ผญา คติสอนใจประจำวันที่ 26 เมษายน 2568:: อ่านผญา 
บวยบ่มีด้ามสิเสียทรงทั้งวาด เขาสิเอิ้นกะโป๋หมากพร้าวบ่มีเอิ้นว่าบวย แปลว่า กระบวยไม่มีด้าม จะเสียทรง เสียชื่อ คนจะเรียกกะลามะพร้าว ไม่เรียกกระบวย หมายถึง จะเป็นอะไร ขอให้เป็นให้สมบูรณ์ เป็นให้ดีที่สุด

ดนตรีพื้นบ้านอีสาน  

แคน...ตำนานกำเนิดแคน (ดนตรีพื้นบ้านอีสาน---อีสานจุฬาฯ)
ดนตรีพื้นบ้านอีสาน...แคน

  หน้าก่อน หน้าถัดไป
ตำนานกำเนิดแคน


ตำนานกำเนิดแคน แต่งเป็นร้อยกรองแบบกลอนลำโดยจูม จินดาพด นักวิชาการกรมวรรณคดี แห่งนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว (ปริวรรตจากฉบับอักษรลาว)

    แคนนี้ของเลิศล้ำเก่าแก่เดิมมา
วันหนึ่ง มีพระราชาเข้าดงดอนนอนป่า
กับทั้งอามาตย์ไท้ พวกหมู่มนตรี
ฝูงหมู่กวางฟานเม่น เห็นพระองค์โยงพ่าย
แม้งหนึ่งไปฮอดเก้ย ตีนตาดผาสูง
เป็นขัวนัวเครือเกี้ยว เขียวอารมณ์เป็นฮ่ม
พระองค์เลยสะมิ้ง ง่วงเหง่าเหงานอน
ฝูงหมู่เสนาเหง้า มนตรีน้อยใหญ่

แต่นั้น พระมิ่งต้น ตนผ่านพารา
ฟังยินเสียงกอย ๆ ฮ้องแกว ๆ กรวีก
พร้อมด้วยเสียงนกเอี้ยง เฮียงฮ่อออหอ
สัมมะปิเสียงห้าว วาวโวแววโว่
ฟังแล้วเลยสะม้อย อ้อยอิ่นในพระทัย
ยินเสียงลมสะแวงต้อง นองนันกรวีก
พระองค์คิดแม้นแม้ง มักใคร่ในเสียง
จึงได้หันตรัสต้าน ถามขุนข้ามะหาด
ไผจักตกแต่งตั้ง ทำสิ่งเป็นเสียง ได้นอ
เฮ็ดให้เป็นของใช้ ดนตรีสีเป่า

ยังมีอามาตย์ซั้น กวีเอกอาสา
สองก็วางคำมั่น สัญญาเด็ดขาด
พระองค์ก็พาไพร่โค้ง คืนสู่กรุงศรี
มีสนมนั่งเฝ้า เฮียงปางข้างเสื่อ

บัดนี้ จักกล่าวอามาตย์เค้า ผู้ฮับอาสา
คึดจนใจหลายมื้อ บ่มีหวนเห็นฮุ่ง
ลาวก็เข้าป่าไม้ ดงด่านอารัญญา
แม้งหนึ่งเถิงแคมห้วย สวยลวยกล้วยป่า
ได้ยินน้ำสะท้าน โตนตาดเสียงดัง
ยินสะออนฝูงกะเบื้อ บินเฟือแคมฝั่ง
พากหนึ่งลมล่วงเท้า อ้ออ่อนแคมชล
เลยสะออนใจเถ้า เหงาไปเซียบหนึ่ง

แต่นั้นลมพัดป้าน อ้ออ่อนปลายกุด
ผ่องก็แจว ๆ แจ้ แวแววโว้ว่อ
อีกประสบครั้งนั้น วันบ่ายพอดี
นกเขาทอง เขาตู้ คูขันก้องสนั่น
ลาวก็สะส่วยหน้า ลุกนั่งฟังเสียง
เสียงตอยาวตอสั้น ปนกันน้อยใหญ่
เถ้าเลยคึดซวาดฮู้ วิธีแต่งดนตรี
เดี๋ยวหนึ่งวันมัวคล้อย บทสูรย์แสงต่ำ
เลยเล่าหายเหตุฮ้อน นอนพ่างภรรยา
นกกาเวามันฮ้อง จองหองขายกอก
ตัดเอาต้นไม้อ้อ สามคู่พอดี
บ่อนหว่างทางกลางนั้น เจาะลงเป็นป่อง
เมื่อนั้นเถ้าก็หาเอาไม้ มาทำเต้าเป่า

