกลาง จะพบแสงสีเหลือง จากนั้นในระดับลึก จะพบแสงสีขาวบริสุทธิ์ เกิดความสุขอันละเอียดประณีตขึ้นภายใน แสงสีขาวนี้สามารถเรียกชื่อได้อีกอย่างว่า มโนวิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ที่อยู่ที่ใจ ถ้าจิตอยู่กับความสว่างสีขาวจนถึงขาวใสไปสักระยะ จากนั้นภาพนิมิตต่างๆก็จะปรากฏขึ้น

จตุตถฌาน - สภาพของความสงบที่ปรากฏในระดับนี้ จะเป็นสภาพของ ความว่าง ความเป็นหนึ่งเดียวของจิตรวมไปถึง อารมณ์อุเบกขา เป็นสภาพที่ไม่มีแสงสี ไม่มีนิมิต ไม่มีความนึกคิดใด จิตใจความนึกคิดนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว รวมเป็นหนึ่งเดียว

ก่อนการเสื่อมถอยของพลังลมปราณนั้น การรวมจิตเพื่อเข้าสู่ความสงบ ก็สามารถกระทำได้เป็นปกติ ไม่ยากไม่ง่าย สามารถกระทำได้ตามสมควรแก่ความเพียรของแต่ละบุคคล และเมื่อจิตรวมตัวเข้าสู่ความสงบแล้ว ก็สามารถทรงตัวดำรงสภาพจิตอยู่ในความสงบนั้นได้นานตามกำลังจิตที่ได้ฝึกฝนมา แต่หลังจากพลังลมปราณเริ่มเกิดการเสื่อม จนเสื่อมถอยลงมากในปัจจุบัน สภาพการณ์ที่ปรากฏแก่การทำสมาธิก็คือ จะรู้สึกดูเหมือนว่าจิตรวมตัวเกิดความสงบในระดับปฐมฌานได้เร็วกว่าเดิม เพราะลมหายใจดับไปเร็วมาก แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าความนึกคิดยังเคลื่อนไหวเร็วอยู่ ไม่เบาบางลงไปพร้อมๆกับการเลือนหายไปของลมหายใจ คือ สภาพการณ์ก่อนที่ลมปราณเกิดการเสื่อม เมื่อลมหายใจดับไป ความนึกคิดก็จะดับตามลงไปพร้อมๆ กัน เพราะลมกับจิตนั้นเป็นสิ่งที่เนื่องกันอยู่ ลมหยาบจิตก็หยาบ ลมละเอียดจิตก็ละเอียด แต่ภายหลังเมื่อลมปราณเสื่อมลงไปแล้ว เมื่อทำสมาธิจนลมละเอียดแล้วแต่จิตยังไม่ยอมละเอียด ต้องรออีกสักระยะและต้องใช้ความพยายามรวมจิตเพิ่มขึ้นความนึกคิดถึงจะเบาบางลงไป

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่ลมปราณเสื่อมลงไปแม้ไม่ได้รวมจิตทำสมาธิก็รู้สึกว่าสืบลมหายใจเข้าออกยากอยู่แล้ว รู้สึกลมหายใจตื้น หายใจไม่อิ่มไม่เต็มเหมือนลมไม่เข้ามาในร่างกาย พอมานั่งสมาธิพยายามปรับลมหายใจให้ละเอียดให้ลมหายใจหายไป ก็จะทำได้เร็ว แต่คลื่นความคิดอกุศลที่เพิ่มมากในโลกจะเป็นตัวคอยรบกวนคลื่นจิต คลื่นสมองให้จิตสงบช้าลง