พอเมื่อเถ้าสร้างแล้ว ก็ลองเป่าฟังเสียง
ทั้งแลนแจน ลันแจ้ อยากคือเสียงกรวีก
พอคิดแล้วท่อนั้น ตนพ่อเสนา
เอาดนตรีถวายไท้ ภูวนัยดั่งว่า
เถ้าเลยนั่งตะแพบคู้ แล้วเป่าเอาถวาย
เสียงดนตรีดังได้ แกว ๆ แก้วก่องกอ
พระราชาทรงตรัส "ใช่ แคนแด่" เด้อขุน
ให้ท่านทำดีขึ้น ทูลถวายลายใหม่

ในกาละครั้งนั้น คุณพ่อเสนา
ลาวจึงเพียรแปงสร้าง วางแปลนฮูปใหม่
เฮ็ดไปถวายเทื่อนี้ ๗ คู่พอดี
เพราะมันมีเสียงแก้ว แกว ๆ แจ้วแน้นแน่
ขุนก็ทำอีกครั้ง เป็นเทื่อที่สาม
มีเสียงทองเสียงห้าว วาวแววแจ้วลันจั่น
ลูกมันมีหมดเกลี้ยง ๘ คู่งามขำ
ทรงกระหายหัวย้าม เห็นงามแย้มพระโอษฐ์

คำว่า "แคน" มันได้มีแต่พุ้น สืบต่อกันมา
คันบ่คาคำเว้า แคนไคใกล้หม่อ

อีกอย่างหนึ่ง …

ย้อนดนตรีประเภทนี้ พาให้ส่วงความอุก
ซื่อว่าแคน แคน แล้ว หมดทั้งมวลมีแต่ม่วน

แต่ครั้งศาสนาพระวิปัสสีเจ้า
ไปเที่ยวหาเซิดเนื้อในด้าวด่านไพร
จรลีไปเถิงเขตขวางเขากว้าง
จนเวลาเที่ยงค้ายหายจ้อยเครื่องเสวย
มีหมู่ยูงยางดกดู่แดงดวงดั้ว
ลมพัดมาฮ้าว ๆ เย็นจ้าวหน่วงคีง
อรชรลมโฮย ล่วงโชยมาเต้า
พร้อมอาศัยที่นั้นในหั้นสู่คน

เลยนิทรานอนหลับเซียบไปคราวน้อย
จับอยู่เทิงหง่าไม้ไฮฮ้องส่งเสียง
เสียง ออ ๆ อีๆ วี่แววแจวจี้
มีทั้งโอและโอ้ โออ้อยอิ่นออย
ภูวนัยนอนหลับตื่นมาฟังแจ้ง
เลยกระสันสว่างเศร้า เบาเนื้อห่างแคน
ในสำเนียงของนก ที่บรรเลงนั้น
พร้อมประกาศบอกซี้เซิญนิ่งซ่อยฟัง
ให้คือสำเนียงเสียงนก เป่าฟัง กันได้
เฮาพระองค์สิให้สินจ้างค่าพัน

ฮับบัญชาทำถวาย ดั่งใจจงอ้าง
ในโอกาสครั้งนั้น ตะเว็นส้วยอ่อนลง
จรลีเถิงเมืองนั่งปองเป็นเจ้า
พระองค์ก็ยังอ่าวเอื้อเสียงนั้นอยู่บ่เซา

หาตรึกตรองปัญญาท่าใดสิทำได้
เลยมุ่งออกจากห้องเฮือนย้าวท่าวไป
เดินดุ่งคราคราวไกล เมื่อยแคนคราวแค้น
มีสาขาหน่ออ้อ ซอซ้องทั่วฐาน
อยู่ในวัง มีแต่ปูปลาหอย ล่องลอยซมก้อน
เฒ่าก็นั่งจ้อก้อ ลงหั้นเมื่อยเซา
ปานคนกินสุราท่าเมาเยาย้อน
ใจคะนึงบ่แล้ว วิธีสร้างแต่งการ

เสียงมันดัง วี วุด วู่ แวว แอว แอ้
เป็นเพราะปล้องไม้อ้อ ยาวสั้น บ่ค่ากัน
ฝูงแมงอีกาเล็น เผ่นบินมาฮ้อง
ฝ่ายอามาตย์ผู้นั้น นอนแล้วตื่นมา
ฟังสำเนียงลมพัด เป่าตอลำอ้อ
ทั้งเรไรต่างเชื้อ ประสมเข้าม่วนหู
ตามดั่งองค์ภูมี มอบหมายมานั้น
ลาวจึง(กลับ)ไต่เต้า คืนเข้าสู่นคร
จนเวลาสูรย์สาง สว่างมายามเซ้า
ลาวก็ซอกได้พร้า ประดาเข้าสู่ไพร
ทั้งเหลา ซี แทง เลาะ ข้อเสียหมดเกลี้ยง
เจาะรูแพวซ่องแล้ว เลยเหน็บลิ้นตื่มแถม
เฮ็ดคือนมผู้เถ้า เป็นเป้าอยู่กลาง

มีสำเนียง ออแอ วี่แวแววแว้
คันว่าแม่นผิด ก็มีเพียงเล็กน้อยพลอยสิได้ค่าพัน
เลยไววาเมือ ฮอดโฮงพระยาเจ้า
ทางมหาราชเจ้า จึงจำเถ้าเป่าดู
ทำท่าไกวหัวหาง อย่างจำเอาไว้
เอาบ่น้อ ส่ำนี้ พระองค์เจ้าว่าจั่งใด๋
เจ้ายังปูนแปงเฮ็ดเกิดเป็นปานนี้
เฮาก็ยังสิให้สินจ้างค่าพัน

ก็จึงอำลาคืน คอบเฮือน เร็วฟ้าว
ประดิษฐ์ใหญ่ขึ้นหน้า จะแจ้งยิ่งทวี
องค์พระภูมีตรัส ว่า "แคนๆ แล้ว"
เฮ็ดมาถวายอีกแม้ ให้ดีแท้กว่าหลัง
มีทั้งงาม จบดี ครบกระบวนควรย่อง
เสี้ยงทุ้มยู้ก็พ่องนั้น หันขึ้นวึ่นเสียง
ขุนเมืองนำเมือถวาย ทอดพระกรรณวันท้าย
โปรดว่า "แคนแท้แล้ว คราวนี้ท่านขุน"

ย่อนว่าราชาตรัส ว่า "แคนแคนแล้ว"
ก็แม่นกรวีกฮ้อง ของแท้อีหลี

 

พาให้หายความทุกข์ ยากแคลนแสนแค้น
เพิ่นจึงม้วนใส่หั้น คำนั้นว่า "แคน"

 

 
อธิบายคำศัพท์

พระวิปัสสีเจ้า = พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พระโคดม

หาเซิดเนื้อ = หาล่าสัตว์

อีหลี = จริงๆ

ไปฮอด = ไปถึง

อุก = ทุกข์ใจ

ขัวนัว = สุมทุม

ม้วนใส่ = ดึงเข้าเรื่อง

คีง = ร่างกาย

โยงพ่าย = กระโดดหนี

ในหั้น = ณ ที่นั้น

เก้ยตีนตาด = ที่ลาดเชิงเขา

กรวีก = นกการเวก

ฮ่ม = ร่ม

สัมมะปิ = นานาชนิด

สะมิ้ง = รู้สึกง่วง

ส่วง = คลาย

เซียบ = งีบหลับ

ส้วย = แคบเข้า

อามาตย์ = อำมาตย์

เห็นฮุ่ง = เห็นทาง , มองเห็น

สะม้อย = เคลิบเคลิ้ม

สะออน = ชื่นชม

ซ่อย = ช่วย

นั่งจ้อก้อ = นั่งยองๆ

เสื่อ = ฟูกที่นอน

ปลายกุด = ปลายด้วน

เฮือนย่าว = เรือนเหย้า

บ่อค่ากัน = ยาวไม่เท่ากัน

กระเบื้อ = ผีเสื้อ

นอนพ่าง = นอนข้างเอาไออุ่น

ย้อน = ยืดยุบยามฟ้อนรำ

ซี = เจาะรู

ผ่อง = ทั้ง

ตื่มแถม = เติม , เพิ่มเติม

ส่วยหน้า = ล้างหน้า

นั่งตะแพบคู้ = นั่งพับเพียบคู้เข่า

ซอก = ค้นหา

แคนแด่ = ค่อยยังชั่วหน่อย

ฮูแพว = รูกำหนดระดับเสียงของลูกแคน

แคนแล้ว = ดีขึ้นแล้ว

เฮ็ด = ทำ

ยู้ = กระทุ้ง , ส่ง

ส่ำนี้ = เท่านี้

หัวย้าม = ยิ้มพราย

ฮูป = รูป

คาคำเว้า = ติดขัดที่คำพูด

จบดี = สวยดี

วื่น = ทุ้มกังวาน

ย้อนว่า = เพราะว่า

แต่พู้น = แต่ครั้งกระโน้น

ม่วน = ไพเราะ

ใกล้หม่อ = ใกล้เคียง

นำเมือ = นำกลับมา

ย่อง = ยกย่อง

 

  หน้าก่อน หน้าถัดไป
 
Creative Commons License

ชมรมอีสานจุฬาฯ... ดนตรีพื้นบ้านอีสาน