สำหรับความสงบตั้งแต่ระดับทุติยฌานไป ก็จะพบว่าตรงกันข้ามกับปฐมฌาน เนื่องจากการจะรวมจิตเข้าสู่ความสงบลึกเข้าไปนั้น ใช้เวลาและความพยายามมากกว่าขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งๆที่ผู้ฝึกก็ฝึกมานานมีทักษะความชำนาญในการฝึก แต่ก็กลับทำได้ยาก สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ สภาวะของปีติ รวมถึง แสงสว่าง ภาพนิมิตต่างๆ ความว่าง ปรากฏได้ยากกว่าเดิม อีกทั้งเมื่อปรากฏแล้ว กำลังของปีติ กำลังของแสงสว่าง ลดลงไปมาก และอาการปีติ แสงสว่าง ภาพนิมิต ความว่าง ที่เกิดขึ้นแล้วจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน ตั้งอยู่ได้สักระยะก็จะเลือนดับหายไป จากนั้น ถ้าจิตไม่ถอนตัวออกมาจากความสงบเร็วกว่าเดิม ก็จะเกิดเป็นความมืดดำเข้ามาแทรก หรือปรากฏเป็นแสงสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวคล้ำ หรือเป็นหมอกสีขาวขุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือ แสงเฉื่อย ลมปราณพิษที่เข้าแทรกและมาทำลายพลังปราณที่ดีของเรานั่นเอง ลักษณะเช่นนี้ก็จะเกิดวนไปวนมา คือ เมื่อรวมจิตจนเกิดปีติ แสงสว่าง ความว่างขึ้นมาเมื่อใดก็จะถูกปราณพิษเข้ามาทำลายเมื่อนั้น ถ้าเราทรงจิตให้นิ่งสงบต่อไปกับพลังงานที่เป็นพิษเหล่านี้ ก็จะพบว่าจิตนั้นก็เกิดความสงบได้เช่นกัน แต่เป็นความสงบที่หนัก ไม่เบาสบาย พอออกจากสมาธิก็รู้สึกว่า จิตไม่โล่งเบาตัวก็ไม่เบา อาจมีอาการมึนศีรษะ อ่อนเพลีย จนถึงกับมีอาการป่วยเป็นไข้ไม่สบายได้ อีกทั้งจะสังเกตว่าจิตเกิดความขัดเคืองได้ง่าย หงุดหงิดง่าย มีความคิดอกุศลปรากฏขึ้นบ่อยๆ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติสมาธิเกิดข้อสงสัยในทักษะทางจิตและแนวทางการปฏิบัติของตนว่า ทำไมการปฏิบัติสมาธิไม่ก้าวหน้า

สำหรับการฝึกจิตในระดับสมถะกรรมฐานนี้ถ้าฝึกจนรู้วิธีดับความนึกคิด ความวิตกกังวล ความเครียดทางอารมณ์ได้แล้ว ใช้เป็นเครื่องอยู่ของจิตเป็นครั้งคราว แล้วยกระดับการฝึกไปสู่ระดับของ วิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นการฝึกจิตให้มีกำลังสติเพิ่มขึ้น ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าฝึกรวมจิตให้สงบ อยู่กับปีติ นิมิต ต่อเนื่องเป็นประจำแล้ว ในระยะยาวจะเกิดผลเสียกับสุขภาพร่างกายได้ เพราะสมถะกรรมฐานเป็นการทำให้จิตเคลื่อนไหวน้อยที่สุด จนจิตเกิดความนิ่ง รวมศูนย์เข้าไป เมื่อจิตนิ่งแล้วพลังงานในร่างกายก็จะเคลื่อนไหวน้อยตามไปด้วย ลมปราณ เลือดลม ก็จะไหลเวียนช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ยิ่งมาถึงในปัจจุบันนี้ปราณในโลกเสื่อมถอย และเกิดปราณพิษขึ้น ก็จะยิ่งเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อผู้ฝึกเกิดประสบการณ์ทางจิตสัมผัสกับปราณพิษ พบแสงสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวคล้ำ หรือเป็นหมอกสีขาวขุ่นโดยไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพิษต่อร่างกายจิตใจของเรา นำจิตเข้าไปรวมเป็นหนึ่งกับพลังเหล่านี้ หรือไม่ก็ดึงพลังเหล่านี้เข้ามาสู่ร่างกาย ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพมาก

โรคที่มักเกิดกับผู้ฝึกสมาธิแบบรวมจิตให้นิ่งๆ อยู่กับความสงบอยู่กับปีติ อยู่กับภาพนิมิต เป็นประจำก็คือ โรคเสื่อมถอยชนิดต่างๆ ที่มักป่วยกัน ก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดนี้ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติที่สูงอายุก็ต้องระวังในเรื่องเส้นโลหิตในสมองตีบหรืออาจถึงขั้นแตกได้ ซึ่งจะทำให้ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตตามมา อีกทั้งโรคไตก็ป่วยเป็นกันมาก

มีเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากการฝึกจิตแบบสมถะฯ อีกด้านหนึ่งที่อยากกล่าวถึง เพื่อเป็นข้อพิจารณาให้กับผู้ที่นำเอาพลังจากการฝึกสมถะฯไปใช้ประโยชน์ เพราะเป็นกิจกรรมที่นิยมทำกันมาก กรณีแรกก็คือ เมื่อผู้ฝึกสมาธิสามารถรวมจิตให้สงบ จนเข้าถึงพลังลมปราณแสงสีเหลืองอันเป็นพลังเมตตา หรือพลังความบริสุทธิ์แสงสีขาวของมโนวิญญาณธาตุแล้ว ได้นำเอาพลังของตนเองที่ตนเองเข้าถึงนั้น ถ่ายเท บรรจุลงไปในวัตถุมงคลต่างๆ หรือไม่ก็ไปดึงเอาพลังลมปราณ พลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ดึงเข้ามาบรรจุลงไปในวัตถุมงคล เพื่อให้วัตถุนั้นเกิดเป็นสิ่งที่แผ่พลัง เมตตามหานิยม เสริมสร้างสิริมงคล ความปลอดภัย เสริมโชคลาภให้แก่ผู้ที่มีวัตถุมงคลนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นสิ่งให้ผู้คนยึดเหนี่ยวเคารพบูชา ช่วยสืบต่อพระศาสนา แต่ผู้ที่ประกอบกิจบรรจุพลังต้องระวัง เพราะในสมัยนี้พลังปราณในโลกเสื่อมลง เหลือน้อยลง เมื่อนำพลังในตัวเองออกมาใส่วัตถุจะทำให้พลังในตัวเองเสื่อมลง ถ้าเป็นสมัยก่อน เมื่อถ่ายเทพลังออกไป พลังก็ไม่เสียสมดุลเท่าใด เพราะปราณ และพลังบริสุทธิ์ในโลกยังมีมากอยู่ สามารถดึงเข้ามาทดแทนได้เร็วได้ทัน แต่สมัยนี้ เมื่อเสียพลังไปแล้ว พลังจะกลับสู่สมดุลยากมากทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายอีก และถึงแม้จะไม่ได้นำพลังในตนเองถ่ายเทออกไป ใช้พลังจิตดึงเอาพลังจากธรรมชาติมาใช้แทน ก็หนีไม่พ้นผลกระทบ เพราะพลังในธรรมชาติที่พร่องไปก็จะมาดึงเอาพลังในร่างกายของผู้ประกอบกิจไหลเข้าไปแทนที่ ใครเป็นคนที่สร้างเหตุ ก็จะเป็นผู้รับผล หลบหนีไม่ได้ ก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยตามมาอีกเช่นกัน

อีกกรณีหนึ่ง ผู้ฝึกสมาธินำพลังของตน หรือ เชื่อมตัวเองกับพลังจากธรรมชาติ แล้วถ่ายเทพลังไปให้กับบุคคลอื่นที่กำลังป่วยจากโรคต่างๆ เพื่อหวังผลในการบำบัดรักษา ซึ่งถ้าได้กระทำพอสมควรไม่มากเกินไปจนพลังของตนเสียสมดุลก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำมากเกินไปก็จะเกิดผลเสีย เพราะเกิดกรณีที่ผู้ให้การบำบัดถ่ายพลังให้ แล้วรักษาสมดุลของพลังตนเองไม่ได้ อีกทั้งยังได้รับพลังด้านลบจากผู้รับการบำบัดไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย แล้วขับพลังด้านลบออกไม่ทัน ก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกสมาธิควรพิจารณาในการนำพลังไปใช้อย่างระมัดระวังด้วย


-----------------------------------
ที่มา: E-Book "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
ตอบกระทู้


Creative Commons License